CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    X X X ประสบการณ์สยอง X X X

    เมื่อสองปีก่อน  เพื่อนสนิทของหนูยีจู่ๆก็เป็นโรคอินเตอร์เน็ตลิซึ่ม   เพราะเข้าไปเล่นห้องchat  แล้วก็จะเอามาเล่าให้หนูยีฟังเสมอ    ตอนนั้นแปลกใจ เล่นchat กะคนไม่รู้จัก มันสนุกตรงไหนกัน  

                 หลังจากนั้นไม่นาน   หนูยีเริ่มเล่นอินเตอร์เน็ตเป็น  ตอนนั้นเป็นช่วงเปิดเทอม สนกลับบ้านต่างจังหวัด  ค่าโทรศัพท์ยังไม่ถูกเท่าสมัยนี้  เราสองคนเลยนัดกัน chat  ประหยัดค่าโทรศัพท์ดี    สนชวนเข้าไปเล่นในห้อง chat ของเวปแห่งหนึ่ง    ตั้งแต่นั้นมา หนูยีก็กลายเป็นโรคอินเตอร์เน็ตลิซึ่มตามสนไปอีกคน   และดูท่าจะเป็นหนักกว่าสนซะด้วยสิค่ะ


                 ช่วงนั้นจำได้  มักจะมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับการคุยกับเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตออกมาบ่อยๆ   มีเด็กโดนหลอกไปทำมิดีมิร้ายก็หลายราย   ข่าวในแง่ลบทั้งนั้น   หนูยีได้แต่คิด   ทำไมต้องหลอกกันด้วยน้า  ไม่เคยเห็นหน้ากันหลอกกันไปหลอกกันมาจะได้ประโยชน์อะไร  มีคนบอกหนูยีว่าถ้าเราอยากได้ความจริงใจจากคนอื่น  เราก็ต้องยื่นความจริงใจให้ไปก่อน  หนูยีเข้าไปเล่นโดยตั้งใจที่จะไม่โกหกใครทั้งนั้น(ถ้าไม่จำเป็นนะ)    เข้าไปเล่นมันทุกวัน เพียงไม่นาน  หนูยีทำยังไงไม่รู้  มารู้สึกตัวอีกที  กลายเป็นว่ารู้จักคนในห้องchat นั้นเกือบหมดทุกคน    ช่วงนั้นสนุกมากเลยค่ะ  มีเพื่อนใหม่หลายคน  มีพี่ๆที่สนิทด้วยคุยกันทุกวันเลย   พี่เขาน่ารักมากๆ   ถึงจะดูไร้สาระแต่หนูยีก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเพื่อนใหม่ที่นี่      มีทั้งผู้ชายผู้หญิง  ส่วนใหญ่หนูยีคุยกะผู้หญิง  แล้วก็เด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเป็นส่วนมาก   มีคนเข้ามาใหม่ๆเรื่อยๆ        


                 มีอยู่สองสามครั้ง  มีใครก็ไม่รู้เข้ามาหาเรื่อง(เหมือนจะเจาะจง)มาที่หนูยี   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหนูยีไปทำอะไรให้   แต่หนูยีแทบไม่ได้ตอบโต้คนมาหาเรื่องเลยค่ะ   เพราะส่วนใหญ่ พี่ๆที่น่ารักในห้องchat นั้นเข้ามาช่วยกันเถียงแทน(เพราะหนูยีเถียงสู้ไม่ได้อะ)   จนคนนั้นต้องหนีออกจากห้องไปเอง  หรือถ้าไม่หนี ก็โดนบล๊อคไปเลย  ไม่มีใครคุยด้วย  อยู่ได้อยู่ไปไม่มีใครสนใจ   ดีใจที่ได้รับการปกป้อง  เล่นอยู่ที่ห้องchat จนเริ่มรู้ว่า ใครว่ามิตรภาพทางอินเตอร์เน็ตไม่มีจริง   หนูยีว่ามันมีนะ  ถึงจะไม่เห็นตัวจริงกัน  แต่ความรู้สึกมันสื่อถึงกันได้    


                 แต่ถึงจะเห็นหนูยีมองโลกในแง่ดีแค่ไหน   หนูยีก็ไม่ประมาทนะคะ   เพราะถึงแม้ว่าหนูยีจะมั่นใจตัวเองว่าไม่คิดร้ายหรือจะไปหลอกลวงคนอื่นที่ไหนอยู่แล้ว  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนที่จะไม่คิดหลอกหนูยีนี่หน่า    
    หลายครั้งมีคนเข้ามาคุยด้วย  ชอบขอดูรูปหนูยี   หนูยีก็บอกว่าไม่มีรูป  แน่นอนว่าไม่ได้โกหกค่ะ ตอนนั้นหนูยีไม่มีรูปอยู่ในคอมจริงๆ   ถึงอยากให้ดูก็ดูไม่ได้    ขอเบอร์โทร หนูยีก็เลี่ยงไม่ให้เพราะไม่ชอบคุยโทรศัพท์กะคนแปลกหน้า  

                 หนูยีบ้า chat อยู่นานจนได้รู้จักกับถนนนักเขียนนี่ละ  ถึงได้ค่อยๆเลิกchat ไป   หันมาอ่านเรื่องราวในถนนเสียมากกว่า      แต่ถึงไม่ได้เข้าห้อง chat  หนูยีก็ไม่ได้ตัดขาดการติดต่อกับพี่ๆที่สนิทด้วย   ยังส่งเมล์ถึงกันบ้าง  โทรศัพท์หากันบ้าง    หรือยังคุยกันทาง MSN  บ้าง   …..    


                 เกริ่นไปมากแล้ว….เข้าเรื่องที่หนูยีจะเล่าดีกว่า..

                 หนูยีรู้จักคนคนหนึ่งทางห้อง chat นั่นละค่ะ   เขามักจะเป็นคนเข้ามาชวนหนูยีคุยบ่อยๆ   คุยในห้องรวมบ้าง หรือไม่ก็คุยกันแบบห้องส่วนตัวบ้าง   คุยกันสักพักก็พอจะรู้ว่าเขาอายุน้อยกว่าหนูยี ปี หรือสองปีนี่ละค่ะ    ชื่อเอ็ม (นามสมมตินะค่ะ)   แต่ตาคนนี้ไม่ยอมเรียกหนูยีว่าพี่เลย

                 Yee   : นี่ยีอายุมากกว่านะ  ต้องเรียกพี่สิ

                 Mario: ไม่เรียก  เรียกทำไม เอ็มว่ายีเด็กกว่าเอ็มอีก

                 Yee:    ตรงไหนกัน  ก็บอกว่าอายุมากกว่าไงเล่า

                 Mario:  ไม่เกี่ยวกับอายุ  มันเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างหาก ยีนะไม่รู้                                                               เรื่องรู้ราวอะไรกับใครเขา  อย่างนี้เขาเรียกว่าเด็กนั่นล่ะ

                นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ยอมเรียกหนูยีว่าพี่อ่ะ

                 พอหนูยีสอบเข้ามหาวิยาลัยได้ ต้องไปอยู่หอพัก  แทบไม่ได้เล่นเน็ต หรือถ้าเล่นก็ไม่ได้เข้าห้องchat ไปคุยอีก   จนเกือบครึ่งปีได้มั้ง  พี่รุจิ พี่ที่หนูยีสนิทด้วยจากห้อง chat  โทรมาคุยตามปกติ  บอกว่านายเอ็มอยากคุยกะหนูยีขอเบอร์หนูยี แต่พี่เขาไม่ให้   นายเอ็มเลยฝากเบอร์ให้หนูยีโทรกลับแทน    โทรไปคุยกับเขาหน่อย  …

                 ด้วยความไม่คิดอะไร  เคยสนิทกันในระดับหนึ่ง  แล้วก็แปลกใจด้วยว่า ไม่ได้คุยกันเกือบครึ่งปียังไม่ลืมกันเลยนะ      ก็เลยโทรไปคุยด้วย    หลังจากนั้น    นายเอ็มก็เริ่มโทรเข้ามาคุยกะหนูยี   ถ้าจำไม่ผิดอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้งนี่ละ   ชอบพูดเล่นเรื่อยเปื่อย   หนูยีก็ไม่คิดอะไรค่ะ    เพียงแค่คิดว่าไม่ชอบเสียงของนายเอ็มเลย  เพราะนายเอ็มชอบทำเสียงยานๆ  ยังไงไม่รู้     แปลก

                 พอเข้าช่วงปิดเทอม  หนูยีกลับมาอยู่บ้าน  ก็ช่วยหม่าม้าขายของที่ร้าน    ตาคนนี้ก็ชอบโทรมาตอนช่วงที่หนูยีกำลังขายของ  หรือไม่ก็คุยๆอยู่ก็ต้องรีบวางสายเพราะว่าลูกค้าเข้าร้าน  

                 พอโทรมาตอนดึกๆหน่อย  หนูยีก็หลับไปแล้ว   ตื่นมารับก็เสียงงัวๆเงียๆ  คุยไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ   พูดอะไรมาก็อือๆออๆ ไปตามเรื่อง  


                 จนถึงวันก่อนเกิดเรื่องใหญ่   หนูยีกะนายเอ็ม ทะเลาะกัน   ทั้งๆที่ปกติหนูยีแทบไม่เคยหาเรื่องทะเลาะกับใครเลย

                 “ยี  ไปดูหนังกันไหม”    นายเอ็มโทรมาชวนไปดูหนัง    


                 “ไม่เอาหรอก  ไม่เห็นมีเรื่องที่อยากดูเลย”   หนูยีปฏิเสธ   ก็เรื่องอะไรหนูยีจะต้องไปกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าละคะ   ถึงจะเคยคุยกันก็เถอะ  ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน (ก็บอกแล้วว่าหนูยีเป็นคนไม่ประมาท)


                 “แต่เอ็มอยากดูนี่”   นายคนนี้ใช้เสียงยานๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตอบกลับมา


                 “อยากดูก็ไปดูสิ”


                 “ไม่มีเพื่อนไปนี่   ถึงโทรมาชวนยีไง”   ยังใช้เสียงยานๆอยู่


                 “ยีไม่ว่าง  ต้องเฝ้าร้านขายของ   เอ็มก็ไปดูคนเดียวสิ สนุกดีออก”   หนูยีแนะนำค่ะ  


                 “โห  พูดแบบนี้เดี๋ยวกระโดดกัดซะเลยนี่”   ประโยคนี้เป็นประโยคติดปากนายเอ็มละค่ะ   เวลาหนูยีพูดกวนๆ หรืออะไรไม่ถูกใจก็จะกระโดดกัดตลอด


                 “ไม่เห็นกลัวเลย”   ก็ไม่กลัวจริงๆนะ  ไม่เคยเจอกันจะมากัดหนูยีได้ไง  


                 “โห พูดแบบนี้หรอ  ไม่กลัวเลยแน่นะ”


                 “อืมสิ  ฮ่า ฮ่า ฮ่า”    


                 “ปากอย่างนี้นะ  มันน่านัก”    นายเอ็มทำเสียงหมั่นไสหนูยีก่อนจะกลับมาใช้เสียงยานๆตามเดิม


                 “  #$%$%*^%&*&@#* (ประโยคนี้ไม่สามารถออกอากาศได้)…………………….”      


                 ประโยคที่นายเอ็มพูดออกมานี่    ทำให้หนูยีโมโหมากๆ   เขาไม่ได้พูดคำหยาบคาย   แต่เป็นประโยคที่หนูยีถือว่าไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิด    ไม่เคยมีใครพูดกับหนูยีอย่างนี้มาก่อน    

                 หนูยีเลยจัดการตัดสายทิ้งทันที   ไม่ฟังอะไรทั้งนั้นแล้ว  โมโหค่ะ   ก็รู้ตัวว่าทำแบบนี้มันเสียมารยาทขนาดไหน   ยังงงกับตัวเองด้วย  เพราะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน  

                 สักพักนายเอ็มโทรเข้ามาใหม่   หนูยีพยายามตั้งสติให้ดีๆ  บอกกับตัวเองว่าหนูยีทำแบบนี้ไม่ดีนะ  นายคนนี้คงไม่ตั้งใจหรอก  ใช่ๆ เอ็มยังเด็กอยู่เลย  คงไม่ตั้งใจ   คิดแบบนี้อารมณ์ก็เย็นขึ้นมาหน่อย  ก็เลยกดรับโทรศัพท์


                 “เป็นอะไรอะยี   วางสายทำไม”   เสียงเอ็มร้อนรนมาตามสาย


                 “เปล่า”   หนูยีปฎิเสธไปแต่เสียงคงยังแข็งอยู่  เพราะนายคนนี้ไม่เชื่อที่หนูยีพูด


                 “ไม่จริง  ต้องมีแน่ๆ  ทำไมละเอ็มทำไรผิดหรอ”  


                 “เปล่าจริงๆ”    


                 “อย่าโกหกสิ    ยีต้องโกรธอะไรเอ็มแน่ๆ”    นายคนนี้ฉลาดหรือเป็นเพราะหนูยีโกหกไม่เก่งไม่รู้   แต่ไหนๆ ก็คิดว่าเป็นเพื่อนกัน  เคลียร์กันให้จบๆไปเลยก็ดี  จะได้ไม่มีอะไรติดค้าง แล้วนายคนนี้จะได้รู้ว่า การพูดแบบนี้กับผู้หญิง  เป็นสิ่งไม่เหมาะ (ต้องเตือนกันหน่อยค่ะ  ก็บอกแล้วหนูยีเป็นผู้ใหญ่กว่านี่หน่า)


                 “ก็ได้   ยีไม่พอใจที่เอ็มพูดกับยีแบบนั้น  ยีถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติกันมากๆ”


                 “เอ็มขอโทษก็แล้วกัน  เอ็มไม่รู้ว่ายีจะโกรธแบบนั้น” ตอนนี้ก็เลิกใช้เสียงยานๆแล้ว

                 “อืม   อย่าทำอีกแล้วกันมันไม่ดี”   ตอบกลับไปพร้อมกับเตือนค่ะ


                 “ขอโทษ  เอ็มไม่ตั้งใจ”    สงสัยคงคิดว่าหนูยียังโกรธอยู่ก็เลยขอโทษมาอีกครั้ง  


                 “ยีไม่โกรธแล้ว   มาคิดอีกที  ยีก็ว่าเอ็มคงไม่ตั้งใจหรอก  ไม่เป็นไร”  อันนี้ยีพูดจริงๆนะคะ  ไม่คิดมากแล้ว  


                 “ไม่จริงยียังโกรธอยู่”     อ้าวไม่เชื่อกันเลยแฮะ


                 “ก็บอกว่าไม่โกรธ  ก็ไม่โกรธแล้วไง  ก็รู้ว่าไม่ตั้งใจแล้วไงละ”   ยืนยันอีกครั้งค่ะ    ไม่โกรธจริงๆ แค่ยังเคืองอยู่หน่อยเท่านั้น แล้วก็คงจะเลิกโกรธเลิกเคืองจริงๆ ถ้านายคนนี้จะหยุดพูดเพียงแค่นี้   แต่มันไม่ใช่


                 “แล้วทำไมเมื่อกี้  ตัดสายทิ้ง”     น้ำเสียงนายคนนี้เริ่มหาเรื่อง


                 “ขอโทษที  ก็เมื่อกี้ยีโมโหนะ  ก็เลยทำไปแบบนั้น”  


                 “ยีคิดว่าทำถูกแล้วหรอ   ทำแบบนี้มันแย่มากนะ”    ถึงตอนนี้หนูยีเริ่มงง  หนูยีรู้ตัวว่าทำแบบนั้นมันไม่ดีเสียมารยาทแค่ไหน  ก็ขอโทษไปแล้วไง ตกลงหมอนี่โทรมาง้อหนูยี  หรือจะโทรมาหาเรื่องทะเลาะกันแน่  


                 “ก็บอกว่าขอโทษแล้วไง   ตอนนั้นยีกำลังโกรธน่ะ”  ตอบไปอย่างใจเย็นค่ะ  ถึงแม้ว่าตอนนั้นข้างในจะเริ่มรำคาญแล้วก็ตาม    แล้วเราสองคนก็เริ่มเถียงกัน   แต่พอดีลูกค้ามาที่ร้าน  หนูยีต้องออกไปขายของ  เลยตัดบทไปว่า


                 “นี่ แค่นี้ก่อนนะ  ลูกค้าเข้ามาในร้านแล้ว”   แล้วก็วางสายไป    พอขายของเสร็จ  หนูยีก็ยังรู้สึกเจ็บใจที่ถูกนายคนนี้ว่าไม่หาย  ทั้งๆที่ความจริงหนูยีต้องเป็นฝ่ายว่านายคนนี้ต่างหาก   ก็เลยโทรไปเล่าให้พี่รุจิฟัง   พี่รุจิก็ว่า  

                 “เอ็มก็โทรมาเล่าให้พี่ฟังก่อนยีไม่นาน   ยีไม่ต้องคิดมากหรอก  ปล่อยนายคนนี้ไปเถอะ”    หนูยีก็เลยปล่อยไปเลยจริงๆ

    แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 47 18:39:10

    แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 47 23:58:36

    จากคุณ : หนูยี - [ 12 ธ.ค. 47 22:05:30 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป