CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ขอโอกาสสักครั้ง...ให้ฉันได้บอกเธอ ตอนที่ 4 (จบ)

    ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3164624/W3164624.html
    ตอนที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3166606/W3166606.html#7
    ตอนที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3176233/W3176233.html

    ขอโอกาสสักครั้ง…ให้ฉันได้บอกเธอ
    ตอนที่ 4 จบ

    คืนนั้นศรุตไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย ปล่อยให้พิมพ์รพีเฝ้ารอด้วยความเป็นห่วง แทบจะไม่ได้นอน หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ตลอดคืน

    พอรุ่งเช้าก่อนที่จะออกไปทำงานศรุตก็ให้เพื่อนที่อยู่ข้างบ้านโทรมาบอกว่ากลับถึงบ้านแล้ว

    ชายหนุ่มไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลยไม่ว่าจะด้วยตัวเองหรือวานคนข้างบ้านก็ตาม เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่กลับมาเอา แม้แต่วันที่หมอนัดไปตัดเฝือกเขาก็ไปเองคนเดียว ที่เธอรู้เพราะได้ไปรอดูที่โรงพยาบาลโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว

    พิมพ์รพีรู้สึกเหงาจับใจเมื่อไม่มีศรุตอยู่ด้วยบ้านดูจะเงียบเหงาลงไปถนัดใจ เดินไปทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เป็นประจำรอเธอกลับบ้าน หนังสือที่เขายังอ่านค้างอยู่วางอยู่บนโต๊ะกลมเบื้องหน้า เขาชอบออกไปรับลมที่ระเบียงเสมอยามเธอบ่นว่าเขาเกะกะตอนทำความสะอาด  น้ำผลไม้ในตู้เย็นที่เขาบอกให้เธอดื่มเพื่อสุขภาพ

    ทำไมเรื่องราวของเขามันช่างมากมายอย่างนี้นะ เขาเข้ามาอยู่ในชีวิตเธอได้ยังไง

    น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นค่อย ๆ รินไหลออกมาเป็นทางยาว

    ตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ?

    ขาเขาจะหายหรือยัง?

    ทำไมเราไม่ฟังเขา?

    คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ

    นี่เราทำผิดกับเขาใช่ไหม?

    ไม่แล้วเราจะไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ เราจะฟังเขา ฟังทุกอย่าง ขอเพียงโอกาสให้พิมพ์ได้ฟังคำอธิบายของนายอีกครั้งนะรุต
    *****

    รั้วไม้สีขาวที่โอบล้อมบ้านไม้หลังเล็กสองชั้นสีขาวเช่นเดียวกันนั้นสูงไม่ถึงเอวผู้มาเยือน มองเห็นสนามหญ้าเล็ก ๆ น่ารักเขียวขจีตัดกับดอกชวนชมสีชมพูสดใส กระถางโมกออกดอกสีขาวพราวเต็มต้นวางอยู่ริมรั้วดูแล้วสบายตาชุดเก้าอี้หวายวางหลบใต้ต้นมะม่วงน่านั่ง พิมพ์รพี มองภาพนั้นยิ้ม ๆ แต่ก็ต้องสลดลงเมื่อนึกถึงเหตุผลที่ตนมาที่นี่

    หญิงสาวยื่นมือสั่น ๆ ออกไปกดกริ่งที่อยู่ข้างประตู แต่ก็ไม่มีใครตอบรับ

    ‘ประตูก็เปิดอยู่ ทำไมไม่มีคนออกมาเปิด’ มือบางลองเอื้อมไปกดอีกทีแต่ผลก็ยังคงเหมือนเดิม จึงค่อย ๆ ผลักประตูรั้วเข้าไป เดินตรงไปยังประตูบ้าน เคาะประตูสองที คราวนี้มีเสียงทุ้ม ๆ ตะโกนตอบออกมา

    “เข้ามาเลย ขี้เกียจลุก”

    พิมพ์รพีหมุนลูกบิดเปิดเข้าไปข้างใน ศรุตนั่งครึ่งนอนครึ่งอยู่บนโซฟา ขาข้างเจ็บวางพาดบนเก้าอี้นวมที่วางข้าง ๆ

    เมื่อศรุตเห็นหน้าคนที่เข้ามาก็ถึงกับตะลึงเพราะไม่คิดว่าเธอจะมาหา ชายหนุ่มค่อย ๆ ขยับตัวจะเลื่อนขาลงแต่ก็ต้องนิ่วหน้า เกิดรู้สึกแปลบที่ขา

    หญิงสาวปราดเข้าไปช่วยจับขาให้วางที่เก้าอี้ตัวเดิมเมื่อเห็นอาการนั้น

    “ขอบคุณ” ศรุตกล่าวสั้น ๆ หันออกไปมองนอกหน้าต่าง
    “รุตโกรธพิมพ์เหรอ” คนมาเยี่ยมก็มองแต่มือตนเองเหมือนกัน

    “เปล่า” ชายหนุ่มยังคงตอบด้วยเสียงราบเรียบเหมือนเดิม ชำเลืองมองคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้าง ๆ ใบหน้านั้นออกจะซีด ใต้ตามีสีคล้ำเหมือนไม่ได้นอน

    “ขาเป็นยังไงบ้าง”

    “ก็ดีขึ้นแล้ว” เสียงค่อยอ่อนลงมาหน่อย

    “…”ไม่มีเสียงตอบกลับมา

    “พิมพ์มาทำไม” กลั้นใจถามไปแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นน้ำใส ๆ ที่รื้นขึ้นมาที่หน่วยตาของคนฟัง

    “มาเยี่ยม รุตไม่ส่งข่าวไปบอก พิมพ์เป็นห่วง”

    “เรากลัวพิมพ์จะเกลียดเรามากขึ้นไปอีก แค่เรื่องสมัยเด็กก็แย่พอแล้ว” พิมพ์รพีเงยหน้ามองคนป่วยทันที อ้าปากจะพูดแต่ก็ถูกขัดเสียก่อน

    “ไหน ๆ พิมพ์ก็มาแล้ว เราอยากจะเคลียร์ให้เข้าใจ เราจะได้จากกันด้วยดี” น้ำเสียงนั้นออกจะสั่น ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

    พิมพ์รพีอยากจะพูดให้เขาได้เข้าใจ อยากจะปัดเป่าความหมองเศร้าในดวงตานั้น แต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะศรุตชิงพูดเสียก่อน

    “เราอยากจะขอโทษพิมพ์กับเรื่องที่เราเคยทำไม่ดีไว้ เราชอบแกล้งพิมพ์ ก็เพราะพิมพ์น่ะน่ารัก มีเพื่อน ๆ คอยล้อมรอบตลอด เรียนก็เก่ง” ใบหน้าคนพูดเริ่มเป็นสีเรื่อขึ้น เมื่อเห็นคนฟังนั่งอ้าปากค้าง ตาโต ๆ เบิกขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

    “เราไม่รู้จะทำยังไงพิมพ์ถึงจะหันมาสนใจเราบ้าง เราถึงได้ชอบแกล้งพิมพ์ มันคงเป็นความคิดแบบเด็ก ๆ มั้ง  เราชอบพิมพ์  แต่รักหรือเปล่าเราไม่รู้ ที่แน่ ๆ เราอยากจะเห็นหน้าพิมพ์ทุกวัน” หญิงสาวยังคงฟังตาค้าง

    มีเรื่องอยากจะถามมากมาย แต่ก็พูดไม่ออก ความคิดสับสนวนเวียนอยู่ในหัว ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เสียงเดิมก็เอ่ยต่อไป ราวกับว่าถ้าไม่รีบพูดแล้ว จะไม่สามารถพูดได้อีกเลย

    “เรื่องวันนั้น ที่เรารายงานหน้าห้องด้วยกัน…” เขาเว้นจังหวะไปนานจนพิมพ์รพีอดไม่ได้

    “ทำไม”

    “เรื่องวันนั้น” ใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มแดงก่ำขณะที่พยายามเรียบเรียงคำพูดต่อไป

    “คือ แมงมุมมันมาจากไหนไม่รู้เกาะอยู่บนหัวพิมพ์ แล้ว…เราไม่กล้าบอกพิมพ์กลัวพิมพ์จะตกใจ เราก็เลยปัดออกให้”

    “โอ้โห อย่างนั้นเรียกปัดเหรอรุต นี่ถ้าแรงกว่านี้อีกหน่อยพิมพ์อาจคอเคล็ดได้นะรุต” หญิงสาวประชดเข้าให้ หน้าซีด ๆ เริ่มมีสีสันขึ้นด้วยแรงอารมณ์ ยกมือกอดอกฉับ
    ศรุตค่อย ๆ เอื้อมมือไปดึงมือของหญิงสาวมากุมไว้ ยิ้มแหย ๆ ส่งไปให้ กล่าวเสียงเบาว่า

    “แบบว่าเราก็กลัวแมงมุมเหมือนกัน เราเลยไม่กล้าจับมัน แต่เราก็กลัวมันจะทำอันตรายพิมพ์ เราเลยจะปัดออกให้แต่มันคงแรงไปหน่อย”

    “ไม่หน่อยเลยแหละ” เสียงนั้นสวนกลับทันควัน

    “ใช่ ๆ นั่นแหละ เราอยากจะขอโทษพิมพ์มาตลอดเลยนะแต่ก็ไม่มีโอกาส อยากจะอธิบายให้เข้าใจ แต่พิมพ์ก็คอยหลบหน้าเราตลอด”

    หยาดน้ำใส ๆ ที่ออกมาคลอขังหน่วยตาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้นั้นค่อย ๆ ไหลลงสู่พวงแก้มเนียนใส ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเกลี่ยให้เบา ๆ

    “พิมพ์ อย่าร้องไห้ พิมพ์เข้าใจเราแล้วใช่ไหม” ถามอย่างไม่แน่ใจ แต่ก็ค่อยโล่งใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า มือที่เกาะกุมไว้ปล่อยออก

    “ทีนี้เราก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว จะได้จากกันอย่างสบายใจเสียที” พิมพ์รพีจ้องหน้าคนพูดว่ามีรอยประชดประชันหรือไม่ แต่ก็เพียงแววตาที่เศร้าสร้อย ซึ่งหลบตาไปอย่างรวดเร็ว ราวกับจะซ่อนไว้ไม่ให้เห็น

    พิมพ์รพีรวบรวมความกล้าอยู่นาน เอื้อมมือไปเกาะกุมมือที่เพิ่งปล่อยออกไปนั้น

    “รุตอยากจากเหรอ” กับคำพูดประโยคนั้นถึงกับทำให้คนฟังหันขวับถามออกไปอย่างรัวเร็ว

    “หา…พิมพ์ว่าไงนะ” เมื่อไม่ได้ยินคำตอบใด ๆ นอกจากใบหน้าที่แดงก่ำ จึงรีบถามต่อ

    “ว่าไงล่ะพิมพ์ เมื่อก่อนเราชอบพิมพ์นะ แต่ถึงตอนนี้เราแน่ใจว่าเรารักพิมพ์”

    “พิมพ์ไม่รู้ว่ารักรุตหรือเปล่า แต่พอรุตออกจากบ้านพิมพ์ พิมพ์รู้สึกเหงามากเลย เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง เดินไปตรงไหนก็เห็นแต่ภาพรุต”

    ชายหนุ่มยิ้มพรายที่มุมปาก ดึงร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

    “นั่นแหละรักแล้ว”

    ความอบอุ่นอาบซ่านไปทั่วร่างกายแทนที่ความเยียบเย็นที่เกาะกุมจิตใจมาหลายวันของทั้งสองฝ่าย ความไม่เข้าใจ ไม่ฟังเหตุผลของกันและกันทำให้เสียเวลาที่จะมีความสุขไปมากมาย

    “ถ้าขาหายแล้ว ไปเที่ยวกันนะ” ศรุตชวนด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า

    “อืม ได้สิ เดี๋ยวพิมพ์จะขับให้รุตนั่งเอง ดีไหม” หญิงสาวอาสาอย่างยินดี

    “โอ๊ย” คนป่วยแกล้งร้องเสียงดัง จนพิมพ์รพีตกใจ

    “แค่นี้เราก็เจ็บจะแย่แล้ว ให้เราขับเถอะ” หญิงสาวทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งแต่ก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา

    ประสานไปกับเสียงหัวเราะของชายหนุ่มอย่างมีความสุข
    **********
    จบ

    จากคุณ : กระปุกกลิ้ง - [ 16 ธ.ค. 47 17:39:33 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป