เวลานั้นก่อนที่ทุกผู้คนจะทันทำประการใด พลันปรากฏเสียงฝีเท้าดังสะเทือนมาจากด้านทิศตะวันออก กลุ่มคนนับร้อยพกพาดาบ กระบี่ หน้าไม้คันธนู เรียงรายกันเป็นทิวแถว หนุนเนื่องเข้ามามากมาย ทุกผู้คนสวมใส่ชุดสีเขียว เป็นคนของฉิกจับอิด!!!
นี่แสดงว่าพวกมันที่คอยสกัดขวางคนของหอห้ากระบี่ในทิศทางอื่น ได้ไล่ติดตามมาทันแล้ว!
ผู้นำขบวนทัพคือซุนหยางเดินตรงเข้าคุกเข่าลงคำนับหลี่เฉินเชียงร้องว่า "คารวะท่านประมุข ผู้คนด้านอื่นผู้น้อยนำกำลังเข่นฆ่าจนสิ้น เวลานี้จึงสามารถยกกำลังมาช่วยด้านนี้ขอรับ!" นอกจากตัวเขาผู้ปรากฏตัวยังมี "หัตถ์เทพบัญชา" "สามมารตลบเมฆ" และ "พ่อบ้าน" ในที่สุดยอดฝีมือของฉิกจับอิดก็ได้มากันอย่างครบครัน ทำให้ขุมกำลังของฉิกจับอิดยิ่งกล้าแข็งมากขึ้นกว่าเดิมอีกร้อยเท่าพันทวี!
หลี่เฉินเชียงมองคนของตนซึ่งมากันพร้อมพรั่ง จึงหันหน้าไปทางฮั่นตง แย้มยิ้มออกมา
"ฮั่นตงเอย ฮั่นตง เรากินเจ้ามิลงจริงๆ ถูกต้อง! ประเด็นสำคัญที่สุด เราต้องการเอาชนะเจ้า ประมุขฉิกจับอิดประกาศอย่างผ่าเผย คนเยี่ยงเราเจ้า เปรียบเสมือนมังกรในมวลมนุษย์ ไม่ว่าเรื่องความเข้มแข็งของจิตใจ ความกล้า ความมุ่งมั่น หรือปฏิภาณไหวพริบ ล้วนแล้วแต่สูงส่งกว่าผู้อื่น เรามองดูเจ้าแล้วหวนนึกถึงตัวเราในวัยฉกรรจ์
หากเสียดายผู้ยิ่งใหญ่มีได้แค่เพียงหนึ่งเดียว วันนี้เรามาต่อสู้ชี้ขาดกันอย่างยุติธรรมเถิด"
มันเหลือบตามองเหวินเหม่ยชิง เดิมพันนัดนี้คือตำแหน่งยอดยุทธในใต้หล้า และ สตรีที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน ฮาฮา เจ้าว่าประเสริฐไหม!!!?
เหวินเหม่ยชิงตกใจบ้างที่หลี่เฉินเชียงยืนยันความประสงค์ในตัวนาง
หญิงสาวเหลียวไปทางฮั่นตง เห็นอีกฝ่ายมีทีท่าเยือกเย็น
ไม่
ไม่ประเสริฐ"ฮั่นตงกล่าวเสียงเรียบ
"ไม่ประเสริฐ?" หลี่เฉินเชียงทวนคำ
ใช่ มือปราบหนุ่มตอบ เวลานี้ดวงตาของเขาทอประกายกล้าประดุจคมดาบ ไม่ปรากฏรอยยิ้มอีกแล้ว
แล้วอย่างใดจึงประเสริฐ?
ท่านต้องฟังข้าเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้จบก่อน
คำตอบของฮั่นตงทำให้หลี่เฉินเชียงเปลี่ยนสีหน้าบ้าง ด้วยไม่ทราบฝ่ายตรงข้ามมาไม้ใดกันแน่ หากท่ามกลางความเงียบของทุกผู้คน เสียงอันทั้งกร่าวแกร่ง และทุ้มนุ่มชวนให้ผู้รับฟังรู้สึกเคลิบเคลิ้มคล้อยตามของฮั่นตงก็ดังกังวาลขึ้น
มันเริ่มเล่านิทานแล้ว
"เรื่องนี้เริ่มจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน ยุทธจักรจงหยวนเราอยู่ภายใต้การนำของ หอห้ากระบี่ โดยมีการคัดเลือกผู้นำทุกๆสิบปี ยุทธจักรแม้มีภัยร้ายกล้ำกรายแต่ก็สามารถรอดพ้นมาได้ทุกครา เนื่องเพราะเหล่าชาวยุทธมีความสามัคคีเป็นปึกแผ่น อาณาประชาราษฎร์ล้วนแต่อยู่ด้วยความร่มเย็น...
"แต่แล้วมรสุมร้ายค่อยก่อตัวขึ้น นั่นก็คือกลับมีผู้คนกลุ่มหนึ่ง รวมตัวกันก่อตั้งโรงเตี๊ยม และสำนักใหม่ขึ้นมา
"ในเวลานั้น แม้ว่าเรื่องนี้จะมิใช่เรื่องครึกโครมใหญ่โตอันใด เพราะทุกวี่วันล้วนมีสำนักใหม่เกิดขึ้นมิหยุดหย่อน และก็อีกเหมือนกันที่พรรคเล็กพรรคน้อยเหล่านี้มิสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในยุทธจักร ต้องล่มสลายลงเพราะถูกศัตรูจู่โจมทำลาย หรือไม่ก็ประสบปัญหาทางการเงินจนล้มหายตายจากไป เพียงแต่ในครานี้มีที่แตกต่างอยู่บ้าง!!!" ฮั่นตงจับจ้องใบหน้าของหลี่เฉินเชียงแน่วนิ่ง ค่อยกล่าวต่อ
"ที่แตกต่างคือ...พรรคที่ว่านั้นมิเพียงสามารถอยู่รอดในบู๊ลิ้มอันโหดร้าย ยังสามารถผงาดขึ้นในวงยุทธจักรอย่างกล้าแข็ง และรวดเร็ว พวกมันมิเพียงประสบความสำเร็จในด้านการค้า ยังกวาดต้อนผู้คนมากมายเข้าสู่พรรค ช่วงเวลาไม่นานสามารถจัดตั้งสำนักสาขาได้หลายสิบสาขา เรียกได้ว่าเติบใหญ่ขึ้นได้ราวกับปาฏิหารย์ทีเดียว!!!"
"พวกมันพลันผงาดขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น กล้าแข็งขึ้น จนถึงกับสามารถต่อกรกับขุมกำลังของ 'หอห้ากระบี่' และนั่นทำให้คนผู้หนึ่งรู้สึกผิดสังเกตุ เนื่องเพราะพรรคดังกล่าวเติบใหญ่รวดเร็วเกินไปนั่นเอง!!!!
"ดังนั้น 'ท่านผู้นั้น' จึงลอบติดตามความเคลื่อนไหวของสำนักดังกล่าวอยู่เงียบๆ หลายปีที่ผ่านมา ล้วนต้องสูญเสีย ผู้ช่วยมือดี รวมทั้งกำลังทรัพย์มากมายมหาศาล เพื่อตรวจสอบเป็นการลับที่สุด ว่า พรรคนั้นมีที่มาอย่างไร และ มีจุดประสงค์เช่นไร
"และในที่สุด แม้นยังมิสามารถสืบหาความเป็นมาของพวกมัน แต่ยังทราบรายละเอียดภายในไม่น้อย พรรคดังกล่าวประกอบด้วยขุมกำลังมากมาย ซึ่งข้าจะกล่าวแต่ที่โดดเด่นดังนี้
"ประมุขพรรค หลี่เฉินเชียง ผู้คุ้มกฏขวา 'หลี่เทียนเล้ง' น้องร่วมสาบานของหลี่เฉินเชียง ผู้คุ้มกฏซ้าย 'เกี่ยมฮุ้น' หัวหน้าสำคัญอีกสี่คนมิว่าจะเป็น 'รั่วซุนจื่อจิง' 'เซียนแพทย์เทวะ' 'หัตถ์เทพบัญชา' และ 'ผู้เฒ่าเฉิน' นอกจากนี้ยังมี พ่อบ้านผู้หนึ่ง เรียกว่า 'กู่ฮวยฮวย'
"นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าภายในพรรคยังมีเรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้นไม่น้อย หนึ่งในเรื่องนั้นก็คือ การหายสาบสูญของ 'หลี่เทียนเล้ง' ซึ่งรับตำแหน่งผู้คุ้มกฏขวา!!!!
"หลี่เทียนเล้งผู้นี้มีฉายา 'มังกรฟ้า' เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อตั้งพรรคมาพร้อมกับหลี่เฉินเชียง และยังมีศักดิ์เป็นน้องร่วมสาบานอีกด้วย แต่แล้วจู่ๆ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนหนึ่งของปีที่ห้าที่ก่อตั้งพรรคสำเร็จ เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่มัน ตำแหน่งผู้คุมกฏขวาของพรรคจึงได้ว่างเว้นมาตลอด จนอีกหลายปีให้หลังจึงมามอบแก่ตัวข้าพเจ้า"
หลี่เฉินเชียงฟังถึงตรงนี้อดกล่าวด้วยความสงสัยมิได้
"ที่แท้ 'คนผู้นั้น' ที่เจ้ากล่าวถึงคือผู้ใด? เป็นตัวเจ้า? หรือเป็นตุลาการเที่ยงธรรมเฉินซื่อกันแน่?"
ฮั่นตงส่ายศีรษะ "มิใช่ทั้งข้าพเจ้า และท่านตุลาการ แต่เป็นฉินอ๋องจูคัง!!!!"
"อ้อ เป็นคนผู้นี้เอง เช่นนี้เรากลับมิแปลกใจเท่าใด เนื่องเพราะคนผู้นี้มีสติปัญญาล้ำเลิศจนเลื่องลือ หลี่เฉินเชียงแค่นเสียง
หลังจากนั้นจูคัง คงส่งให้เด็กน้อยฮั่นตงเจ้าเข้ามาสืบความลับในพรรคเราสินะ แต่เราก็ยังมิเห็นว่าสิ่งที่เจ้าเล่ามายังจะเป็นความลับดำมืดอันใด ที่ทำให้ฉินอ๋องถึงขนาดต้องส่งมือปราบอันร้ายกาจที่สุดในรอบสามร้อยปีเช่นเจ้ามาสืบ?"
"ประมุขหลี่อย่าเร่งร้อนไป ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าให้ท่านฟังต่อ" ฮั่นตงว่า "สำนักดังกล่าวมิเพียงมีกำลังคนกล้าแข็ง กำลังทรัพย์บริบูรณ์จากการค้าขาย ลึกลงไปพวกมันยังลอบวางแผนการร้ายแรงที่สั่นคลอนแผ่นฟ้า สะเทือนปฐพีอีกด้วย
เขาเน้นย้ำประโยคสุดท้ายด้วยเสียงหนักแน่น พวกมันวางแผนก่อกบฏ!!!! ขาดคำยอดมือปราบ เหล่าคนของฉิกจับอิด และหอห้ากระบี่ต่างอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
ถึงตรงนี้ฮั่นตงยิ่งกระหน่ำระรัว "ใช่แล้ว! พวกมันคิดก่อกบฏ โรงเตี๊ยมพวกมันมิเพียงขายอาหาร แต่ยังเป็นแหล่งซ่องสุมกำลัง สร้างอิทธิพล เพื่อควบคุมกิจการค้าทั่วทั้งแผ่นดิน!! กิจการน้อยใหญ่ต่างถูกกิจการของ ฉิกจับอิด ใช้อิทธิพลทั้งใต้ดิน บนดิน ขจัดไปจนแทบหมดสิ้น บรรดาเถ้าแก่น้อยใหญ่ พอจะมีกิจการเล็กๆเลี้ยงตัวเอง และ ครอบครัว กลับถูกพวกท่าน แย่งชิง ลูกค้า แหล่งทำมาหากินไปจนหมด สุดท้าย กลับมีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของ พรรคฉิกจับอิด เท่านั้น!!!
มิเพียงแต่ยึดครองแหล่งทำมาหากิน แต่ยังบ่อนทำลายผู้คนให้ลุ่มหลงมัวเมา ฟุ่มเฟือยจนลืมความพอเพียง สังคมเสื่อมทรามแก่งแย่งชิงดีขาดความเชื่อเหลือเกื้อกูลต่อกัน ที่สุดก็นำไปสู่ความอ่อนแอโดยรวม และเมื่อถึงเวลานั้นก็เปิดโอกาสให้กบฏเช่นท่านเข้าแทรกแซงได้โดยง่าย
หลี่เฉินเชียงแย้งขึ้นทันที่ว่า ฮั่นตงท่านกลับกล่าววาจาเหลวไหล!!! พวกเราทำการค้าโดยสุจริต การทำการค้าก็เปรียบเสมือนปลาใหญ่กินปลาน้อย เราหาได้กระทำผิดกฏหมายบ้านเมืองหรือศีลธรรมอันใด ตรงข้ามเรากลับสร้างความเจริญให้กับผู้คนได้อยู่ดีกินดี ท่านกลับใช้เหตุผลแค่นี้กล่าวหาเราเป็นกบฏ เกรงว่าแม้แต่เด็กอมมือคงจะเชื่อท่านยากเต็มทน
ฮั่นตงว่า ท่านประมุขกล่าวได้ถูกต้อง การทำการค้าย่อมมีแพ้มีชนะมีรายใหญ่รายย่อยเป็นเรื่องธรรมดา การแก่งแย่งช่วงชิงผลประโยชน์ก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน แต่ข้าพเจ้ามีเหตุผลสองประการที่เชื่อได้ว่าท่านมิได้ทำการค้าธรรมดา ประการแรก ท่านใช้อิทธิพลมืดทำลายคู่แข่ง พ่อค้าที่ไม่ยอมสยบให้ท่านล้วนต้องประสบจุดจบอันน่าอนาถ และ ประการที่สองท่านยังแพร่พิษลงในสุราชนิดหนึ่งวางขายแก่สาธารณะ
มือปราบหนุ่มหันไปมองสบตาคนทั้งปวง ยาชนิดนี้เรียกว่า จีอวี้เย่า แม้หากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ จะไม่เกิดโทษโดยตรง ทั้งยังมิใช่ยาเสพติด แต่เมื่อสะสมในร่างกายนานเข้า มันจะมีผลต่อจิตประสาท กระตุ้นความปรารถนาของผู้คนให้ลุ่มหลงมัวเมาใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
มิเพียงเท่านั้นตัวยานี้ยังทำลายมโนธรรม ทำให้คนพร้อมที่จะแก่งแย่งช่วงชิงสิ่งทีปรารถนา โดยไม่ใส่ใจในวิธีการ ที่สุดก็เกิดการเข่นฆ่า เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน แต่คนที่รับผลประโยชน์ มีเพียงพวกฉิกจับอิด ผู้เดียว
กล่าวโดยง่าย ยานี้กลับเป็นเครื่องมือกระตุ้นกิเลสอย่างดีนั่นเอง
ข้อความเช่นนี้ ผู้คนธรรมดาหากเข้าใจย่อมเข้าใจ หากไม่เข้าใจย่อมไม่เข้าใจไปตลอดกาล อย่างไรก็ตามมันได้สะกิดให้พลพรรคฉิกจับบางคนสงสัยบ้าง เพราะล้วนตระหนักถึงกฏระเบียบของพรรคเป็นอย่างดีว่า โรงเตี๊ยมฉิกจับอิด จะขายเฉพาะสุราที่สั่งตรงมาจาก สำนักงานใหญ่ของฉิกจับอิดเท่านั้น ห้ามขายสุราจากที่อื่นโดยเด็ดขาด หากมีผู้วางยาในสุรา ย่อมสามารถแพร่พิษออกไปได้อย่างกว้างขวาง
ฮั่นตงกล่าวต่อว่า ยังมีอีก ผู้ที่รับตัวยานี้เข้าไปเป็นปริมาณมากกว่าปกติ หรือ รับปริมาณมากเป็นเวลานานในที่สุดจะป่วยเป็นโรค ผีตายซาก ทำให้ร่างกายอ่อนแอจนตกตายในที่สุด"
"โรคผีตายซากหรือ
เหตุใดพวกมันต้องทำเช่นนั้น?" หวงอี้เฟยกลับเป็นคนถามคำถามนี้ขึ้นมา
ฮั่นตงมองหน้ามันตอบว่า "เรื่องนี้ต้องท้าวความไปถึงเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในตอนนั้น....ท่านประมุขหลี่ยังคงมิได้ใช้แซ่หลี่กระมัง เรื่องทั้งหมดยังคงต้องย้อนกลับเริ่มมาจากบุคคลที่มีนามว่า 'หลี่เทียนเล้ง!!!' นั่นเอง"
แม้คำพูดในช่วงหลังของมือปราบหนุ่มจะไม่สามารถทำให้เหล่าชาวยุทธคล้อยตามได้หมด แต่เมื่อเขาเอ่ยนามนี้ออกมา ดวงตาของหลี่เฉินเชียงก็พลันสาดประกายกล้าที่ร้อนแรงดั่งอัคคีแผดเผา ส่วนซุนหยาง ซิเหวินคัง และ กู่ฮวยฮวยต่างมีสีหน้าแตกตื่นสงสัย
ซุนหยางหันไปทางกู่ฮวยฮวย "พ่อบ้าน... มันที่แท้รู้สิ่งใดกัน เหตุใดจึงสันนิษฐานได้แม่นยำเพียงนี้?" มันสองคนอยู่ห่างออกไปจากคนของหอห้ากระบี่ ทั้งยังสนทนาอย่างแผ่วเบา
กู่ฮวยฮวยสั่นศีรษะ กล่าวว่า "ตลอดเวลามันวิ่งวุ่นวายอยู่ในโรงครัว มิน่าจะสืบทราบอันใด ข้าพเจ้าว่ามันเพียงคาดเดาเท่านั้น"
ซิเหวินคังที่ด้านข้างพลันกล่าวขึ้นบ้าง
"หากมิใช่การคาดเดา พวกเราคงลำบาก แผนการที่สู้อุตสาห์เตรียมการกันมามิพังทลายสิ้นหรือ?"
กู่ฮวยฮวยได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าว "แล้วจะทำเยี่ยงใด สังหารมันตอนนี้? พวกเจ้ามิรู้จักนิสัยประมุขหรือ หากพวกเราชิงสังหารฮั่นตงเท่ากับเป็นการหักหน้าท่าน เราคงมิพ้นโทษตายเป็นแน่?"
ซุนหยาง และซิเหวินคังพากันนิ่งอึ้งไปกับคำกล่าวนี้ ในที่สุดซุนหยางได้แต่กล่าวว่า
"พวกเราพลิกแพลงตามสถานการณ์เถิด"
ทั้งหมดได้แต่หันไปฟังเรื่องที่ฮั่นตงเล่าต่อไปด้วยใจจดใจจ่อ
ยอดมือปราบเท้าความว่า หลี่เทียนเล้งผู้นี้มิเพียงมีพลังฝีมือสูงส่ง ยังเฉลียวฉลาด มีความสามารถในทางค้าขาย และยังรู้วิชาแพทย์ มันนับเป็นอัจฉริยะบุรุษผู้หนึ่งทีเดียว! มันทำการค้าขายไปทั่วมิเว้นแม้กระทั่งดินแดนนอกด่าน อาศัยที่ตนเองมีพลังฝีมือสูง ดังนั้นแม้โจรปล้นชิงอันร้ายกาจยังมิกล้าและเล็มสินค้าของมัน!"
"ทว่าคราวเคราะห์มักมาถึงผู้คนโดยมิบอกกล่าว ครั้งหนึ่งคาราวานของหลี่เทียนเล้งเดินทางผ่านทะเลทรายโกบี กลับพบโจรปล้นชิง พวกโจรครานี้มิเพียงมีจำนวนมากมาย หนำซ้ำยังมีพลังฝีมือร้ายกาจ หลี่เทียนเล้งแม้มีพลังฝีมือสูงส่ง แต่เหล่าคนที่ร่วมเดินทางมากับกองคาราวาน และผู้คุ้มกันกลับมีจำนวนเพียงกึ่งหนึ่งของเหล่าโจรร้าย ที่สำคัญที่สุดมันยังชักนำบุตรี และภริยาไปด้วย ดังนั้นการต่อสู้ครานี้หลี่เทียนเล้งจึงตกเป็นรองฝ่ายตรงข้าม สุดท้ายพลาดพลั้งถูกโจรร้ายฟันด้วยดาบจนเป็นแผลฉกรรจ์
ในขณะที่กำลังสิ้นหวังมิรู้ทำประการใดอยู่นี้เองก็ปรากฏผู้คนหลายสิบคนแต่งกายเยี่ยงชาวหูบุกเข่นฆ่าพวกโจรเข้ามาจากด้านหลัง มิเพียงเท่านั้นบุคคลสองคนที่นำหน้าชาวหูเหล่านั้นยังเก่งกล้าสามารถ คนคล้ายสุนัขป่าที่พลัดเข้าในฝูงแกะ มิว่าลงมือเข่นฆ่าไปทิศทางใด เหล่าโจรต่างก็ล้มตายแดดิ้น หลี่เทียนเล้งจึงอาศัยจังหวะนี้แข็งใจนำกำลังตีกระหนาบเข้าใส่พวกโจรร้ายจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงไปในที่สุด
หัวหน้าชาวหูทั้งสองนั้นผู้หนึ่งเรียกว่า 'จูมาห์' อีกผู้หนึ่งเรียกว่า 'อาอิซ' ข้าพเจ้ายังล่วงรู้อีกว่าทั้งสองมิได้ผ่านมาโดยบังเอิญ แต่เป็นละครฉากหนึ่งที่ถูกจัดสร้างขึ้น!
"เนื่องจากทั้งสามล้วนเป็นผู้ชมชอบวิชาบู๊ บวกกับที่ จูมาห์ กับอาอิซ ช่วยเหลือหลี่เทียนเล้งเอาไว้ ทำให้ความสนิทสนมของคนทั้งสามพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดคบหาเป็นสหาย และต่อมา จูมาห์ยังสาบานเป็นพี่น้องกับหลี่เทียนเล้ง ทั้งยังใช้แซ่หลี่ ต่อมาเรียกว่า 'หลี่เฉินเชียง!' ส่วนอาอิซ เรียกว่า 'เกี่ยมฮุ้น!'
ชาวหูทั้งสองตามหลี่เทียนเล้งเข้าสู่จงหยวน โดยอ้างว่าชมชอบวิชาฝีมือ และวัฒนธรรมของทางภาคกลาง พวกมันกับหลี่เทียนเล้งตกลงว่าจะสร้างโรงเตี๊ยมรูปแบบใหม่ที่ใหม่ที่ให้บริการอย่างมีมาตรฐานและกระจายสาขาไปทั่วแผ่นดิน ช่วยเหลือให้ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดี ได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศในราคาเป็นกันเอง จากนั้นเวลาผ่านมาสิบปี ความพยายามนั้นก็ประสบผลสำเร็จอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
"อา!" ผู้คนทั้งของหอห้ากระบี่ และฉิกจับอิดต่างอุทานออกมากันอย่างพร้อมเพรียง มิว่าใครก็ต่างคิดมิถึงว่าหลี่เฉินเชียงเป็นชาวหู!
หลี่เฉินเชียงฟังถึงตรงนี้สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ปรบมือพลางกล่าวว่า "ผู้แซ่ฮั่นเจ้าคงลำบากมิใช่น้อยจึงสามารถแต่งเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นมาได้" ประมุขฉิกจับอิดแข็งใจตีหน้าเรียบ ต่อให้อีกฝ่ายพูดล้วนเป็นความจริง หากแต่คงไม่มีหลักฐานใดๆประกอบ มันแน่ใจว่าได้ทำลายหลักฐานส่วนใหญ่สิ้นแล้ว
ฮั่นตงกลับแย้มยิ้มกล่าวว่า "ประมุขหลี่ยังมิต้องรีบร้อน นิทานเรื่องนี้เพียงพึ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น! ส่วนนี้เป็นจดหมายที่บันทึกเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเล่ามาทั้งหมด ท่านคงจดจำได้ว่าเป็นลายมือของผู้ใด?" เขาคลี่กระดาษแผ่นหนึ่งออก
"จดหมายเป็นเจ้าหยิบออกมามิแน่ว่าเจ้าเป็นผู้เขียนขึ้นเอง! ของแบบนี้คงมิสามารถยืนยันอันใดได้ดอก!" หลี่เฉินเชียงตวาด
"ข้าพเจ้าก็คิดแล้ว ว่าท่านคงมิยอมรับเป็นแน่ เอาเถอะบอกต่อท่านจดหมายนี้เป็นของ 'อาอิซ' ที่ว่าภายหลังเป็นผู้คุมกฏซ้ายของฉิกจับอิดนามเกี่ยมฮุ้นเอง!!!
"...นอกจากนี้ข้าพเจ้าย่อมมีหลักฐานอื่นที่ให้ท่านยอมจำนนในที่สุด" มือปราบหนุ่มพับกระดาษแผ่นนั้นซุกเก็บในอกเสื้อ ตระเตรียมที่จะแสดงหลักