CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    Diary of a mad man (หลอนวิปลาส ภาค 2) ตอนที่ 1/2...ศีรษะอุบาทว์

    ภาค 1
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3127500/W3127500.html


    +++

    ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในห้อง เขาคาดคิดถึงสิ่งที่จะพบในห้องหลายอย่างหลายแบบหลายลักษณะ  แต่เมื่อเข้าไปในห้องแล้วจึงรู้ว่าสิ่งที่คิดเอาไว้ผิดทั้งหมด

    ร่างชายชราซึ่งแขวนอยู่บนเก้าอี้ขนาดสูงใหญ่เต็มไปด้วยสายไฟและสายบรรจุสารเคมีบางอย่าง เสียบระโยงระยางด้านล่างด้านบน นับร้อยสาย เขาไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน และไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการด้วยซ้ำ เส้นสายเหล่านั้นต่ออยู่กับอุปกรณ์มากมายรายล้อม ซึ่งบางส่วนแสดงผลทางจอมอนิเตอร์เล็กๆ เป็นเส้นกราฟและบอกค่าอะไรบางอย่างดูแล้วไม่เข้าใจ หลอดไฟเล็กตามหน้าปัดกะพริบวูบวาบ

    ชายชราคนนี้มีเพียงศีรษะเท่านั้น..ถัดลงมาจากลำคอขาดเรียบราวถูกมีดคมกริบตัดผ่านเป็นสายไฟและหลอดยางบรรจุสารเคมีไหลหล่อเลี้ยง นัยน์ตาของแกปิดเหมือนคนนอนหลับ แต่กล้ามเนื้อบางส่วนยังมีอาการกระตุกให้เห็นแสดงว่ายังมีชีวิต

    ในขณะที่เขายืนตะลึง ดวงตาแดงฉานราวมีไฟนรกลุกโชนอยู่ภายในกะโหลกศีรษะของชายชรา ก็ลืมโพลงขึ้นมา พร้อมริมฝีปากบิดเบี้ยวแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว

    พอได้สติชายหนุ่มพยายามหมุนตัวกลับ จะหนีออกมาจากห้องอุบาทว์นั่นแต่เท้าทั้งคู่เหมือนกลายเป็นท่อนหินแข็งทื่อ ผนังห้องสั่นไหวอากาศหนักอึ้งกะทันหัน  สมองลั่นเปรี๊ยะ..เหมือนมีระเบิดหลายลูกกำลังระเบิดไม่ขาดระยะ  อะไรบางอย่างซึ่งไร้ตัวตนแต่ทรงอำนาจมหาศาลพุ่งเข้ามาเต็มความรู้สึกนึกคิด อัดแน่น บดขยี้ บีบคั้น อย่างมุ่งร้ายทำลายล้าง

    เสียงดังโพละเหมือนทุบมะพร้าว ศีรษะของชายเคราะห์ร้ายระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ  เศษกะโหลกปลิวขึ้นไปปะทะเพดานดังสนั่น พร้อมกับเศษสมองบางส่วนกระจัดกระจายติดตามผนัง ท่ามกลางฝนเลือดสาดกระหน่ำไปทั่วห้อง ก่อนที่จะล้มครืนลงกับพื้นปล่อยธารเลือดไหลเป็นทาง

    นัยน์ตานรกของชายชราค่อยหลับลงอย่างเหนื่อยอ่อน สารเคมีในขวดขนาดใหญ่พากันเดือดพล่าน ส่งกลิ่นฉุนเฉียวปนกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

    ชายชราอีกคนหนึ่งซึ่งเดินออกมาทางประตูไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนคนไม่มีชีวิตชีวา ในขณะที่ใช้เครื่องมือบางอย่าง เก็บกวาดทำความสะอาดบริเวณภายในห้องอย่างเงียบๆ


    +++++

    ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ไม่ว่าใครก็คงไม่พยายามเชื่อเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ  ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจหรือผิดหวังแต่ประการใด เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็ยังยากที่จะทำใจให้เชื่อ ในขณะที่คุณดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติสุข ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านเข้ามา และผ่านออกไปจากชีวิต ตามปกติวิสัยที่ควรจะเป็น แล้วจู่ๆก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่ยิ่งกว่าฝันร้าย คุณก็อาจพบว่าตนเองเหมือนคนโง่ปนบ้าก็เป็นได้

    ใครล่ะจะเชื่อว่าเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าของวันหนึ่ง พบว่าลูกชายคนโตวัยแปดขวบ กำลังอยู่ในวัยน่ารักน่าชังหายไปจากชีวิตตลอดกาล หายไปเฉยๆ โดยไม่มีคำอธิบายที่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย หายไปในขณะที่ผู้เป็นภรรยาปราศจากอาการโศกเศร้าเสียใจแม้สักนิด

    การหายไปของลูกชายคนโตเป็นไปอย่างเงียบเชียบเรียบร้อย กระทั่งผมเองยังแทบไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ผมกำลังอาบน้ำจะแต่งตัวออกไปทำงานโดยกะว่าจะแวะไปส่งลูกชายทั้งสองที่โรงเรียนก่อนแวะไปทำงานในช่วงเช้า

    “เจ้าตัวแสบยังไม่ตื่นอีกเหรอ....”

    เจ้าตัวแสบที่ว่าหมายถึงลูกชายจอมซนคนโตนั่นเอง ภรรยาของผมที่กำลังทำกับข้าวเตรียมอาหารอยู่ในห้องครัวทำหน้างุนงงกับคำถามนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ

    “คุณก็เห็นว่าแกนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นไงคะ”

    “นั่นมันเจ้าตัวน้อยนะที่รัก”

    เจ้าตัวน้อยก็หมายถึงลูกชายคนเล็กวัยหกขวบ กำลังนั่งขบเคี้ยวอาหารของว่างอยู่หน้าจอทีวี ทำไมจะไม่เห็น

    “ผมกำลังถามหาไอ้เจ้าลูกชายคนโตของเรา มันยังไม่ตื่นอีกเหรอ”

    “ล้อเล่นน่า”  คราวนี้ภรรยาของผมวางอุปกรณ์ในการทำอาหารลงบนโต๊ะ  หันมามองอย่างแปลกใจ  “ลูกชายคนโตที่ไหนกัน นี่ไม่ใช่เวลาล้อเล่นนะคะ”

    “คุณนั่นล่ะอย่ามาล้อเล่นแบบนี้น่า เสียเวลา เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย ถ้ายังไม่ตื่นก็ไปลากลงมาจากเตียงตอนนี้เลย”

    “ล้อเล่นอะไรกันคะ”

    คราวนี้สายตาของเธอฉายแววแห่งความแปลกใจจริงๆ และยังเต็มไปด้วยแววหวาดหวั่นบางชนิดซึ่งทำให้ผมรู้สึกเย็นยะเยือกแบบไม่มีสาเหตุ สีหน้าแววตาแบบนั้นไม่มีความ “ล้อเล่น” ปนอยู่เลยแม้แต่น้อย ด้วยนิสัยส่วนตัวของเธอไม่นิยมชมชอบการล้อเล่นในเวลาเร่งด่วนแบบช่วงเช้าๆ แน่นอน

    “ผมหมายถึงว่าตอนนี้เจ้าลูกชายคนโตของเรามันหายหัวไปไหน”

    ไม่น่าแปลกที่ผมยังพยายามถามคำถามนั้นอยู่ แน่ละ...ใครบ้างจะเชื่อว่าลูกชายทั้งคนจะหายไปจากชีวิตง่ายๆแบบนี้ นี่มันก็เป็นเรื่องตลกร้ายเท่านั้น ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้

    ภรรยาของผมถอยหลังกรูดไปด้านหลังสองสามก้าว สีหน้าเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างชัดเจนและแท้จริง ทำให้เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง

    “ก็ได้..ก็ได้..เรื่องนี้ไม่ตลกเลย..”  ผมฝืนยิ้ม สะกดความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุขึ้นมาอย่างยากลำบาก   ผมจะขึ้นไปลากตัวเจ้าตัวแสบลงเอาเองก็ได้”

    สองเท้าแทบกระโจนขึ้นไปบ้านชั้นสองของตัวบ้าน ตรงไปยังห้องนอนของลูกชายสองคน ซึ่งปรกติจะนอนอยู่ห้องเดียวกันเพียงแยกออกเป็นสองเตียงเท่านั้น ในขณะที่กระชากประตูห้องเข้าไป ความเยือกยะเยือกแบบไม่ทันตั้งตัวชนิดหนึ่งก็พุ่งเข้าเกาะกุมความรู้สึกจนประสาทลั่นเปรี๊ยะชาค้างไปชั่วขณะ

    ความเหลือเชื่อ... ความงุนงง ...ความตื่นตระหนกตกใจ ปนกันจนสับสนยิ่งกว่าฝันร้าย

    มันนรกอะไรกันนี่??

    ในห้องนั้นไม่มีใครอยู่เลย ข้าวของทุกชิ้นในห้องดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นห้องส่วนตัวของเด็กคนเดียวอย่างไม่ต้องสงสัยไม่ว่าจะเป็นเตียงเดี่ยว ตู้เก็บเสื้อผ้า เก้าอี้อ่านหนังสือ และกองเสื้อผ้ามุมห้อง
    เป็นห้องซึ่งออกแบบตกแต่งให้เป็นห้องนอนของเด็กสองคนมาในช่วงเวลาหลายปีดีดัก มากกว่าและเกินกว่า.. จะมีใครสามารถมาเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาข้ามวันข้ามคืน

    ผมก้าวลงเอื้อมมือสั่นระริกไปยังพื้นที่ซึ่งเคยวางเตียงลูกชายคนโต ทุกเช้าเขาจะนอนอยู่ตรงนี้ วันหยุดเขาอาจตื่นสายเป็นพิเศษ รอผู้เป็นพ่อมาปลุกลงไปออกกำลังกายโดยเล่นฟุตบอลที่เขาโปรดปราน หรือไม่ก็นั่งดูทีวีแล้วแต่โอกาส หากตอนนี้เหลือเพียงพื้นที่อันอ้างว้างเยือกเย็นและสิ้นหวังอันยากต่อการทำใจให้เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

    กระทั่งรูปถ่ายติดผนัง รูปถ่ายซึ่งมีรูปลูกชายทั้งสองคนตอนนี้เหลือเพียงรูปลูกชายคนเล็กเท่านั้นที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตามลำพัง ไม่มีร่องรอยเหลืออะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับลูกชายคนโตอยู่เลย สิ่งที่ทำได้ในเวลาต่อมาก็การวิ่งพล่านไปทั่วบ้าน เปิดห้องโน้นค้นห้องนี้โครมครามเหมือนคนบ้าไม่มีผิด ถ้าเป็นคุณก็ไม่แน่ว่าอาจทำแบบนี้เช่นกัน จู่ๆคนที่คุณแสนรักแสนหวง หายไปเฉยๆราวกับว่าไม่เคย  “มี”  มาก่อนมันเป็นเรื่องที่ยากต่อการยอมรับ

    ท่าทางของผมตอนที่โผล่ไปห้องนั่งเล่นอีกครั้งคงอยู่ในสภาพที่ยากต่อการยอมรับเช่นกัน  เพราะภรรยาและลูกชาย  “คนเดียว”  ที่เหลืออยู่กำลังนั่งกอดกันกลม ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ท่าทางเสียขวัญอย่างหนักกับไอ้บ้าคนหนึ่งซึ่งอาละวาดอยู่บนบ้านเมื่อครู่

    “ลูกเราหายไปไหน...คุณเล่นตลกอะไร”

    เสียงร้องที่ดังออกจากปากของผมในตอนนั้นแทบไม่แตกต่างจากคนซึ่งหัวใจกำลังแยกแตกสลายลง  ความหวังเลือนรางคือให้เรื่องนี้เป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น ฝันร้ายซึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่สภาพปรกติ และพวกเราจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันครบทั้งสี่คนอีกครั้ง

    “เรามีลูกเพียงคนเดียว คุณจำไม่ได้หรือคะ”

    “คุณจะบ้าเหรอ เรามีลูกสองคน คุณก็รู้...”  ผมตะโกนราวกับคนบ้า

    “พ่อเป็นอะไรไปแล้ว ผมกลัว....”  เสียงลูกชายร้องไห้อย่างเด็กเสียขวัญสุดขีด

    เสียงของลูกชายตอกย้ำซ้ำเต็มให้จมดิ่งลงในความสิ้นหวังอย่างไม่มีวันตะกายฟื้นตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน ความทรงจำของผมยังชัดเจนกับชีวิตที่ผ่านมาในหลายๆ ปีกับครอบครัวซึ่งมีสี่คน พ่อแม่ลูกครบถ้วนสมบูรณ์ จู่ๆ ความทรงจำแห่งชีวิตสงบสุขนั้นกลายเป็นเพียงภาพฝันที่ไร้ความหมาย แล้วอะไรกันคือเรื่องจริงหรือมีตัวตนจริง  ความสับสนในสมองทำให้โลกทั้งโลกหมุนคว้างก่อนจะกลับกลายเป็นความมืดดำ

    ++++

    ผมจมตัวเองลงกับเตียงในโรงพยาบาลพร้อมสิ่งที่อยากจะเรียกว่าเครื่องจองจำ แต่พวกหมอเรียกมันว่าชุดคนไข้ทางจิตขั้นรุนแรง ซึ่งมีเหตุผลในการสวมใส่คือป้องกันการอาละวาด หมอและพยาบาลพลัดเปลี่ยนกันมาดูแลพร้อมด้วยเครื่องอภินันทนาการ อันได้แก่ยาฉีดหลายขนาน ทำให้ความรู้สึกเลือนรางสับสนลืมคืนลืมวัน บางครั้งหูของผมแว่วเสียงพวกคุณหมอคุยกันในเรื่องที่ไม่ค่อยแน่ใจนัก บางครั้งแว่วเสียงของเพื่อนสนิทที่คุ้นเคย เสียง ภรรยาและลูกชายคนเล็กปนมาด้วย  เขาเป็นลูกชายคนเล็กจริงๆ อย่างน้อยก็ก่อนหน้าที่พี่ชายของเขาจะหายไป....ลูกซึ่งอยู่กับผมมานานหลายปีแล้วจู่ๆก็หายไปเฉยๆ ราวกับไม่เคยมีมาก่อน ใครจะทำใจได้

    มันจะต้องมีคำอธิบายสักอย่างหรืออยู่ที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะมีใครบางคนกำลังพยายามเล่นตลกอันร้ายกาจซึ่งไม่น่าเชื่อ แต่คำตอบคงไม่อยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้  ลึกๆผมเชื่อว่าลูกชายคนโตยังคงมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง กับใครหรืออะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงพยายามสะกดใจอย่างอดทน แม้จะต้องนอนน้ำตาซึมด้วยความคิดถึงลูกในยามค่ำคืน

    แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 47 05:14:25

    จากคุณ : GTW - [ 18 พ.ย. 47 22:27:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป