CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เปลวไฟในสายลม [6] : เนโรจากประเทศแห่งเกาะ

    6. เนโรจากประเทศแห่งเกาะ


        “แล้วนี่พวกท่านแวะมาที่คฤหาสน์คารานิสต์ก่อน  หรือว่าเพิ่งกลับจากปราสาทเดอวินด์เล่า ?”

        มิเชลมองคนถามด้วยสีหน้าค่อนข้างทึ่ง

        “ทำไมคุณเอลซ่าถึงรู้ว่าพวกเรากำลังจะไปปราสาทเดอวินด์ล่ะคะ ?  พวกข้ายังไม่ได้บอกสักหน่อย”

        เอลซ่ายิ้มบาง ๆ แต่ก็เพียงแค่ริมฝีปาก  เพราะยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตาของเธอ

        “ต่อให้รีมามีสายลับที่เก่งกาจเพียงใดก็ตาม  แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คารอสจะรู้ว่าข้ามาถึงรีมาในวันนี้  ดังนั้น

    เหตุผลเดียวที่หัวหน้าหน่วยข่าวกรองจะออกจากเมืองมาไกลถึงชนบทแบบนี้ได้ก็คือมาเยี่ยมเพื่อนสนิทที่สุด

    ของเขาเองเท่านั้น”

        พันโทเฟอร์นาดีมองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับพร้อมถอนใจ

        “เจ้ายังคงเดาเก่งเหมือนเดิมเลยนะยายเด็กแว่น..  ข้ากำลังจะพาหวานใจของข้าไปเยี่ยมเกเบรียลจริง ๆ

    นั่นล่ะ  แต่บังเอิญเห็นนกยักษ์หน้าตาพิกลมีปีกตั้งสี่ปีกตัวหนึ่งบินขึ้นจากหลังคาของคฤหาสน์เสียก่อน...”

        เพียงเท่านั้นมิเชลก็ตบเพียะเข้าไปที่ต้นแขนของคู่หมั้นหนุ่มด้วยความลืมตัว

        “เอ๊ะ ! ก็ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้เรียกหวานใจ..”

        เนโรรีบก้มหน้าลงเพื่อกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ  ส่วนเอลซ่าต้องอมยิ้มพลางส่ายหน้าเล็กน้อย  แม้

    ว่าทั้งสองจะไม่พบหน้ากันมานานถึงแปดปี  แต่นิสัยส่วนใหญ่ของเพื่อนเก่าคนนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

        “นั่นเขาเรียกว่าวิงซ์  ...ไม่ใช่นกยักษ์หน้าตาพิกลอย่างที่ท่านว่า..”

        คารอสเป็นฝ่ายทำหน้าพิกลแทน  มือข้างหนึ่งลูบไปมาบนรอยนิ้วมือที่ต้นแขน  แต่ก็ยังปากแข็ง

        “ก็ไม่ใช่นกประจำถิ่นของรีมานี่..  ข้าจะได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของมัน..”

        ต่อให้ถกเถียงกันอีกนานเท่าไหร่  เอลซ่าก็รู้ดีว่าคงต้อนผู้ที่เคยเป็นทั้งเพื่อนและคู่ปรับเก่าไม่ลง  ดังนั้น

    ทางที่ดีเธอควรจะเป็นฝ่ายถอยก่อนคงจะเหมาะกว่า  ไม่อย่างนั้นคงคุยกันไม่รู้เรื่องไปอีกนาน

        “เอาเถอะ...  ข้าไม่เถียงท่านแล้ว..  ตกลงว่าถ้าท่านจะพามิเชลไปเยี่ยมเพื่อนสนิทก็เชิญตามสบาย  ...

    ข้าจะพาเนโรไปพบท่านลุงธีโมที่ในเมืองสักหน่อย”

        ใบหน้านวลเนียนของมิเชลยังแดงเรื่อด้วยความกระดากไม่หาย  แต่เมื่อได้ยินเพื่อนใหม่พูดเช่นนั้น  เธอ

    ก็ต้องโพล่งขึ้นด้วยความแปลกใจ

        “อ้าว !  คุณเอลซ่าไม่ร่วมทางไปกับพวกเราล่ะคะ ?  ข้าคิดว่าท่านเป็นเพื่อนเก่ากับคุณเกเบรียลด้วยเสีย

    อีก ?”



        แม้คารานิสต์สาวจะไม่ต้องการให้สาวงามจากโซเวลที่เธอเพิ่งได้รู้จักคบหาคนนี้ต้องมารับรู้เรื่องเก่า ๆ ที่

    เกิดขึ้น  แต่เอลซ่าก็ยังนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ด้วยสีหน้าลังเลใจอยู่บ้าง  ก่อนจะพูดขึ้นแบบคนที่ตัดสินใจได้

        “ข้าไม่แน่ใจว่าท่านพันโทเดอวินด์จะยินดีที่ต้องพบหน้าข้าอีกครั้ง..  ดังนั้นข้าแยกไปกับเนโรคงจะดี

    กว่า..”

        ยิ้มของคารอสตอนนี้ฝืดสนิท  

        “เจ้ายังติดใจเรื่องนั้นอยู่อีกหรือเอลซ่า ?”

        หญิงสาวยกมือขวาของตนขึ้นมองอย่างชั่งใจ  นิ้วเรียวในถุงมือสีขาวสะอาดนั้นว่างเปล่าไร้เครื่อง

    ประดับที่เคยสวมในวัยเด็ก  และเป็นเครื่องเตือนใจให้เอลซ่าจดจำสิ่งที่เป็นบทเรียนราคาแพงของเธอ

        “ข้าได้รับคำเตือนจากเจ้าของบ้านมาแล้วครั้งหนึ่ง  การไปเหยียบปราสาทเดอวินด์อีกครั้งคงไม่ใช่ทาง

    เลือกที่ดีนักในเวลานี้..”

        นายทหารหนุ่มผมแดงยกมือขึ้นลูบสันจมูกของตนอีกครั้ง  สีหน้าเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ

        “เรื่องครั้งนั้น...  ข้าเองก็ผิดต่อเจ้าไม่น้อยไปกว่าเกเบรียลหรอกนะ..  ข้ามองว่าเจ้าเป็นเด็กโกหก  ถึงกับ

    อาสาเกเบรียลที่จะไปสืบความจริงที่เพลเทียด้วยตนเอง..”

         เอลซ่าแค่นยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก

         “ปกติข้ากับท่านก็เล่นกันแรงอยู่แล้ว  เรื่องที่ท่านไม่เชื่อข้านั้นมันไม่แปลก..  ถ้าท่านออกรับแทนข้าสิ  

    นั่นถึงจะประหลาด..”

         ดวงตาของคารอสมีรอยระลึกได้

        “...แต่เกเบรียลมักจะเข้าข้างเจ้าเสมอ  ไม่ว่าข้าโวยวายกับเจ้าอย่างไรก็มักจะออกโรงปกป้อง  แถมยัง

    แก้ตัวแทนเจ้าบ่อย ๆ ...อย่างนี้ใช่ไหมเจ้าถึงได้โกรธเกเบรียลนักเมื่อเขาไม่ไว้ใจเจ้า..”

        ความเจ็บปวดที่นึกว่าหมดสิ้นไปนานแล้วกลับผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง  ดวงตาสีน้ำตาลมีแววหม่นเมื่อพูด

    เรียบ ๆ

        “ข้าไม่โกรธ  ...แค่รู้ตัวว่าประเมินความสำคัญของตัวเองสูงเกินไปสักหน่อย  ที่แล้วมาข้าเอาแต่เกาะติด

    อยู่กับพวกท่าน  คงเหมือนกับตัวน่ารำคาญอยู่บ้างใช่ไหม ?”

        คารอสอึ้งไปทันที  แม้จะรู้ดีว่าพวกเขาเคยทำร้ายจิตใจของเด็กสาวคารานิสต์ไว้อย่างร้ายกาจ  แต่ก็ไม่

    นึกว่ามันจะมีผลรุนแรงถึงเพียงนี้

        “ข้าจะไม่โกหกเจ้าหรอกนะเอลซ่า  ...ข้ายอมรับว่าเคยรำคาญยายเด็กแว่นบ้างเหมือนกัน  แต่ก็เฉพาะ

    บางครั้งที่เจ้าทำตัวเอาแต่ใจเท่านั้นล่ะ  ...ปกตินิสัยของเจ้าก็อยู่ในขั้นใช้ได้  ไม่ใช่ตัวน่ารำคาญตลอดเวลา

    หรอกน่า..”

        เอลซ่ายิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

        “ไม่นึกเลยนะว่าจะมีวันที่ท่านชมข้ากับเขาเหมือนกันคารอส...  ขอบคุณที่ตรงไปตรงมากับข้า..”



        ชายหนุ่มผมทองจากประเทศแห่งเกาะเพียงยืนรับฟังคำสนทนาเงียบ ๆ โดยไม่ออกความเห็น  แต่บุตรี

    ของนายพลลาร์คเลือกที่จะหันไปมองระหว่างคู่หมั้นของตนกับเพื่อนใหม่สลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจ  

    ก่อนถามตรง ๆ ตามนิสัย

        “พวกท่านมีเรื่องอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า ?  พอจะบอกให้ข้าได้รู้เรื่องด้วยได้หรือไม่ ?”

        เฟอร์นาดีหนุ่มทำหน้ายุ่ง  ด้วยไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้คู่หมั้นสาวรับฟังอย่างไรจึงจะเหมาะสม  แต่เอ

    ลซ่ากลับหันไปยิ้มให้กับเพื่อนใหม่

        “เรื่องโบราณตั้งแต่สมัยข้ายังเด็กนัก  ...แต่ถ้าท่านอยากรู้ก็เอาไว้ถามคารอสเวลาว่าง ๆ คงจะดีกว่า  

    เพราะต้องใช้เวลาเล่านานทีเดียว..”

        มิเชลหันขวับไปมองทางชายหนุ่มผมแดงที่ยืนเกาหัวอยู่แกรกกราก

        “ว่าไงคะ ?  ท่านพันโทเฟอร์นาดี ?”

        คารอสมองตาดุ ๆ ที่คู่หมั้นสาวใช้แล้วก็รู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่น

        “เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเองก็แล้วกัน  ...เรื่องมันยาวอย่างที่เอลซ่า บอกกับเจ้านั่นล่ะ”

        เมื่อได้รับคำรับรอง  สีหน้าของเบลโฟร์สาวจึงดีขึ้น

        “ค่อยน่าฟังหน่อย  ...ข้านึกว่าท่านจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องของข้าเสียแล้ว..”

        พันโทหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ พูดอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ

        “ขืนพูดแบบนั้นมีหวังข้าต้องถูกเชือดแน่...”

        มิเชลได้ยินเสียงบ่นเพียงแว่ว ๆ จนต้องหันกลับมามองหน้าคู่หมั้นด้วยความระแวง

        “ท่านว่าไงนะ ?”

        คารอสรีบโบกมือปฏิเสธ

        “เปล่าจ้ะ  ข้าไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง..”

        ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเขม้นมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด  ก่อนจะยอมพยักหน้ารับ

        “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป..”

       

        แต่เนโรและเอลซ่ามีโสตประสาทที่ดีกว่าเบลโฟร์สาวอย่างแน่นอน  เพราะพวกเขาได้ยินทุกคำพูดของ

    คารอสเลยทีเดียว  ทำเอาทั้งสองคนต้องกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงก่ำ  เพราะไม่กล้าหัวเราะออกมาดัง ๆ ให้

    กลายเป็นเป้าหมายถูกเพื่อนสาวคนใหม่หันมาเล่นงานแทน

        โดยเฉพาะเอลซ่านั้นนึกไม่ถึงว่าคู่ปรับเก่าที่เคยแกล้งเธอสารพัดในวัยเด็ก  ตอนนี้กลับเจอคนที่ร้ายกว่า  

    ไม่อย่างนั้นจะ ‘หงอ’ ถึงขนาดนี้หรือ ?

        คารอสตีความสายตาเยาะเย้ยของคารานิสต์สาวออกได้ไม่ยาก  แต่เมื่อมีคู่หมั้นสาวเป็นกำแพงขวาง

    ระหว่างสองฝ่าย  เขาก็ได้แต่ถลึงตาจ้องตอบเป็นเชิงปรามเท่านั้น  หากล้าต่อปากต่อคำไม่

        “ถ้าคุณเอลซ่ากับคุณเนโรไม่ไปกับเราจริง ๆ ข้ากับคารอสก็คงจะไม่รั้งพวกท่านไว้หรอกค่ะ  ...ยังไงพวก

    ท่านก็ยังมีเรื่องสำคัญต้องไปคุยกับท่านผู้บัญชาการสูงสุดอีกหลายอย่างใช่ไหมคะ ?”

        เนโรฟังน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของสาวน้อยตรงหน้าแล้ว  ก็อดไม่ได้ที่จะนึกขำท่าทางของพันโท

    เฟอร์นาดีขึ้นมาอีกไม่ได้  มุมปากจึงมักกระตุกเป็นพัก ๆ เมื่อพยายามกลั้นหัวเราะตอบ

        “ข้าขอขอบคุณคุณมิเชลที่เข้าใจพวกเรา  ...หากท่านทั้งสองจะไม่ว่าอะไรแล้ว  ข้ากับเฟ..เอลซ่าคง

    ต้องขอตัวก่อน..”

        คารอสหัวเราะหึหึ

        “ความจริงต้องเป็นพวกเราต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอตัวก่อน  ..เพราะนี่มันบ้านของเอลซ่าต่างหาก..”

        ชายหนุ่มผมทองชะงักไปเมื่อได้ฟังเช่นนั้น  แต่เอลซ่ากลับแยกเขี้ยวยิ้ม

        “ก็เพราะใครบางคนไม่เอ่ยปากขอตัวอย่างเหมาะสม  เนโรเลยต้องพูดขึ้นก่อนไงล่ะ  เรื่องง่าย ๆ แบบนี้ก็

    ต้องให้บอก..”

        คิ้วเข้มของคารอสเริ่มผูกเข้าหากัน

        “ยังปากเสียไม่เปลี่ยนเลยนะยายเด็กแว่น  ..ให้โอกาสหน่อยล่ะไม่ได้”

        บรรยากาศเก่า ๆ ที่คุ้นเคยระหว่างคนทั้งสองเริ่มย้อนกลับมาอีกครั้ง  เอลซ่าจึงพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี

        “เอาเป็นว่าท่านจะไปก็รีบไปเสียทีสิ  ...จอดรถม้าขวางประตูบ้านข้าอยู่แบบนั้น  ข้าจะออกจากบ้านก็เลย

    ไม่ได้ออกกันพอดี”

        มิเชลมองหน้าของทั้งสองฝ่ายแล้วก็ตัดสินใจได้ว่าเป็นแค่การหยอกล้อระหว่างเพื่อนเก่าแก่  จึงไม่ค่อย

    ตกใจไปกับถ้อยคำที่ฟังเหมือนไล่แขกของเจ้าของบ้าน

        “เราไปกันเถอะค่ะคารอส  ...รถม้าของเราจอดขวางประตูอยู่จริง ๆ”

        คารอสแกล้งทำเป็นกวาดตามองคารานิสต์สาวตั้งแต่หัวจรดเท้า  ก่อนส่ายหน้า

        “พูดอย่างกับว่านางจะนั่งรถม้าไปแบบที่คนปกติเขาทำกันอย่างงั้นล่ะ  ...ข้าว่าพวกนางคงบินไปมากกว่า

    ล่ะมั้ง”

        เอลซ่าหัวเราะออกมากับท่าทางของอีกฝ่าย

        “เอาเป็นว่าพวกท่านไปก่อนก็แล้วกัน  ข้าจะไปทางไหนมันก็เรื่องของข้า..”

        มิเชลเห็นการโต้เถียงชักจะมีเค้ายืดเยื้อ  จึงรีบลากแขนของคู่หมั้นให้เดินลงเนินไปพร้อม ๆ กันกับนาง

    พลางบ่นอุบอิบไปตลอดทาง

        ส่วนเอลซ่านั้นโบกมือให้ทั้งสองด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้น

        “ข้าขออนุญาตไม่ไปส่งนะคารอส  ...ว่าง ๆ ค่อยพบกันใหม่..”

        พันโทหนุ่มและคู่หมั้นโบกไม้โบกมือตอบกลับมาแต่ไกล  ก่อนที่ทั้งสองจะโดยสารรถม้าออกจากเขตรั้ว

    ของคฤหาสน์ไปในที่สุด

        ดังนั้นบนเนินเขาค่อนข้างสูงแห่งนี้จึงเหลือเพียงเอลซ่าและเนโรเพื่อนจากแดนไกลของนางเพียงสองคน

    แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 47 02:28:25

    จากคุณ : noOne - [ 24 พ.ย. 47 23:26:01 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป