CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    อยากเขียนเรื่องนี้ต่อ..รอว่าจะมีคนอ่านไหม..หนอ???

    บทที่หนึ่ง หน่อมนุษย์สุดฤทธิ์กล้า

    สนามหญ้าเขียวนุ่มนั้นแผ่กว้างไปจรดขอบแมกไม้ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ
    น่าแปลกที่เหมือนกับมีใครมาตัดให้เรียบเสมอกันได้เป็นอาณาบริเวณที่กว้างขวางถึงปานนี้
    ต้นไม้แต่ละต้นที่ยืนเรียงรายแม้ไม่เป็นระเบียบแต่ก็คล้ายกับถูกกำหนดให้ขึ้นอยู่บนจุดที่เหมาะสม
    ลำต้นสีน้ำตาลเข้มตัดกับใบสะพรั่งเขียวอ่อนและแก่ดูคล้ายผลงานจากปลายพู่กันของจิตรกรลือชื่อ
    ซ้ำยังแต่งแต้มด้วยมวลดอกไม้หลากสี
    น้ำเงินคราม
    พวงแดง
    ระย้าเหลือง
    พุ่มชมพู
    สลับกันดูราวกับดินแดนแห่งสรวงสวรรค์
    ท้องฟ้านั้นก็เป็นใจแจ่มใสส่องประกายฟ้าสะอาดตาอยู่เบื้องบน
    มีกลุ่มก้อนเมฆที่ขาวราวปุยนุ่นลอยนิ่งทิ้งรอยหยักรอบตัวไว้ให้แสงจากดวงอาทิตย์หักเหเปล่งสีส้มแดงขับเน้นให้เด่นอยู่ทางด้านทิศตะวันตก
    สายลมคงยังโชยแผ่วอยู่อย่างนี้มาชั่วนาตาปี
    นานๆ ครั้งจะได้ยินเสียงนกร้องมาจากที่ใดที่หนึ่ง
    บางครั้งไกลสุดเอื้อม
    บางครั้งใกล้ดุจมือจะคว้าตัวได้

    ลำธารตรงหน้า
    ส่องประกายล้อแสงตะวันยามเย็นราวมีชีวิต
    มันทอดลดเลี้ยวลงมาจากยอดเขาด้านซ้ายมือ
    เลื้อยผ่านโตรกผาและชั้นหินอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย
    นำพาชีวิตที่อาศัยท้องน้ำนั้นไปกับมันด้วยในทุกๆ ที่ที่มันผ่านถึง
    ความใสแลดูเย็นชื่นนั้นสามารถมองทะลุผ่านเข้าไปเห็นฝูงมัจฉาแหวกว่ายไปมาเริงร่าราวกับชีวิตนี้ทิ้งสิ้นแล้วจากความทุกข์  
    ใบไม้เก่าบ้าง ใหม่บ้าง
    เศษไม้ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง
    ลอยเอื่อยตามผิวน้ำที่ไหลอ้อยอิ่งเหมือนจะประวิงเวลาให้ผ่าน ณ จุดนี้ให้นานเท่านาน
    แผ่นน้ำสะท้อนผืนฟ้า  
    แผ่นฟ้าโอบกอดพื้นดิน
    หลากผลงานของธรรมชาติได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของมวลสรรพสัตว์มาช้านาน
    หากจะมีสายตาใดเล่าจะเสพสุขแห่งสีสันและบรรยากาศเงียบสงบนั้นได้เท่ากับมนุษย์

