ณ ค่ายใหญ่ของหอห้ากระบี่
จื่ออิงยืนอยู่บนเชิงเทินเหนือกำแพงไม้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ทอดสายตามองป่าไม้ขุนเขาโดยรอบ
มันมิได้กำลังชื่นชมกับวิวทิวทัศน์โดยรอบเหล่านี้ ไม่เฉพาะแต่มันมิว่าผู้ใดตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับมันก็ยากยิ่งที่จะสามารถครองสติอารมณ์ให้ชื่นชมกับธรรมชาติรอบข้างได้ เนื่องเพราะเวลานี้กองกำลังของหอห้ากระบี่ถูกล้อมมากว่าเจ็ดวันแล้ว
หลังจากที่พวกฉิกจับอิดนำกำลังบุกเข้าล้อมค่ายแห่งนี้ในเวลาค่ำคืนของหลายวันก่อน พวกมันก็ได้ทำการปิดกั้นมิให้ฝ่ายหอห้ากระบี่สามารถออกไปหาน้ำและอาหารได้ เสบียงที่จัดเตรียมมาก็ร่อยหรอและหมดลงเมื่อสองวันก่อน
ชาวยุทธฝ่ายธรรมะต่างพากันอิดโรยและอ่อนแรง ขวัญกำลังใจตกต่ำถึงขีดสุด ความหวังหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่คือกำลังหนุนจากพวกเจ็ดจอมยุทธ อันประกอบด้วยพรรคกระยาจก พรรคสองทิศ พรรคหมัดฆาตกร และสำนักใหญ่น้อย
เหตุใดจื่ออิงจึงนิ่งเฉยปล่อยให้ฝ่ายศัตรูล้อมกรอบอยู่เช่นนี้?
การทำเยี่ยงนี้ไยมิใช่เท่ากับเป็นส้มในลังรอเวลาให้อีกฝ่ายหยิบฉวยไปรับประทานหรอกหรือ?
เรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อสี่วันก่อน ผู้นำบู๊ตึ๊งเคยส่งคนตีฝ่าออกไปสืบข่าวกำลังหนุนเหล่านั้นหลายครั้ง ทว่าสายสืบเหล่านั้นล้วนหายไปราวกลับหายเข้ากลีบเมฆทีเดียว
สาเหตุย่อมมาจากวงล้อมของฉิกจับอิดที่ทำการปิดล้อมจนแน่นหนา กระทั่งแมลงวันสักตัวก็อย่าหวังที่จะเข้าออกได้ หากพวกมันมิยินยอม!!!
ดังนั้นสายสืบเหล่านั้นแม้จะใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด ที่สุดก็แลกมาได้เพียงข่าวสารหนึ่งเดียว
ข่าวสารดังกล่าวมิใช่ข้อความ ไม่ใช่จดหมาย และมิใช่วัตถุสิ่งของ
แต่เป็นศีรษะ!!!! ศีรษะของมนุษย์!!!! ของสายสืบ!!!!
ศีรษะเหล่านี้ถูกโยนเข้ามายังค่ายในเช้าวันต่อมาด้วยลักษณะที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต เป็นสภาพที่น่าสยดสยอง จนศิษย์หันซานหลายคนต้องอาเจียนออกมา บางคนอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง กระทั่งน้ำขมในกะเพาะก็ถูกขับออกมาแทบหมดสิ้น จื่ออิงได้แต่ยับยั้งการส่งสายสืบออกไป
เหตุการณ์อันน่าหวาดหวั่นเกิดขึ้นยังมิทันสิ้นสุด ฉิกจับอิดก็อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายระส่ำระสายบุกจู่โจมติดต่อกันไม่หยุดยั้ง โดยแบ่งกันเป็นหกกลุ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาจู่โจมรบกวนอยู่เนืองๆ การจู่โจมมีทั้งจริงและเท็จ
บางคราโห่ร้องเสียงดังสะท้านแผ่นดิน ทว่ากลับมิมีการจู่โจมใดใด บางคราเงียบเชียบราวกับมิมีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น พลพรรคฉิกจับอิดก็พากันโผล่ขึ้นที่หน้าค่ายของหอห้ากระบี่ราวภูตผี บางครามิปรากฏทั้งสุ้มเสียง หรือผู้คน แต่ปรากฏหินใหญ่ และห่าธนูเพลิงจู่โจมเข้ามาแทน
การกระทำเช่นนี้ของพวกมัน ทำให้ฝ่ายหอห้ากระบี่มิเป็นอันหลับอันนอน เนื่องเพราะต้องคอยพร้อมรับสถานการณ์อยู่แทบตลอดเวลา ในขณะที่ฝ่ายฉิกจับอิดสามารถผลัดเปลี่ยนกันพักผ่อนพักผ่อนได้เต็มที่
นอกจากพวกมันจู่โจมรุนแรงจากภายนอกแล้ว ยังใช้วิธีการพิเศษโดยการซัดขว้างซากศพที่ป่วยตายใส่ค่ายเพื่อให้เกิดโรคระบาดภายในฝ่ายธรรมะ การจู่โจมเช่นนี้กลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่าการจู่โจมใดๆ ที่ผ่านมา เพราะไม่เพียงจู่โจมไปที่จิตใจ สร้างความระส่ำระสายแล้ว โรคระบาดยังเป็นสิ่งที่ระวังป้องกันได้ยากยิ่ง!!!!
จื่ออิงนึกสงสัยอยู่ครามครัน เหตุใดฉิกจับอิดจึงมิจู่โจมให้แตกหักลงโดยเร็ว กลับจู่โจมคล้ายแมวเล่นหยอกหนู หรือพวกพรรคมารรอเวลาให้พวกเขาบาดเจ็บอ่อนแอถึงขีดสุด จึงจะหักเข้าทำลายโดยง่าย ...ถ้าเป็นอย่างที่คิด เวลานั้นก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
ผู้นำคนปัจจุบันของหอห้ากระบี่ยกมือทั้งสองขึ้นกุมศีรษะ ความกดดันทั้งหลายประดังประเดเข้ามาในหัว ชั่ววูบจื่ออิงบังเกิดความคิดขลาดเขลา ...หากมันคัดเลือกผู้ที่มีฝีมือจริงๆ อย่างต้วนเล้ง หยางซีเหมิน เหวินเหม่ยชิง ฝ่าออกไป ...บางทีอาจยังรักษาชีวิตรอดได้มิใช่หรือ?
แต่ในที่สุดเจ้าสำนักบู๊ตึ้งก็ต้องทอดถอนใจเลิกล้มความคิดนั้นเสีย
ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะคุณธรรมที่ไม่อาจทอดทิ้งมิตรสหาย แต่เพราะทิฐิ
ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตจื่ออิงคือเป็นประมุขยุทธภพที่ยิ่งใหญ่ จารึกชื่อในประวัติศาสตร์ หากบัดนี้หนีเอาตัวรอด ทั้งชาติอย่าหมายกู้เกียรติยศกลับคืนมา!!!!
ขณะนั้นหลวงจีนหัวหลินเดินมา เมื่อพบเห็นจื่ออิงมีท่าทางวิตกทุกข์ร้อนก็กล่าวถามขึ้นว่า ประสกจื่อกังวลอยู่หรือ?
ท่านอย่าประชดเลย เจ้าสำนักบู๊ตึ้งกล่าวพลางปั้นหน้าเคร่งขรึม ท่านจะมาเยาะเย้ยถากถางข้า ที่คิดกวาดล้างฉิกจับอิด ขจัดภัยยุทธภพ สุดท้ายกลับพลาดท่าซะเองกระมัง? ...แต่อย่าลืมเวลานี้ท่านซึ่งยังไม่ทุเลาจากอาการบาดเจ็บ ในสายตาของทุกคน ก็เป็นเพียงหลวงจีนชรา เป็นไม้ใกล้ฝั่งที่รอเวลาผุพังเท่านั้น!!
หลวงจีนหัวหลินเห็นอีกฝ่ายหงุดหงิดโกรธเกรี้ยว ทราบว่านี่มิใช่เวลามาทะเลาะเบาะแว้งกันเอง จึงตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวลว่า โอ...ประสกจื่อท่านเข้าใจผิดแล้ว อาตมามิได้มาเพื่อตำหนิท่านเลย
แต่ท่านก็ไม่เห็นด้วยกับศึกนี้อยู่ดี อยากให้เรายอมแพ้ละสิ!!! จื่ออิงร้อง
...ประสกจื่ออย่าเข้าใจผิด อาตมามาเพื่อเสนอแนะทางรอดของเราต่างหาก เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเทียนซานกล่าวเสียงเรียบ
หืม?
ท่านคงเห็นแล้ว การที่พวกฉิกจับอิดยังไม่โจมตีเรา เพราะพวกมันต้องการให้เราอยู่ในสภาพอิดโรยอ่อนแรงถึงขีดสุดจึงค่อยหักเอาทีเดียว
เรื่องนี้ข้าพเจ้าทราบดี มิต้องให้ท่านบอกหรอก!
หลวงจีนหัวหลินหลับตาลง ประนมมือกล่าวว่า อมิตพุทธ อาตมาเห็นว่าเราพาลให้มันบุกเข้ามายิ่งเร็วยิ่งดี
หา!!! จื่ออิงเลิกคิ้ว
กลยุทธของซุนวูว่าไว้ ขณะเราแข็งแรงจงทำให้ศัตรูคิดว่าเราอ่อนแอ และขณะเราอ่อนแอจงทำให้ศัตรูคิดว่าเราแข็งแรง ดังนั้นในระหว่างที่เรายังไม่อ่อนแอถึงขีดสุด เราต้องทำให้มันคิดว่าเราอ่อนแอถึงขีดสุด ไต้ซือกระต่ายน้อยค่อยๆ อธิบาย
จื่ออิงฟังถึงตรงนี้ เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีเหตุผลจึงกอดอกฟัง ไต้ซือกระต่ายน้อยก็กล่าวต่อว่า
เราควรลดเวรยามลงกึ่งหนึ่ง ให้คนยืนเวรที่เหลือแกล้งทำกระปรกกระเปลี้ย จากนั้นสั่งคนหมกตัวอยู่แต่ในกระโจม สร้างบรรยากาศอันเงียบสงัด คอยระวังดูเมื่อฉิกจับอิดล้อมโจมตีเข้ามาเราค่อยรวมกำลังทั้งหมดฝ่าออกไปทางหนึ่ง ความที่ฝ่ายศัตรูประเมินกำลังเราต่ำต้องทำให้สามารถฝ่าออกไปได้แน่
แผนการอันประเสริฐ!!!" จื่ออิงโพล่งออกมา แต่แล้วเหมือนนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ ปั้นสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า
"ไต้ซือ ท่านลืมไปแล้วหรือว่า กุนซือของฉิกจับอิดคือผู้ใด!! มันคือ รั่วซุนจื่อจิง คัมภีร์เป็นซุนหยาง หากมันทราบว่าเราทำกลลวงเล่า? พวกเราไยมิตกตายจนหมดสิ้นหรือ?!! เจ้าสำนักบู๊ตึ๊งกล่าวเสียงดัง
หากเป็นดังที่ประสกกล่าวก็นับว่าประเสริฐ เพราะพวกมันจะไม่กล้าบุกเข้ามา เป็นการหน่วงให้เรามีเวลารอกำลังเสริมมากขึ้น เข้าหลักกลยุทธตีขิมบนกำแพงซึ่งจูกัดเหลียงใช้กับสุมาอี้ในอดีต หลวงจีนหัวหลินกล่าว
จื่ออิงคิดตามฝ่ายตรงข้ามก็เห็นจริงโดยตลอดจึงตบมือฉาด ไต้ซือ วันนี้ท่านได้ให้ความกระจ่างแก่ข้าแท้ๆ เทียว ดี! ตกลงทำตามแผนนี้ เขาหัวเราะ
ฮาฮา วันนี้ท่านทำให้ข้าต้องมองท่านใหม่เสียแล้ว
อมิตพุทธ อาตมาเพียงคำนึงถึงความอยู่รอดของหอห้ากระบี่เท่านั้น... หลวงจีนหัวหลินประนมมือพูด
จื่ออิงรู้สึกปลอดโปร่งรีบอำลาหลวงจีนชรา เพื่อไปกำหนดแผนการณ์กับ ต้วนเล้ง และหยางซีเหมิน หลวงจีนชราได้แต่มองตามหลังเขาด้วยความยินดีที่บรรเทาอาการวิตกของอีกฝ่ายได้บ้าง แต่ลึกๆ แล้วไต้ซือกระต่ายน้อยกลับเป็นผู้วิตกเสียเอง...
เขาเริ่มทราบแล้วว่าศึกครั้งนี้อาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง...
และบางทีกำลังเสริมของหอห้ากระบี่อาจจะไม่มีวันมาถึงตลอดกาล...
... ... ...
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
2 ธ.ค. 47 14:23:58
]