CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    อันเนื่องมาจากความหนาว # ๒ : เยือนถิ่นไทยงาม

    ๏ เมืองไทยเมืองกว้างใหญ่       ไพศาล
    เชียงใหม่งามโอฬาร                 ระย้า
    เชียงรายยิ่งตระการ                  วัดร่อง- ขุ่นแล
    นิยายรักสาวเครือฟ้า                 ถิ่นนี้ไทยงาม ๚

    จากเมื่อตอนที่แล้วได้กล่าวถึงความหนาวในภาคเหนือและพูดถึงการบริจาคสิ่งของในถิ่นทุรกันดาร
    ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ยังคงเห็นด้วยกับการบริจาคกันต่อไป เพราะผู้คนยังยากจนอยู่ ยังมีสิ่งที่ขาดแคลนอีกมาก
    ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยเช่นกันเพราะการบริจาคก็เป็นหัวข้อหนึ่งในสี่ของ ฆารวาสธรรม ๔ ประการ อันได้แก่ ...
    ๑.สัจจะ(ความซื่อสัตย์) ๒.ทมะ(การข่มใจ) ๓.ขันติ(ความอดทน) ๔.จาคะ(การบริจาค) เพื่อความผาสุกในสังคม
    หลังจากรจนาความเรียงได้ไม่กี่วันข้าพเจ้าก็ได้เดินทางไปเยือนท้องถิ่นไทยงาม เพื่อไปพักผ่อนกับคณะเพื่อนร่วมงาน
    แม้จะไม่ได้ยกกองคารวานสิ่งของไปบริจาคในท้องถิ่นทุรกันดารก็ตาม แต่ก็ได้แวะวัดวาอารามต่างๆ หลายแห่ง
    จึงได้มีโอกาสบริจาคทรัพย์เพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนาในทางอ้อม เช่น การบูรณปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ เป็นต้น
    ดังนั้นในตอนที่สองนี้ จะเล่าเรื่องการเดินทางไปเยือนถิ่นไทยงามของข้าพเจ้าตามบันทึกการเดินทางดังนี้

    เริ่มเดินทางเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ เวลา ๘.๐๐ น. จากกรุงเทพฯ มุ่งไปยังพิษณุโลก
    แล้วขึ้นเหนือไปทางเด่นชัย เลี้ยวซ้ายไปลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ จากแยกเด่นชัยซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดแพร่นั้น
    ชาวคณะได้ผ่านวัดแห่งหนึ่งที่สวยงามมากมีชื่อว่า วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี จึงได้แวะสักการะพระธาตุและเยี่ยมชม
    จากนั้นได้เดินทางผ่านจังหวัดลำปาง ผ่านหน้าหมู่บ้านของมิตรสหายชาวถนนนักเขียน แต่ไม่ได้ทันได้แวะไปทักทาย
    เพราะใกล้ค่ำแล้ว จึงรีบเดินทางไปถึงเชียงใหม่ราวทุ่มกว่าๆ แวะเข้าคุ้มขันโตก ชมการแสดง กินข้าวกินปลาแล้วรำวงกับชาวเขา
    ออกมาปล่อยโคมลอยเพื่อลอยความทุกข์ให้จากไปคล้ายการลอยกระทง แต่การลอยกระทงเป็นการสักการะพระแม่คงคาด้วย
    จากนั้นเข้าไปอาบน้ำที่โรงแรมสุริวงศ์และออกมาเดินเล่นที่ไนท์บาร์ซ่าใกล้ๆ กับโรงแรม บรรยากาศคล้ายกับที่ย่านพัฒน์พงษ์
    ข้าวของที่ขายก็คล้ายๆ กันแต่ราคาแพงหูยิงกระต่ายเลย กลับมานอนเอาแรงเพื่อเตรียมตัวขึ้นดอยอ่างขางในวันรุ่งขึ้น

    เช้าวันศุกร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ตื่นแต่เช้านั่งรถไปกินข้าวขาหมูที่อร่อยที่สุดในโลกคือ ข้าวขาหมูเชียงดาว อันลือชื่อ
    จากนั้นไปขึ้น ดอยอ่างขาง โดยจอดรถตู้ที่ปากทางเข้าแล้วเช่ารถสองแถวคันละเจ็ดร้อยบาทสองคันเพื่ออุ้มไปส่งบนดอย
    บนดอยอ่างขางนี้อากาศเย็นสบายดีไม่หนาว มีพืชผักเมืองหนาวหลายพันธุ์ และมีสวนไม้ดอก บอนไซและแปลงกุหลาบให้ชม
    ลงจากดอยก็มีแขกมารอเพียบ เพราะข้าวขาหมูย่อยสลายไปหมดพอดี ก็ไปแวะพักผ่อน บ้านสวนริมน้ำ ที่ท่าตอนริมแม่น้ำกก

    วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ มุ่งหน้าไป ดอยตุง ได้แวะชมพระตำหนักของสมเด็จย่าและชมสวนไม้ดอกที่สวยงามมาก
    การเดินทางขึ้นดอยสามารถนำรถตู้ขึ้นไปได้เลยเพราะสภาพถนนไม่ชันมากเหมือนที่ดอยอ่างขาง อากาศก็เย็นสบายดี
    ช่วงบ่ายเป็นภาคบังคับโดยข้าพเจ้าเอง มุ่งหน้าไปยังแม่สายเพื่อข้ามไปยัง ท่าขี้เหล็ก เพื่อแวะซื้อชมตลาดคลองถมพม่า
    แต่มาคราวนี้รู้สึกผิดหวังเพราะผู้คนน้อยลงและของที่ขายก็ดูเหมือนจะน้อยลง ของใหม่ๆ ไม่ค่อยมี บรรยากาศเลยดูเหงาๆ
    ข้าพเจ้าตั้งใจจะไปซื้อเป้ ไฟฉาย รองเท้าและอุปกรณ์เดินป่าอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีซึ่งนับว่าสู้ตลาดคลองถมย่านเยาวราชไม่ได้เลย
    อย่างไฟฉายแรงสูงตัวเล็กๆ ที่นั่นก็ไม่มีขาย แต่ที่คลองถมมีเพียบเลย เป้ต่างๆ ก็ไม่ค่อยทันสมัยเหมือนที่เคยเห็นที่เชียงใหม่
    และที่เป็นฮือฮาและเฮฮาก็คือเพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่งเดินดูขาตั้งกล้องที่ฝั่งไทยต่อได้ห้าร้อยบาทแต่ยังไม่ซื้อ จึงข้ามไปท่าขี้เหล็ก
    ปรากฏว่าที่นั่นขาตั้งกล้องชนิดเดียวกันขายราคาประมาณเจ็ดร้อยถึงหนึ่งพันกว่า ต่อได้ก็ไม่ต่ำกว่าเจ็ดร้อย จึงวิ่งแจ้นมาซื้อฝั่งไทย
    ที่ว่าเฮฮาก็คือระหว่างรอรถมารับ เพื่อนคนนี้รีบบอกเลยว่ารอผมหน่อย ฝั่งโน้นไม่ไหวมันฟันหัวแบะเลย ข้าพเจ้าเลยตามไปซื้อด้วย
    แต่ซื้อแบบขาตั้งเล็กๆ เป็นสเตนเลสแบบล็อกในตัวไม่ต้องใช้ตัวล็อกได้ราคาสามร้อยบาท กว่าจะรู้ใจกล้องเกือบล้มไปหลายหน
    จากนั้นมาถ่ายรูปที่สามเหลี่ยมทองคำ แวะนอนที่ริมโขง เชียงแสน อาหารที่นี่อร่อยมาก รถทัวร์มาลงเพียบเลย ที่พักก็แค่พอใช้

    วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ตีรถกลับจากเชียงแสนมาเข้าเชียงราย แวะสักการะ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย ในตัวเมือง
    แวะเยี่ยมชม วัดร่องขุ่น วัดบ้านเกิดของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ แต่ไม่เจออาจารย์เพราะท่านเข้ามาแสดงภาพเขียนในกรุงเทพฯ
    ฝั่งตรงข้ามถนนหน้าวัดจะมีบริเวณจอดรถทัวร์และรถตู้ มีร้านรวงขายสินค้าพื้นเมืองเป็นพลาซ่าเล็กๆ อยู่รอบๆ บริเวณ ดูเจริญขึ้นมาก
    จากนั้นแวะไปกินข้าวกลางวันที่ กว๊านพะเยา แวะสักการะ พระเจ้าตนหลวง ที่วัดศรีโคมคำแล้วไม่ลืมที่จะแวะร้านหนังสือมือสองตรงข้ามวัด
    ซึ่งร้านนี้ข้าพเจ้ารู้จักเมื่อคราวที่ไปป้วนเปี้ยนเมืองเหนือกับคณะลูกปูแห่งอาศรมชาวโคลงเมื่อเดือนสิงหาคมสามเดือนที่ผ่านมานี้เอง
    จากนั้นก็ล่องลงกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ผ่านลำปาง ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ อ่างทอง อยุธยา ถึงบ้านตอนสี่ทุ่มด้วยความสวัสดิภาพ

    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    เส้นทางการเดินทางคร่าวๆ ก็มีดังบันทึกข้างบนนี้ อากาศเย็นดีไม่หนาวมาก ต้องขออภัยที่บันทึกนี้ไม่ได้บรรยายความงามของถิ่นไทยงามไว้เลย
    แต่จะได้ทยอยนำภาพสวยๆ จากท้องถิ่นไทยงามมาให้ชมเป็นระยะๆ เพราะการเล่าด้วยภาพย่อมตราตรึงซึ้งใจกว่าตัวอักษรเป็นไหนๆ จริงไหมเอ่ย ?

     
     

    จากคุณ : lek Isara - [ 25 พ.ย. 47 15:25:51 ] ส่งภาพนี้เข้ามือถือ

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป