CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    หนุ่มอกหัก VS. สาวรักคุด (ตอนที่ 1 )

    1…..

    หลังจากที่นุ่นตกลงปลงใจกับนายโจนาธานอะไรนั่นแล้ว ผมก็แห้วน่ะสิครับ ! ก็แอบหลงรักเธอมาตั้งแต่ตอนอยู่ไฮสคูลที่นี่ ตอนที่ผมรู้ว่าตัวเองต้องตามพ่อไปอยู่ที่อเมริกาผมก็ตั้งใจว่าจะต้องบอกเธอให้ได้ แต่ว่า..ยัยนั่น เพราะยัยตุ๊กแกนั่นคนเดียวเชียวที่ทำให้ผมต้องอกหัก ทั้งๆที่ผมมาก่อนเจ้าลูกครึ่งหน้าเข้มที่แย่งนุ่นไปเสียอีก..
    ในวันที่เพื่อนๆทุกคนในชั้นไฮสคูลพากันมาส่งผมที่สนามบินนั้น ผมพยายามแล้วพยายามอีกที่จะหาโอกาสให้ได้อยู่กับนุ่นสองต่อสองเพื่อจะได้สารภาพความในใจให้เธอรู้ แต่ว่า …ยัยนั่นสิ คอยกันท่าผมตลอด ไม่ว่าจะหาทางยังไงก็มืดมนเสียเหลือเกิน
    ผมมั่นใจว่ายัยตัวแสบนั่นต้องรู้แน่ๆ ว่าผมแอบหลงรักนุ่นถึงได้คอยกันท่าจนผมแอบคิดว่า ยัยนี่คงเป็นโรคจิต ขี้อิจฉาคนมีความรักแหงๆ แต่ทีตัวเองพอมีหนุ่มๆมาจีบก็ทำเป็นเล่นตัว ผมงี้ไม่ยักกะมองเห็นความสวยงามของยัยบ้านี่สักนิดเดียว…อัปลักษณ์ล่ะสิไม่ว่า !!
    ผมตัดสินใจไปพักรักษาแผลรัก (ข้างเดียว) อยู่ที่เกาะท่ามกลางความสวยงามของหาดทราย สายลม และท้องทะเลสักพัก ที่นั่นเป็นเกาะทางตอนใต้ของประเทศไทย หลังจากที่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สักครึ่งปีก่อนจะกลับไปทำปริญญาโทต่อที่อเมริกาและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นไปชั่วชีวิต (คิดแล้วน่าเศร้านะครับ ทั้งที่ผมหลงเสน่ห์สาวไทยจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วแท้ๆ ) (T_T)
    ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่ท่าเรือเพื่อรอที่จะข้ามไปเกาะพีพี ผมไม่ได้หอบหิ้วสัมภาระอะไรมามากมายนักถึงแม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดกลับก็ตาม ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกแย่มากนักหรอกครับเพราะว่านุ่นกับผมก็ยังคงเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าผมอยากมาตากอากาศสดชื่นที่หาไม่ได้ในเมืองหลวงของบ้านเราเท่านั้นเอง ส่วนไอ้เรื่องที่ว่าจะมาเหล่สาวนุ่งบิกินีล่ะก็ ลืมไปได้เลยครับ เพราะว่าผมโตมาจากเมืองนอก เรื่องแบบนั้นเห็นจนชินตาไปเสียแล้ว ผมน่ะชอบผู้หญิงไทยที่ทำตัวอยู่ในกรอบแบบนุ่นมากกว่า
    ไอ้ผู้หญิงประเภทนุ่งน้อยห่มน้อยเที่ยวกลางคืนเก่งเนี่ย ผมขอโบกมือบ๊ายบายก่อนเลย พลันสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังขาวนวล ที่มีเพียงเชือกเส้นน้อยยึดติดเสื้อไว้กับร่างนั้น เธอเดินผ่านผมไป ผมเหลือบมองตามหลังเธอคิดว่าแม่นี่ต้องเป็นสาวญี่ปุ่นแน่ๆ กางเกงขาสั้นจุ๊ดจู๋ ขาขาวยาวอย่างกับตะเกียบแบบนั้นเห็นแล้วรู้สึกอะไรไม่ลงนอกจาก…ไม่น่ามอง
    ตุ๊บ ! เสียงหล่อนวางกระเป๋าเดินทางใบโตลงข้างผม ช่างไม่มีมารยาทเอาซะเลย ผมแอบว่าเธออยู่ในใจ
    “โอ๊ย…ร้อนชะมัด ! “ โถ…แม่คุณ ใส่ขนาดนี้ยังบ่นร้อนอีก อยู่เมืองร้อนไม่ได้ก็กลับบ้านไปซะสิ แต่เอ๊ะ !…เธอเป็นคนไทยนี่ ผมหันไปมองทันที อยากจะดูหน้าแม่สาวใจกล้าจอมโวยวายคนนี้หน่อยสิ ถ้าไม่สวยล่ะก็…
    “เฮ่ย !!!” ผมกระโจนออกจากตรงนั้นแทบไม่ทัน…น่ะ…นี่มัน…ยัยปีศาจ ! ยัยอัปลักษณ์ ! ยัยปอ !

    …………………………………………………………………………..

    ฉันออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ โดยสายการบินหนึ่ง ตั้งใจว่าจะมาพักผ่อนให้ลืมเรื่องเครียดๆเสียให้หมด ที่สำคัญ ถ้าต้องให้อยู่เจอหน้ากับนายนั่นที่ตอนนี้มาขอพักอยู่กับที่บ้านของฉันชั่วคราว…ถ้าให้เจอกันทุกวันมีหวังฉันต้องประสาทกินแน่ๆ เพราะฉะนั้น เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าให้ช้ำใจอีก ก็ถอยออกมาเองดีกว่า…
    หลังจากครุ่นคิดอยู่นานว่าจะไปที่ไหน สุดท้ายพี่ต้องพี่ชายซึ่งเป็นญาติคนเดียวของฉันก็เสนอความคิดว่า ถ้าอยากจะไปพักที่ทะเลก็ให้ไปที่ภาคใต้เพราะว่าอากาศดี ที่สำคัญคือ พี่โจ้ (เพื่อนซี้ของพี่ต้องน่ะแหละ) มีรีสอร์ทอยู่ทางใต้พอดี เมื่อตกลงตามนั้น. ฉันตัดสินใจออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้ามืด ขืนนอนตื่นสายก็ต้องเจอหน้านายนั่นให้หัวเสียเปล่าๆ
    เมื่อมาถึงสนามบินที่ภูเก็ต ฉันตัดสินใจที่จะพักอยู่ที่รีสอร์ทของพี่โจ้แค่เพียงคืนเดียว เนื่องจากเกรงใจพี่เขา เลยได้ไอเดียร์มาใหม่ว่าจะไปเที่ยวที่เกาะพีพี เพราะที่นั่นมีหาดใกล้เคียงที่สวยงามและเงียบสงบมากมาย
    ทันทีที่มาถึงท่าเรือ โอ้โห ! ฝรั่งเยอะแยะไปหมด ก็แหม…แต่ไหนแต่ไรสเป็คของฉันก็ชอบพวกลูกครึ่งอยู่แล้วนี่นา ไม่ว่าจะเป็นพี่โจนาธาน (โจ้) ที่แอบปลื้ม (ก่อนจะถูกยัยนุ่นคาบไป อิอิ) แล้วก็อีตาบ้านั่นอีก ก็คงต้องยอมรับล่ะนะว่าความจริงแล้วก็แอบปิ๊งอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องอะไรจะยอมเสียฟอร์ม อีกอย่างถึงรูปร่างหน้าตาจะโดนใจขนาดไหน ก็คงทำใจให้คิดเกินกว่าคำว่าชอบไม่ได้หรอก เพราะว่านิสัยทรามขนาดนั้น…ยัยนุ่นนี่โชคดีจริงๆ ที่นายขี้เรื้อนนั่นยอมออกไปจากชีวิตได้
    ตอนที่เดินทางโดยรถของทางรีสอร์ทมาถึงท่าเรือซึ่งกำลังก่อสร้างใกล้จะเสร็จ ฉันที่วันนี้กะจะมาเอาผิวสีน้ำผึ้งอย่างยัยนุ่นกลับไปอวดเพื่อนๆที่กรุงเทพ ฯ ก็เลยใส่ชุดที่ขนาดตัวเองยังรู้สึกอายๆ แต่ก็ช่างมันเถอะน่า อยู่ปะปนกับพวกต่างชาติแบบนี้ ไม่มีใครเขาถือกันหรอก…ก็คนมาทะเลนี่นาไม่ได้มาเมืองหิมะเสียหน่อย
    ทันทีที่หาที่นั่งได้ ถึงจะหายเมื่อยแต่ความร้อนกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนอยากจะวิ่งลงทะเลซะเดี๋ยวนั้น ในขณะที่ฉันกำลังมองสำรวจเพื่อนรวมกรุ๊ปที่จะไปเรือลำเดียวกัน เสียงใครคนนึงข้างๆฉันก็ดังขึ้น ทำเอาฉันสะดุ้งไปด้วย และวินาทีที่ฉันหันไปมองทางต้นเสียง…ให้ตายสิ ! ไม่นะ ! ใครก็ได้ช่วยบอกที ว่านี่มันเป็นแค่ฝัน ! หน้าตาของฉันตอนนี้คงไม่ต้องอธิบาย นอกจากตกใจสุดขีดแล้วยังเบลอจนมือไม้สั่น ลืมเรื่องอากาศที่ร้อนไปเสียสนิท
    “นาย…นายมาทำอะไรที่นี่ !?” ฉันชี้หน้าถามเขา อีกมือก็หยิกที่ต้นขาของตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน และแน่นอน…ว่านี่มันเรื่องจริง !!!
    “เธอนั่นแหละ ยัยขี้เหร่ มาทำอะไรที่นี่ ?”
    “ฉันจะกลับ” ฉันลุกขึ้นยืน เชิ่ดหน้า หยิบกระเป๋าของตัวเองตั้งท่าจะเดินไป
    “เชิญ !!!” ฉันชะงักกึกทันที เดี๋ยวสิ ! ทำไมล่ะ ทั้งที่เราเสียตังค์ค่าตั๋วเครื่องบินเอง เสียเวลามาถึงที่นี่ แล้วทำไม…ทำไมฉันถึงจะต้องกลับด้วย นายนี่ต่างหากล่ะ ที่ต้องเป็นฝ่ายไป !!
    “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เรื่องอะไรฉันจะต้องกลับไป ฉันจะอยู่ของฉันแบบนี้ใครจะทำไม ?”
    “ก็เรื่องของเธอสิ แต่ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะยัยตัวดี ว่าอย่ามาจุ้นจ้านเรื่องของฉัน” เขาชี้หน้า ทำท่าเหมือนฉันเป็นนังแจ๋วที่บ้านอย่างนั้นแหละ !
    “ก็ได้ ใช่ว่าฉันอยากจะยุ่งกับนายซะเมื่อไหร่ นายก็เหมือนกัน ตั้งแต่นี้เราต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้จักกัน !”
    “ก็ดี งั้นฉันไปล่ะ” พูดจบตานั่นก็ยกข้างของของตัวเองเดินจากไปทันทีที่เสียงประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเรือดังขึ้น

    ฉันเองก็เตรียมตัว จัดแจงหยิบหมวกในกระเป๋าสะพายข้างหลังออกมาเพื่อใส่กันแดด เนื่องจากตั้งใจว่าจะขึ้นไปรับแดดบนชั้นสี่ของเรือ แต่จะว่าไป เจ้ากระเป๋าเดินทางใบนี้มันก็หนักเอาการอยู่แฮะ นี่ขนาดฝากของใช้บางอย่างไว้ที่รีสอร์ทแล้วนะ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นคนเรือคอยช่วยรับสัมภาระจากผู้โดยสารแล้ว ก็เบาใจได้ล่ะ !
    เมื่อรอจนคนน้อยลงแล้ว ใบหน้านี้ก็ฉีกยิ้มเต็มที่ให้กับพนักงานบนเรือ ทว่า…
    “คุณป้าครับ ระวังนะครับ มาครับผมช่วย” เขาเดินเลยฉันไปหน้าตาเฉย ก็แน่ล่ะ มีคุณป้าอีกกลุ่มเบ้อเริ่ม ดูแล้วแต่ละคนอายุไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ปี แถมทุกคนยังมีสัมภาระอีกกองพะเนิน…ช่างทรมานสังขารตัวเองจริงๆ แต่ว่าช่างเถอะยังไงก็มีคนเรืออีกสองคนอยู่ตรงนั้น เราบอกให้เขาช่วยยกกระเป๋าขึ้นเรือให้ก็ได้นี่นา…
    “เฮ้ย!! เร็วๆ มาช่วยกันหน่อย มีคนตีกัน!” ชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาเรียกพนักงานคนอื่นๆไปช่วยกัน ส่วนพวกคุณป้าก็ขึ้นเรือกันได้สำเร็จแล้ว เฮ้อ…อยากจะร้องไห้จัง นี่ไม่มีใครจะช่วยฉันได้เลยรึไงนะ ?
    “ว่าไง ยัยขี้เหร่ ? ยังไม่ทันแก่ก็ขึ้นเรือเองไม่ไหวซะแล้ว” อีตาบ้านั่นโผล่หน้าออกมาหัวเราะชอบใจอยู่ตรงระเบียงชั้น 2 ของเรือ…อย่านะ อย่าให้ฉันขึ้นไปได้ ฉันจะฆ่านาย !
    “อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน จำไม่ได้แล้วเหรอ เราตกลงกันว่ายังไง ?”
    “อืม จ้า แม่คนเก่ง ปากเก่งดีนัก ก็ขนของขึ้นมาเองละกัน แต่ว่าพนักงานสามคนนั้น คงไม่กลับมาง่ายๆหรอก” เขาหัวเราะเยาะ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเรือ
    จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ? คนอื่นเขาก็ขึ้นไปจองที่นั่งกันหมดแล้วด้วย เอาก็เอาวะ ! ลองยกเองดูสักตั้ง ถ้ายกไม่ไหวก็ปล่อยมันทิ้งน้ำไปเลยละกัน…
    “ท่านผู้โดยสารทุกท่านโปรดทราบ ขณะนี้ขอให้ท่านตรวจเช็คข้าวของให้ดีก่อนออกเดินทาง อีก 5 นาทีเรือจะออกจากท่าแล้วครับ” เสียงกัปตันเรือดังออกมาทางลำโพงที่ติดอยู่ด้านบนของเสาทุกต้น
    “มานี่!!” มือแข็งแรงฉวยเอากระเป๋าใบใหญ่ไปอย่างง่ายดายราวกับไม่ได้ออกแรงอะไรเลย
    “ใครใช้ให้นายมาช่วย อย่ามาเจ๋อหน่อยเลย !”
    “ก็เอาสิ ถ้าเธอจะรอไปรอบหน้าก็ขอบอกไว้ก่อนเลยนะยัยขี้เหร่ ว่าที่นี่เขามีเรือออกวันล่ะเที่ยว ถ้าขืนยังเรื่องมาก ก็โบกรถกลับโรงแรมเธอไปได้เลย !” ชายหนุ่มปล่อยกระเป๋าทิ้งอย่างไม่แยแส คนอุตส่าห์จะช่วยแท้ๆ ยังมาทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้…ผู้หญิงแบบนี้ใครหลงผิดไปแต่งงานด้วยมีหวังบ้าตายแน่ ผมคนนึงแหละที่จะไม่มีทางสนใจยัยนี่ ถ้าต้องแต่งงานกับหล่อน ผมขอบวชไม่ศึกไปตลอดชีวิตแทนละกัน…

    จากคุณ : sadmoon - [ 4 ธ.ค. 47 10:14:44 A:61.90.98.209 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป