บทที่หนึ่ง หน่อมนุษย์สุดฤทธิ์กล้า
สนามหญ้าเขียวนุ่มนั้นแผ่กว้างไปจรดขอบแมกไม้ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ
น่าแปลกที่เหมือนกับมีใครมาตัดให้เรียบเสมอกันได้เป็นอาณาบริเวณที่กว้างขวางถึงปานนี้
ต้นไม้แต่ละต้นที่ยืนเรียงรายแม้ไม่เป็นระเบียบแต่ก็คล้ายกับถูกกำหนดให้ขึ้นอยู่บนจุดที่เหมาะสม
ลำต้นสีน้ำตาลเข้มตัดกับใบสะพรั่งเขียวอ่อนและแก่ดูคล้ายผลงานจากปลายพู่กันของจิตรกรลือชื่อ
ซ้ำยังแต่งแต้มด้วยมวลดอกไม้หลากสี
น้ำเงินคราม
พวงแดง
ระย้าเหลือง
พุ่มชมพู
สลับกันดูราวกับดินแดนแห่งสรวงสวรรค์
ท้องฟ้านั้นก็เป็นใจแจ่มใสส่องประกายฟ้าสะอาดตาอยู่เบื้องบน
มีกลุ่มก้อนเมฆที่ขาวราวปุยนุ่นลอยนิ่งทิ้งรอยหยักรอบตัวไว้ให้แสงจากดวงอาทิตย์หักเหเปล่งสีส้มแดงขับเน้นให้เด่นอยู่ทางด้านทิศตะวันตก
สายลมคงยังโชยแผ่วอยู่อย่างนี้มาชั่วนาตาปี
นานๆ ครั้งจะได้ยินเสียงนกร้องมาจากที่ใดที่หนึ่ง
บางครั้งไกลสุดเอื้อม
บางครั้งใกล้ดุจมือจะคว้าตัวได้
ลำธารตรงหน้า
ส่องประกายล้อแสงตะวันยามเย็นราวมีชีวิต
มันทอดลดเลี้ยวลงมาจากยอดเขาด้านซ้ายมือ
เลื้อยผ่านโตรกผาและชั้นหินอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย
นำพาชีวิตที่อาศัยท้องน้ำนั้นไปกับมันด้วยในทุกๆ ที่ที่มันผ่านถึง
ความใสแลดูเย็นชื่นนั้นสามารถมองทะลุผ่านเข้าไปเห็นฝูงมัจฉาแหวกว่ายไปมาเริงร่าราวกับชีวิตนี้ทิ้งสิ้นแล้วจากความทุกข์
ใบไม้เก่าบ้าง ใหม่บ้าง
เศษไม้ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง
ลอยเอื่อยตามผิวน้ำที่ไหลอ้อยอิ่งเหมือนจะประวิงเวลาให้ผ่าน ณ จุดนี้ให้นานเท่านาน
แผ่นน้ำสะท้อนผืนฟ้า
แผ่นฟ้าโอบกอดพื้นดิน
หลากผลงานของธรรมชาติได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของมวลสรรพสัตว์มาช้านาน
หากจะมีสายตาใดเล่าจะเสพสุขแห่งสีสันและบรรยากาศเงียบสงบนั้นได้เท่ากับมนุษย์
ในอ้อมกอดของกันและกัน
ความสุขสันต์เหลือบรรยายเอ่อล้นออกมาจากหัวใจและดวงตา
ทั้งเธอและเขาไม่มีคำพูดใดมาถ่ายทอดแทนความรู้สึกผูกพันดื่มด่ำนั้นได้
หวานก็เกินหวาน ชื่นก็เกินสุข
ต่างใช้สายตาแทนความหมาย
และใช้รสสัมผัสแก่กันและกันแทนคำพูด
แม้ว่าบางส่วนจะลึกล้ำอุ่นชุ่มเพราะหยาดน้ำ
บางส่วนจะนุ่มนิ่มกลมกลึงจนมิอาจจะหักใจปล่อยหลุดจากมือ
บางส่วนจะแกร่งกร้าวดุดันผงาดสู้และไวต่อความรู้สึกจากการสัมผัส
เขาและเธอก็ยังปรนเปรอกันอย่างมิรู้วาย
กระหายใคร่รู้ใคร่รักกันอย่างมิต้องยั้งใจ
ธรรมชาติให้รสชาติทั้งทางตา ทางกาย ทางใจ
และทุกโสตสัมผัสของเขาและเธอเท่าที่จะรับได้
รสชาติเหล่านี้
จะมีใครเล่าเสพสุขในสิ่งนี้ได้เท่ากับมนุษย์
เหมือนสายฝนถั่งโถมลงมาโดยมิได้ตั้งเค้า
เหมือนภูผากระแทกทั้นจากยอดฟ้าลงสู่ดิน
ครืนครั่นสะเทือนสิ้นถึงดินฟ้า
ลำธารน้อยกลายเป็นแหล่งอุทกแห่งภัยที่คาดไม่ถึง
ซัดพาทุกสิ่งทุกอย่างมลายสิ้นไปกับสายตา
ทิ้งไว้แต่ร่องรอยของมายาที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์
ดูกร ท่านทั้งหลาย
เรื่องราวเหล่านี้ได้บังเกิดขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นของนานาเรื่องราวที่จะไหลย้อนมาแสดงสู่ท่านด้วยลีลาแห่งอักษรที่ประดิษฐ์เรียงรายด้วยอารมณ์ของคีตพันธกรผู้ไร้นาม
ข้าฯจะพาท่านเข้าสู่เหตุการณ์แห่งกลียุคที่ได้บังเกิดขึ้นมาแล้วนานนับกัปนับกัลป์
ซึ่งหน้าประวัติศาสตร์มิจำเป็นต้องมีเรื่องราวเหล่านี้บันทึกไว้เพราะด้วยบัณฑิตอาจจะเห็นว่าไร้ค่าจนมิอาจประเมินได้ตามความรู้สึกของคนหยาบกร้านทางอารมณ์
หากมีจารึกจดจำถ่ายทอดผ่านกันมาเพื่อตอกย้ำคุณค่าแห่งความรักและฤทธานุภาพของหัวใจโดยความเชื่อมั่นในน้ำใจรักแห่งตน
ของชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
เรียงร้อยเรื่องราวผ่านข้าฯผู้ซึ่งเป็นสะพานสู่จินตนิยายหลากอารมณ์
จึงขอเชิญทุกท่านเข้าสดับฟังเรื่องราวดังกล่าวได้ดังนี้
ปราสาทราชวังอันใหญ่โตรโหฐานเกินบรรยายนั้น
ตั้งตระหง่านเด่นเป็นประจักษ์แก่สายตายามราตรี
ความมืดมิดแม้จะแผ่ไปทุกที่หากมีแสงจากคบไต้ที่ปักเป็นราวไว้รอบเขตรั้วเวียงวัง
ทำให้เห็นถึงบรรดาชายฉกรรจ์ทั้งนั้นต่างยืนประจำที่มีดาบประจำมือซุกอยู่ในฝักที่กระชับมั่น
บุรุษน้อยผู้อหังการ์ต่อคบดาบหลบซ่อนอยู่บริเวณป่าใหญ่ด้านทิศอาคเนย์ของขอบรั้วปราสาท
ใบหน้าของเจ้าคมเข้มและมันเยิ้มด้วยเหงื่อไคลที่เกิดจากการตรากตรำดั้นด้นมาจนถึงจุดแห่งหัวใจที่ปรารถนา
มือขวากำฝักดาบคู่ชีวิต
ประสาททุกส่วนเขม็งเกร็งราวขดลวดที่ถูกเหนี่ยวรั้งไว้จนตึงร่ำร่ำจะขาดผึง
ดวงตาคมกริบเขม้นมองฝ่าความมืดไปที่เบื้องหน้า
กำแพงปราสาทสูงทมึนขึ้นไปจนต้องแหงนคอตั้งบ่า
นั่นคือหนทางเดียวเท่านั้นที่จะล่วงล้ำเข้าไปได้
ท่ามกลางเหล่าฝูงตาของบรรดาทหารยามนับร้อยคู่
ที่วนเวียนผลัดเปลี่ยนเวรยามกันอย่างขยันขันแข็ง
นอกเสียจากแมลงแล้วไซร์
แม้จะเป็นนกกายามค่ำคืนหรือค้างคาวผู้ว่องไว
ก็มิอาจจะหลุดพ้นการรู้เห็นไปจากพวกทหารยามเหล่านั้นได้
หากความถี่ย่อมลอดตาช้างที่มักจะมองใหญ่
และความห่างย่อมลอดตาเล็นซึ่งมักจะมองเล็ก
ช่วงจังหวะแห่งการเปลี่ยนเวรยามมาบรรจบครบอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์ทั้งนั้นเดินเรียงแถวโดยระเบียบมาตามสันกำแพงเชิงเทิน
นับจำนวนรวมในใจแล้วได้ถึงยี่สิบนาย
แต่ละนายเมื่อถึงที่ประจำตนก็เข้าเปลี่ยนเวรยามกับคนซึ่งประจำอยู่เก่า
ส่วนคนเก่าก็เดินเข้าไปในแถวเป็นคนสุดท้าย
แล้วขบวนแถวนั้นก็เดินต่อไปหาอีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดรักษาความปลอดภัยที่ห่างกันเพียงไม่กี่สิบก้าว
มีการขานสัญญานลับออกมาดังได้ยินแว่ว
หากมิอาจจับใจความได้
ช่วงจังหวะนี้เป็นช่วงจังหวะแห่งชีวิต
ที่บุรุษน้อยรอคอยโอกาสนี้มาอย่างเนิ่นนานและอดทน
เจ้าถลารี่จากต้นไม้ที่พักพิงเบื้องต้น
หมายหน้าไปยังกำแพงซึ่งมีเหลือบเงาอันเกิดจากแสงคบไต้เบื้องบน
ส่องกระทบขอบกำแพงที่หักมุมเป็นสันอยู่ตรงหน้า
รวดเร็วราวสุนัขป่า ว่องไวราวกับเสือสิงห์
หมอบคู้ลดตัวจนหลังแทบเลียดดิน
ทุกอย่างสงบสิ้นไปด้วยเสียงแห่งความเงียบ
อึดใจเดียวเท่านั้น หลังก็ชนกำแพง
แนบร่างให้สนิทบางไปกับเงาที่ทอดบังสายตาของทุกผู้นั้น
แล้วสงบนิ่งเพื่อรอจังหวะอีกครั้งหนึ่ง
จากองศาแนวมองของสายตา
อันเป็นมุมฉากลาดเอียงเป็นแนวตรง
ยากนักที่ทหารยามจะเฉลียวใจว่าใครฤาจะบังอาจกล้าล่วงล้ำเข้ามายังอาณาเขตต้องห้ามนี้ได้
กอร์ปกับการจดจ่ออยู่กับการท่องนึกถึงรหัสเรียกขานซึ่งหากผิดไปเพียงคำย่อมอาจหมายถึงชีวิตที่จะถูกปลิดปลงตามโทษานุโทษ
จังหวะนั้นจึงถูกฉวยด้วยความละเอียดอ่อนของการเฝ้าสังเกตและจิตใจอันหาญกล้าของบุรุษหนุ่มผู้นั้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
สองมือพนมเหนืออก
ร่ายคาถาบังตัวที่ได้มาจากบรรพบุรุษย้ำอีกสามคำรบ
ลูบหน้าเลยไปยังหัวไล้มายังตัวจนทั่วแล้ว
จึ่งได้ควักสิ่งหนึ่งออกมาจากชายพก
มันเป็นดอกศรหักเฉพาะปลาย
มีส่วนที่เป็นไม้ตะเคียนลนไฟยื่นล้ำออกมายาวไม่เกินฝ่ามือ
มีทั้งสิ้นสามดอกด้วยกัน
เหมือนอิทธิฤทธิก่อเกิดส่งผลกระทบต่อธรรมชาติที่เล็งมองผู้มีใจมั่นคงเป็นการเฉพาะ
พลันที่เจ้ายกดอกศรนั้นขึ้นจบหน้าผาก
ปากร่ายเวทย์อันลึกล้ำยากนักจะมีใครล่วงรู้ถึงความหมายที่ทรงพลังกระแทกขุมนรกสวรรค์ที่รายล้อมรอบกายล้วนให้ลุกขึ้นช่วยเสริมพลังให้แก่สองแขนและสองขาของเจ้า พยับเมฆที่มิเคยส่อเค้าก็ก่อตัวขึ้นโดยทันที
ประกายอัสนีแผดเปรี้ยงติดติดกันสนั่นปฐพีก้องไปทั่วบริเวณ
แล้วหยาดพิรุณก็หยาดลงมาราวนภารั่ว
เหล่านั้นจึงได้สร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นแก่พวกทหารยามที่กำลังผลัดเปลี่ยนเวรกันยังมิสิ้น
คบไฟถูกฝนดับไปเรียกความมืดมัวเข้ามาแทนที่ในเวลานั้น
ต่างถอนกำลังกันเข้าที่กำบังอันเป็นป้อมศิลาที่เรียงรายล้อมรอบเชิงเทินนั้นอยู่
เจ้าหนุ่มน้อยตาลุกวาว
ขนลุกซู่ด้วยความขลังของเวทย์มนต์แห่งตน
หันเข้าหากำแพงแล้วกลั้นใจกระแทกศรที่มือนั้นเต็มแรงเข้าไปยังศิลาซึ่งแกร่งจากภูผา
มันถูกปักเข้าไปอย่างง่ายดายราวทะลวงหยวกกล้วย
โผล่พ้นส่วนเป็นไม้นั้นออกมาพอวางเท้าได้
อีกข้างหนึ่งเจ้าปักให้สูงขึ้นไปจากจุดเดิมประมาณศอกเศษ
ตลอดเวลาจิตนั้นก็ร่ำเวทย์มนต์มิขาดหาย
เท้าหนึ่งก้าวขึ้นไปเหยียบมั่นตรงส่วนไม้ของดอกศร
อีกเท้าหนึ่งเหยียบสูงขึ้นไปในลักษณะก้าวไต่กำแพงเพื่อทิ้งเท้าไว้ที่ศรที่สอง
จังหวะเดียวกันกับก้าวที่สองดอกศรที่สามก็ถูกปักไว้รอรับก้าวต่อไป
แต่ก่อนจะก้าวขึ้นสูงไปเป็นลำดับขั้น
จำต้องเอี้ยวตัวลงมาดึงศรแรกออกจากที่เพื่อจะกลายเป็นศรที่สี่ในลำดับต่อมา
จากคุณ :
แทน*-*
- [
8 ธ.ค. 47 22:03:53
]