    ในอ้อมกอดของกันและกัน
    ความสุขสันต์เหลือบรรยายเอ่อล้นออกมาจากหัวใจและดวงตา
    ทั้งเธอและเขาไม่มีคำพูดใดมาถ่ายทอดแทนความรู้สึกผูกพันดื่มด่ำนั้นได้
    หวานก็เกินหวาน ชื่นก็เกินสุข
    ต่างใช้สายตาแทนความหมาย
    และใช้รสสัมผัสแก่กันและกันแทนคำพูด
    แม้ว่าบางส่วนจะลึกล้ำอุ่นชุ่มเพราะหยาดน้ำ
    บางส่วนจะนุ่มนิ่มกลมกลึงจนมิอาจจะหักใจปล่อยหลุดจากมือ
    บางส่วนจะแกร่งกร้าวดุดันผงาดสู้และไวต่อความรู้สึกจากการสัมผัส
    เขาและเธอก็ยังปรนเปรอกันอย่างมิรู้วาย
    กระหายใคร่รู้ใคร่รักกันอย่างมิต้องยั้งใจ
    ธรรมชาติให้รสชาติทั้งทางตา ทางกาย ทางใจ
    และทุกโสตสัมผัสของเขาและเธอเท่าที่จะรับได้
    รสชาติเหล่านี้
    จะมีใครเล่าเสพสุขในสิ่งนี้ได้เท่ากับมนุษย์

    เหมือนสายฝนถั่งโถมลงมาโดยมิได้ตั้งเค้า
    เหมือนภูผากระแทกทั้นจากยอดฟ้าลงสู่ดิน
    ครืนครั่นสะเทือนสิ้นถึงดินฟ้า
    ลำธารน้อยกลายเป็นแหล่งอุทกแห่งภัยที่คาดไม่ถึง
    ซัดพาทุกสิ่งทุกอย่างมลายสิ้นไปกับสายตา
    ทิ้งไว้แต่ร่องรอยของมายาที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์

    ดูกร ท่านทั้งหลาย
    เรื่องราวเหล่านี้ได้บังเกิดขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นของนานาเรื่องราวที่จะไหลย้อนมาแสดงสู่ท่านด้วยลีลาแห่งอักษรที่ประดิษฐ์เรียงรายด้วยอารมณ์ของคีตพันธกรผู้ไร้นาม
    ข้าฯจะพาท่านเข้าสู่เหตุการณ์แห่งกลียุคที่ได้บังเกิดขึ้นมาแล้วนานนับกัปนับกัลป์
    ซึ่งหน้าประวัติศาสตร์มิจำเป็นต้องมีเรื่องราวเหล่านี้บันทึกไว้เพราะด้วยบัณฑิตอาจจะเห็นว่าไร้ค่าจนมิอาจประเมินได้ตามความรู้สึกของคนหยาบกร้านทางอารมณ์
    หากมีจารึกจดจำถ่ายทอดผ่านกันมาเพื่อตอกย้ำคุณค่าแห่งความรักและฤทธานุภาพของหัวใจโดยความเชื่อมั่นในน้ำใจรักแห่งตน
    ของชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
    เรียงร้อยเรื่องราวผ่านข้าฯผู้ซึ่งเป็นสะพานสู่จินตนิยายหลากอารมณ์
    จึงขอเชิญทุกท่านเข้าสดับฟังเรื่องราวดังกล่าวได้ดังนี้

    ปราสาทราชวังอันใหญ่โตรโหฐานเกินบรรยายนั้น
    ตั้งตระหง่านเด่นเป็นประจักษ์แก่สายตายามราตรี
    ความมืดมิดแม้จะแผ่ไปทุกที่หากมีแสงจากคบไต้ที่ปักเป็นราวไว้รอบเขตรั้วเวียงวัง
    ทำให้เห็นถึงบรรดาชายฉกรรจ์ทั้งนั้นต่างยืนประจำที่มีดาบประจำมือซุกอยู่ในฝักที่กระชับมั่น
    บุรุษน้อยผู้อหังการ์ต่อคบดาบหลบซ่อนอยู่บริเวณป่าใหญ่ด้านทิศอาคเนย์ของขอบรั้วปราสาท
    ใบหน้าของเจ้าคมเข้มและมันเยิ้มด้วยเหงื่อไคลที่เกิดจากการตรากตรำดั้นด้นมาจนถึงจุดแห่งหัวใจที่ปรารถนา
    มือขวากำฝักดาบคู่ชีวิต
    ประสาททุกส่วนเขม็งเกร็งราวขดลวดที่ถูกเหนี่ยวรั้งไว้จนตึงร่ำร่ำจะขาดผึง
    ดวงตาคมกริบเขม้นมองฝ่าความมืดไปที่เบื้องหน้า
    กำแพงปราสาทสูงทมึนขึ้นไปจนต้องแหงนคอตั้งบ่า
    นั่นคือหนทางเดียวเท่านั้นที่จะล่วงล้ำเข้าไปได้
    ท่ามกลางเหล่าฝูงตาของบรรดาทหารยามนับร้อยคู่
    ที่วนเวียนผลัดเปลี่ยนเวรยามกันอย่างขยันขันแข็ง
    นอกเสียจากแมลงแล้วไซร์
    แม้จะเป็นนกกายามค่ำคืนหรือค้างคาวผู้ว่องไว
    ก็มิอาจจะหลุดพ้นการรู้เห็นไปจากพวกทหารยามเหล่านั้นได้

    หากความถี่ย่อมลอดตาช้างที่มักจะมองใหญ่
    และความห่างย่อมลอดตาเล็นซึ่งมักจะมองเล็ก
    ช่วงจังหวะแห่งการเปลี่ยนเวรยามมาบรรจบครบอีกครั้ง
    ชายฉกรรจ์ทั้งนั้นเดินเรียงแถวโดยระเบียบมาตามสันกำแพงเชิงเทิน
    นับจำนวนรวมในใจแล้วได้ถึงยี่สิบนาย
    แต่ละนายเมื่อถึงที่ประจำตนก็เข้าเปลี่ยนเวรยามกับคนซึ่งประจำอยู่เก่า
    ส่วนคนเก่าก็เดินเข้าไปในแถวเป็นคนสุดท้าย
    แล้วขบวนแถวนั้นก็เดินต่อไปหาอีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดรักษาความปลอดภัยที่ห่างกันเพียงไม่กี่สิบก้าว
    มีการขานสัญญานลับออกมาดังได้ยินแว่ว
    หากมิอาจจับใจความได้
    ช่วงจังหวะนี้เป็นช่วงจังหวะแห่งชีวิต
    ที่บุรุษน้อยรอคอยโอกาสนี้มาอย่างเนิ่นนานและอดทน

    เจ้าถลารี่จากต้นไม้ที่พักพิงเบื้องต้น
    หมายหน้าไปยังกำแพงซึ่งมีเหลือบเงาอันเกิดจากแสงคบไต้เบื้องบน
    ส่องกระทบขอบกำแพงที่หักมุมเป็นสันอยู่ตรงหน้า
    รวดเร็วราวสุนัขป่า ว่องไวราวกับเสือสิงห์
    หมอบคู้ลดตัวจนหลังแทบเลียดดิน
    ทุกอย่างสงบสิ้นไปด้วยเสียงแห่งความเงียบ
    อึดใจเดียวเท่านั้น หลังก็ชนกำแพง
    แนบร่างให้สนิทบางไปกับเงาที่ทอดบังสายตาของทุกผู้นั้น
    แล้วสงบนิ่งเพื่อรอจังหวะอีกครั้งหนึ่ง

    จากองศาแนวมองของสายตา
    อันเป็นมุมฉากลาดเอียงเป็นแนวตรง
    ยากนักที่ทหารยามจะเฉลียวใจว่าใครฤาจะบังอาจกล้าล่วงล้ำเข้ามายังอาณาเขตต้องห้ามนี้ได้
    กอร์ปกับการจดจ่ออยู่กับการท่องนึกถึงรหัสเรียกขานซึ่งหากผิดไปเพียงคำย่อมอาจหมายถึงชีวิตที่จะถูกปลิดปลงตามโทษานุโทษ
    จังหวะนั้นจึงถูกฉวยด้วยความละเอียดอ่อนของการเฝ้าสังเกตและจิตใจอันหาญกล้าของบุรุษหนุ่มผู้นั้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

    สองมือพนมเหนืออก
    ร่ายคาถาบังตัวที่ได้มาจากบรรพบุรุษย้ำอีกสามคำรบ
    ลูบหน้าเลยไปยังหัวไล้มายังตัวจนทั่วแล้ว
    จึ่งได้ควักสิ่งหนึ่งออกมาจากชายพก
    มันเป็นดอกศรหักเฉพาะปลาย
    มีส่วนที่เป็นไม้ตะเคียนลนไฟยื่นล้ำออกมายาวไม่เกินฝ่ามือ
    มีทั้งสิ้นสามดอกด้วยกัน

    เหมือนอิทธิฤทธิก่อเกิดส่งผลกระทบต่อธรรมชาติที่เล็งมองผู้มีใจมั่นคงเป็นการเฉพาะ
    พลันที่เจ้ายกดอกศรนั้นขึ้นจบหน้าผาก
    ปากร่ายเวทย์อันลึกล้ำยากนักจะมีใครล่วงรู้ถึงความหมายที่ทรงพลังกระแทกขุมนรกสวรรค์ที่รายล้อมรอบกายล้วนให้ลุกขึ้นช่วยเสริมพลังให้แก่สองแขนและสองขาของเจ้า พยับเมฆที่มิเคยส่อเค้าก็ก่อตัวขึ้นโดยทันที
    ประกายอัสนีแผดเปรี้ยงติดติดกันสนั่นปฐพีก้องไปทั่วบริเวณ
    แล้วหยาดพิรุณก็หยาดลงมาราวนภารั่ว
    เหล่านั้นจึงได้สร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นแก่พวกทหารยามที่กำลังผลัดเปลี่ยนเวรกันยังมิสิ้น
    คบไฟถูกฝนดับไปเรียกความมืดมัวเข้ามาแทนที่ในเวลานั้น
    ต่างถอนกำลังกันเข้าที่กำบังอันเป็นป้อมศิลาที่เรียงรายล้อมรอบเชิงเทินนั้นอยู่

    เจ้าหนุ่มน้อยตาลุกวาว
    ขนลุกซู่ด้วยความขลังของเวทย์มนต์แห่งตน
    หันเข้าหากำแพงแล้วกลั้นใจกระแทกศรที่มือนั้นเต็มแรงเข้าไปยังศิลาซึ่งแกร่งจากภูผา
    มันถูกปักเข้าไปอย่างง่ายดายราวทะลวงหยวกกล้วย
    โผล่พ้นส่วนเป็นไม้นั้นออกมาพอวางเท้าได้
    อีกข้างหนึ่งเจ้าปักให้สูงขึ้นไปจากจุดเดิมประมาณศอกเศษ
    ตลอดเวลาจิตนั้นก็ร่ำเวทย์มนต์มิขาดหาย
    เท้าหนึ่งก้าวขึ้นไปเหยียบมั่นตรงส่วนไม้ของดอกศร
    อีกเท้าหนึ่งเหยียบสูงขึ้นไปในลักษณะก้าวไต่กำแพงเพื่อทิ้งเท้าไว้ที่ศรที่สอง
    จังหวะเดียวกันกับก้าวที่สองดอกศรที่สามก็ถูกปักไว้รอรับก้าวต่อไป
    แต่ก่อนจะก้าวขึ้นสูงไปเป็นลำดับขั้น
    จำต้องเอี้ยวตัวลงมาดึงศรแรกออกจากที่เพื่อจะกลายเป็นศรที่สี่ในลำดับต่อมา

    จากคุณ : แทน*-* - [ 8 ธ.ค. 47 22:03:53 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป