จดหมายจากเมืองกรุง (อันเส็งเคร็ง)
อันโตนิโอ
ตอน เมื่อกรูเปนนักบินอวกาศ
วันที่เดือนพ.ศ.
อ้ายเริญเพื่อนรัก กรูใคร่บอกความในใจแก่มืงสักนิด ว่าแต่ก่อนร่อนชะไรที่เราเฝ้ามองดูท้องฟ้ายามวิกาลนั้น นอกเหนือจากจะเปนการได้พักผ่อนอย่างสงบแล้ว ยังเปนความมหัศจรรย์อันหาใดเปรียบมิได้ เมื่อกาลเวลานานเข้า กรูยิ่งติดการดูท้องฟ้ากลางคืนเข้าอย่างมิอาจถอนตัว ดาวแต่ละดวงที่สุกสว่างท่ามกลางอนธกาลมีอยู่อสงไขย จำนวนเท่าไรหนอที่มืงนับสมัยเรายังเด็ก สองพันได้กระมัง มืงผิดถนัด เพราะว่ากรูได้มาอ่านความน่าอัศจรรย์แห่งจักรวาลไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง กล่าวไว้ว่า ตราบเท่าที่มนุษย์ใช้เวลานับเลขให้มากขึ้นไปเรื่อยๆและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังคงเปนตัวเลขห่างไกลจากความจริงของจำนวนดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ดี
การที่มืงได้แลเห็นสิ่งต่างๆยามราตรีนั้นมืงว่ามหัศจรรย์น้อยอยู่หรือ เอาว่าพระอาทิตย์ที่เราเห็นกันทุกวันนั้นเล่าปะไร ดูว่าใกล้แค่นี้แลร้อนเหลือทน แต่แท้จริงอยู่ห่างโลกเราไปถึง 150 ล้านกิโลเมตร ไกลกว่าระยะทางจากบ้านเรามากรุงเทพฯไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ส่วนดาวที่มืงเห็นเล็กระยิบบนฟ้านั้นแท้จริงมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มากนัก แลยังเลยไกลห่างจากดวงอาทิตย์ไปหลายล้านเท่าทีเดียว
หน่วยของระยะทางในอวกาศเขาเรียกว่าปีแสง หมายถึงความเร็วของแสงที่ใช้เวลาเดินทาง 365 วันหรือปีหนึ่ง แสงที่ว่านี้มิใช่พระครูแสงที่วัดบ้านเรา หากแต่เปนพลังประหลาดซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างเช่นแสงจากดวงอาทิตย์ ส่วนมนุษย์นั้นก็สามารถผลิตแสงได้กับเขาเหมือนกันอาทิไฟฉายที่ใช้ส่องเวลาไปตีกบนั้นก็ใช่ ถ้านับจากปากกระบอกไฟฉายไปยังตัวกบ แสงจะเดินทางในไม่ถึงพริบตา ทันทีที่มืงเปิดสวิทช์ไฟฉาย แสงจักเดินทางไปถึงหลังลายๆของกบนั้นฉับพลันโดยไม่เห็นการดำเนินของมันเลย แต่ถ้ายืดระยะให้ห่างออกไปมากๆฉันโลกแลดวงอาทิตย์ ที่กรูบอกมืงว่าห่างกันถึง 150 ล้านกิโลเมตรนั้น แสงจากลูกไฟประลัยกัลป์จะเดินทางมาสาดส่องถึงขอบหน้าต่างบ้านมืงภายในเวลา 8 นาทีเท่านั้น สิ่งนี้แปลกน้อยอยู่หรือ
ไหนจะเรื่องของลำสีขาวที่ทาบทาบนฟ้ายามกลางคืนหน้าหนาวอีกเล่า ลางทีจะเรียกกันว่าทางช้างเผือก ฝรั่งเรียกทางน้ำนม ดูเหมือนไม่น่ามีอะไรใช่หรือไม่ มืงผิดอีกแล้วอ้ายเริญ ทางช้างเผือกที่เราเห็นนั้นล่ะคือบ้านใหญ่ของมหาอาณาจักรดวงดาวที่มีเป็นแสนๆล้านดวง ภาษาบัณฑิตเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าดาราจักร ในจักรวาลนั้นมีดาราจักรนับจำนวนไม่ถ้วน มีรูปแบบต่างๆทั้งวงกลม วงรี หรือไม่มีรูปทรงเปนแต่เพียงกลุ่มก๊าซขนาดมโหฬารอาทิ ส่วนรูปสี่เหลี่ยมหรือรูปปิระมิดนั้น นักดาราศาสตร์ยังหาไม่พบ
ทางช้างเผือกนี้เปนชนิดวงรี แบนคล้ายจานข้าวสังกะสีสองใบประกบกันคือตรงกลางป่อง ที่ป่องนั้นคือกระจุกของดวงดาวแน่นขนัด โลกของเรานี้ก็เปนส่วนหนึ่งของเจ้าทางช้างเผือกด้วย และที่เรายังอุตส่าห์มองเห็นได้นั้นเพราะโลกตั้งอยู่ในตำแหน่งขอบของมันนั่นเอง สิ่งนี้ก็น่าอัศจรรย์อยู่อีกไม่น้อยใช่หรือไม่
มนุษย์เรานี้จะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย มีการทำลายแลสร้างสรรค์สลับกันไปเปนอนันต์ มืงว่าสิ่งใดเปนความอัศจรรย์ของมนุษย์ หลายคนบอกว่าความโลภกรูไม่เชื่อ กรูเชื่อว่าสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ก็คือความอยากรู้อยากเห็น เจ้าความอยากรู้อยากเห็นนี้ล่ะถึงได้ก่อกำเนิดรถไฟ รถยนต์ เครื่องบิน โทรทัศน์ แลอย่างอื่นๆอีกมากมาย แลเมื่อมนุษย์อยากรู้เรื่องอวกาศ มนุษย์ก็หาวิธีเดินทางออกไปสัมผัสได้จริงดังในหน้าหนังสือพิมพ์ เท่าที่กรูรู้ ประเทศที่จุดบั้งไฟมากเป็นอันดับหนึ่งคือประเทศไทยของเรา แต่ประเทศที่ปล่อยยานไปนอกโลกมากที่สุดคือประเทศอเมริกา แลบัดนี้ก็มีหลายประเทศที่เริ่มส่งนักบินอวกาศของตนไปสำรวจนอกโลกกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง อาทิ ญี่ปุ่น แลจีน
ความหวังอันสูงอย่างหนึ่งในชีวิตกรูคือการได้เห็นโลกจากอวกาศภายนอก มันคงสวยอย่างบอกไม่ถูก กล่าวกันว่าในบรรดาดาวเคราะห์ของระบบสุริยะจักรวาลนี้ โลกคือความงามอย่างเอกชนิดหาที่เปรียบมิได้ จะว่าเข้าข้างกันเองก็เห็นจะจริงอยู่ เพราะถ้าดาวอังคารมีคนอยู่จริง เขาก็คงว่าของเขาสวยไม่แพ้กัน แต่มืงจงจินตนาการดู เมื่อหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของโลกไปแล้ว มืงจะเริ่มเห็นความเวิ้งว้างน่าตะลึงใจ เมื่อมองหันหลังกลับมา มืงจะเห็นดวงแก้วสีฟ้ามีรอยวนอันเกิดจากกลุ่มเมฆเปนสีขาวสะอาด สวยจนสะท้านใจใช่ไหมเล่า
จากคุณ :
อันโตนิโอ
- [
8 ธ.ค. 47 21:23:40
]