ละอองแสงสีส้มจางบางละลอกแล้วละลอกเล่าตัดผ่านใบหน้าผมผ่านไป ริมทางของถนนเบื้องหน้ามืดเกือบสนิทมองแทบไม่เห็นเสาไฟฟ้า ดวงไฟสีหม่นดูแทบจะลอยคว้างอย่างหงอยเหงา แม้หลายดวงลอยข้ามหลังคารถเก่าๆของผมไปแล้ว แต่ระยะทางเบื้องหน้ายังคงเรียงรายรออยู่อย่างเป็นระเบียบ ท้องถนนบางแห่งจะมีเวลาหนึ่งที่ว่างเปล่า หากลองสังเกตดูเราจะพบเวลาเหล่านั้น เวลาหนึ่งที่หลงเหลือเพียงรถของเราคันเดียว หลงเหลือเพียงคนขับคนเดียว นำพาดวงวิญญาณตัดผ่านช่วงชีวิตอันมืดมิด
ผมสอดเทปเพลงมือสองเข้าเครื่องเล่นเทปติดรถยนต์ที่ตั้งใจว่าจะไปเปลี่ยนเป็นเครื่องเล่นซีดีตั้งแต่เมื่อปีก่อน ตั้งท่าและเตรียมตัวจะเปลี่ยนมาหลายรอบแต่ก็คว้าน้ำเหลวไปเรื่อย เพลงเก่าๆตั้งแต่ผมอายุยังไม่พ้นหลักยี่สิบเรียกร้องอารมณ์โหยหาได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อล่วงพ้นวานวัยที่สดใสไร้ความยั้งคิดไปนานมากแล้ว ผมมีลูกสาวที่น่ารักสองคนและภรรยาแสนสวยรอคอยอยู่ที่บ้าน สติความคิดยังคงสว่างใสแม้ดื่มซันตอรี่เรดเพียวๆไปสองแก้ว ผมรู้สึกอบอุ่นเสมอเมื่อคิดถึงคำว่าบ้าน
...เหล่าเพื่อนฝูงในงานเลี้ยงรุ่นเมื่อหัวค่ำยังคงผ่านมาในห้วงสติ เราต่างเสพความหลังจนเมามาย เรื่องราวเก่าๆถูกขุดมาคุยซ้ำซาก สำหรับผมไม่มีเรื่องราวเก่าๆให้พูดถึงมากนัก ในฝูงชนจะมีบุคคลบางคนที่เรารับรู้ว่ามีตัวตนอยู่เท่านั้น แต่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขามากนัก จะมีก็เพียงประปราย ผมเดาเอาว่าผมเป็นคนประเภทนั้น ประเภทที่มีผู้คนยิ้มทักทายเมื่อได้พบหน้าแต่ไม่มีค่าพอจะจดจำ นี่ไม่ใช่เรื่องความหลังที่เลวร้ายหรอกครับ เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้มผมมีอิสระจากชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วไป ล่องลอยไปเรียนรู้อะไรได้เรื่อยๆ จนทำให้ในหนังสือรุ่นมีรูปถ่ายของผมเพียงรูปเดียว กับข้อความอีกสามบรรทัด
มุมหนึ่งของรั้วคณะวิชาถูกเลือกไว้หลบพัก เมื่อเรื่องพูดคุยน้อยจนนับคำได้ก็น่าจะปลีกตัวออกมาห่างๆ เก้าอี้ไม้ยาวไม่มีพนักพิงได้รับการบูรณะจนดูดีหลังถูกใช้งานจนเก่า หากถามดูว่าที่ใดมีความทรงจำของผมอัดแน่นมากที่สุดก็คงเป็นเก้าอี้ไม้ตัวนี้ ...ผมได้เพียงแต่ยิ้มเมื่อคิดถึงความหลัง ก่อนริ้วไฟวูบหนึ่งจะเรียกสติให้ขับรถอย่างมีสมาธิ
ละอองแสงไฟสีส้มสอดประสานกันได้หลายรูปทรงเมื่อสายตาของเราพร่าเรือน ไม่มีใครเห็นนอกจากเราเองและบางครั้งยากบรรยายเป็นภาษา ริ้วละอองไฟทอประกายลงมาคล้ายละอองฝน ป้ายรอรถประจำทางดูคล้ายป้ายเก่าๆหน้ามหาวิทยาลัย และมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
..ค่ำคืนของวันนั้นไร้เงาจันทร์ ผมชอบนั่งอยู่แถวป้ายรถประจำทางมองรถราผ่านไปมา เสียงเครื่องยนต์สอดประสานกันบางครั้งก็น่าฟังไม่น้อย โดยเฉพาะโมงยามที่เงียบงัน คู่รักหลายคู่กอดเอวกันขับรถผ่านไป มองดูน่าอิจฉาทั้งภาพที่เห็นตอนนี้และปลายทางข้างหน้า ในบางช่วงขณะของผู้เฝ้าดูบางครั้งผมก็เริ่มเกลียดความเดียวดาย
เธอถูกทิ้งไว้ห่างจากผมไม่กี่เมตร หญิงสาวผมยาวรวดไว้เรียบร้อยจนเห็นหน้าผากชัด สามเสื้อยืดสีชมพูอ่อนๆ สวมกางเกงขาสั้นเหนือเขาขึ้นมาเพียบ จนผมสนใจแต่เรียวขาของเธอมากกว่าอาการหงุดหงิดบนใบหน้าสวยใส ส่วนมอร์เตอร์ไซด์ที่เธอซ้อนท้ายมาได้ลับหายไปในระยะทางยาวไกลของท้องถนน เธอยืนกอดอกคล้ายครุ่นคิดบางอย่างก่อน ก้าวมานั่งที่เก้าอี้รอรถห่างจากผมสองตัว ผมผละสายตาไปมองทางอื่น เพราะไม่อย่างนั้นก็คงนั่งจ้องแต่ขาของเธอ
" วิทย์ ..รึเปล่า."
ผมหันไปตามเสียงเรียก แล้วก็เพิ่งเห็นหน้าของเธอชัดๆ เธอชื่อแคนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผมเอง เราไม่สนิทกันนัก ไม่สิ ต้องเล่าว่าผมไม่สนิทกับใครนัก ผมกับเธอเคยคุยกันสองสามครั้งแต่ก็นานตั้งแต่งานรับน้องใหม่ของคณะ
" มาทำอะไรมืดค่ำขนาดนี้ "
เธอถามผมด้วยสีหน้าสงสัย ทั้งที่ผมควรจะถามเธอมากกว่า เธอออกมาทำอะไรตอนตีหนึ่งกว่าๆ
" พักผ่อนน่ะ นั่งฟังเสียงรถ มองรถผ่านไปผ่านมา ก็เพลินดี "
" แปลกคนดีนะ เราไม่คิดว่าถนนจะมีอะไรน่าสนใจเลย แค่เป็นทางผ่านให้รถวิ่งไปไหนมาไหนได้ก็แค่นั้นเอง เอ หรือเธอมารอใครรึเปล่า ? "
" เปล่าหรอก ไม่มีใครที่เราต้องรอ เราแค่รอเวลา "
เธอชักสีหน้าสงสัยอีกรอบ ก่อนปลดยางรัดผมออกให้เส้นผมยาสลวยทอดลงมาปรกหน้าผากและลำคอ พอกระทบแสงไฟกลับดูงดงามขึ้นมา
" รอเวลาอะไรล่ะ ? "
" รอที่จะพบใครสักคนล่ะมั้ง "
ผมตอบพร้อมรอยยิ้มและสายตา คงบังเอิญสอดประสานกับสายตาของเธอพอดีเธอถึงเบือหน้าหนีไปอีกทาง บางทีเธออาจจะคิดว่าผมจีบเธอก็ได้
" เราพูดเล่นน่ะ ไม่มีอะไรหรอก คนที่เพื่อนน้อยอย่างเราจะมีอะไรให้ทำมากมาย จะมีใครมาให้รอ เราก็แค่สนใจในสิ่งที่คนอื่นไม่ค่อยสนใจเท่านั้นเอง ว่าแต่เธอเถอะทะเลาะกับแฟนเหรอ ? "
ผมถามกลับบ้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคำตอบอื่นๆนอกจากความเงียบที่เงียบกริบอยู่แล้ว เธอเบือนหน้าหนีไปแล้วไม่หันกลับมาอีก สายตาของเธอทอดหายไปในความมืดอีกด้านหนึ่ง ทั้งคำพูดและความรู้สึกคล้ายจมหายลงไปในนั้น ความมืดกลืนกินลงไปได้ทุกอย่างยกเว้นความโศรกเศร้าและความไม่เข้าใจ เธอกำลังโศกเศร้าจากคำถามของผมและผมกำลังไม่เข้าใจในความรู้สึกของเธอ
รถบรรทุกดินคันใหญ่แล่นผ่านไปไม่เกรงใจคนข้างทาง ฝุ่นผงคละคลุ้งทั่วบริเวณ ผมหลับตาลงทันเวลาเพราะชำนาญกับเวลารถบรรทุกแล่นผ่าน ส่วนเธอไอโขลกและขยี้ตาจนน้ำตาไหล
" เนี่ยแหละถนน ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย "
เธอแผดเสียงหงุดหงิดทั้งที่ยังลืมตาไม่ขึ้น แถมขอบตาบวมแดงไปหมด เธอลุกขึ้นทำท่าจะเดินกลับที่พัก จนผมต้องตะโกนเรียก
" แคน ..ให้เราไปส่งไหม ? "
ผมถามพลางขยับจักรยานเสือภูเขาคู่ใจ ไม่มีที่ซ้อนท้ายแต่พอนั่งโครงด้านหน้าได้ เธอไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้าแล้วรวบผมไว้อย่างเดิมก่อนขยับขึ้นมานั่ง ผมประคองเธอไว้พยามสัมผัสตัวเธอให้น้อยที่สุดโดยที่ไม่ทำให้เธอหล่นและปั่นไปตามที่เธอชี้ทางช้าๆ พยายามมีสมาธิอยู่กับเส้นทางมากกว่าเรียวขาของเธอ แถมเธอหนักกว่าที่คาด รถเลยค่อนข้างโคลงเคลงหน่อย
" วิทย์ เธอไม่ได้รอใครบางคนอยู่จริงๆด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงไปส่งเราไม่ได้ "
เธอพูดพลางเหลียวหน้ามามองหน้าผม สายตาของเธอในระยะใกล้ดูน่ารัก์จริงๆ
" โธ่ เราจะโกหกไปทำไม เราเป็นคนพูดน้อย ก็ต้องพูดความจริงสิ จะได้พูดน้อยๆ ถ้าพูดก็หกก็ต้องหาเรื่องมาแต่งเติมคำโกหก ก็จะกลายเป็นคนพูดเยอะน่ะสิ "
ผมคุยขำ ๆ
" ใช่สินะ ถ้าเขาพูดความจริงเหมือนอย่างเธอก็คงดี เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแฟนเราต้องปิดบังความจริงกับเรา "
" เขาคงไม่อยากให้เธอไม่สบายใจมั้ง การโกหกบางครั้งก็ทำเพื่อให้คนที่รักสบายใจนะ "
ผมปลอบเธอเพราะกลัวเธอจะเสียใจขึ้นอีก
" ปิดบังเรื่องที่มีคนอื่นนี่นะ ทำเพื่อให้เราสบายใจ "
พอเธอสวนมาผมก็นิ่งสนิทไม่ได้เอ่ยคำอะไรอีกนอกจาก
" ไม่รู้สิ เราไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีคนรัก เลยไม่รู้จะพูดยังไงดี ขอโทษนะ "
" ไม่ต้องขอโทษหรอก เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ แล้วถ้าคืนนี้เราไม่เจอเธอเราคงแย่เลย หอเราก็อยู่ไกลเสียด้วย เธอเหนื่อยรึเปล่า เปลี่ยนกันถีบก็ได้นะ "
" ไม่เป็นไรหรอก สบายมาก "
ผมตอบพร้อมเพิ่มแรงถีบเร่งความเร็ว ลมหนาวในเดือนธันวาเริ่มโบกมาสัมผัส พอให้เย็น แต่บางอย่างในตัวผมเริ่มคุกรุ่น
" หนาวรึเปล่า ?"
เธอหันมาถามผม
ผมไม่ตอบคำถามนี้ของเธอนอกจากส่ายหน้า
เธอค่อยๆขยับตัวถอยหลังมาชนกับหน้าอกของผมแล้วแนบนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมมองขาของเธอไม่เห็นแล้วเพราะก้มหน้าไม่ลง ศรีษะของเธอค้ำคอของผมอยู่
" อุ่นขึ้นไหม ? "
เธอหันมาถามอีกรอบ ส่วนผมยังคงเงียบ ได้แต่พยักหน้าเท่านั้น ...ผมอุ่น ท้องถนนของผมอบอุ่นเป็นคืนแรก ...
...ล้อรถจอดนิ่งข้างๆป้าย ผมเปิดประตูรถลงมาจุดบุหรี่ดูดเรียกความอบอุ่น เธอไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นและผมไม่ได้ถามข่าวคราวของเธอจากใคร เรื่องคืนนั้นมีเพียงเราเท่านั้นที่ทราบ มันคล้ายกับแทบจะไม่เกิดขึ้นเพราะพอรุ่งเช้า เราต่างก็กลับไปเรียนและใช้ชีวิตของเราตามปรกติ เธอส่งยิ้มให้ผมทุกครั้งที่พบกัน หรือบังเอิญสบตากัน แต่ปราศจากการพูดคุย แม้ผมจะได้ข่าวว่าเธอเลิกกับแฟนของเธอในอีกสี่เดือนต่อมาก็ตาม เรื่องถนนคืนนั้นเกิดขึ้นและจบลงตรงนั้น
ควันบุหรี่ลอยตามลมไปข้างหน้า ผมทอดสายตาไปฝั่งตรงข้าม มีป้ายรอรถแบบเดียวกันอยู่ ผมคลับคล้ายเห็นหญิงสาวขาสวยผมยาวหน้าตาคุ้นเคยดีคนหนึ่งขยี้ตาแล้วส่งยิ้มมาทางผม
ผมเพียงยิ้มตอบกลับไป แล้วเตรียมจะข้ามถนนไปหา
แต่รถบรรทุกดินคันหนึ่งแล่นตัดหน้าจนฝุ่นตลบไปทั่วบริเวณ
พอพ้นเงารถก็ไม่เห็นใครอีก ท้องถนนแถวนั้นมีแค่ผม
ผมเพียงยิ้มอีกครั้ง ...แล้วก็เกิดความรู้สึกอบอุ่น
สำหรับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราทำได้เพียงยิ้มให้อย่างอบอุ่นเท่านั้น
.............................. .......................
เช้าวันอาทิตย์สดใส ครอบครัวหนึ่งมีพ่อแม่และลูกสาวอีกสองคนลงกุญแจบ้านเตรียมหอบข้าวของไปพักผ่อนในวันหยุด
เสียงโทรศัพท์ในบ้านดังหลายครั้ง แต่ไม่มีใครได้ยิน
" ที่นี่บ้านนายประวิทย์ครับ ขณะนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน หากมีธุระเร่งด่วน โปรดฝากข้อความหลังได้ยินเสียงสัญญาณ "
เสียงตื้ด ส่งไปตามสายโทรศัพท์ไปหาเจ้าของสาย
" วิทย์ วันนั้นเราไม่ได้ไปงานเลี้ยงรุ่น ยายแอนเพื่อนเราบอกว่าเห็นเธอไป เราก็เลยฝากหาเบอร์โทรของเธอ เราอยากพบเธอนะติดต่อกลับด้วยที่เบอร์............"
......จบ ....
เรื่องสั้นคั่นเวลา เขียนไว้ในฤดูหนาวของปีแรกที่เข้าทำงาน
จากคุณ :
กาแฟสอง/bombay2520@yahoo.com
- [
วันลอยกระทง 18:27:12
A:192.168.0.98 X:203.152.18.38
]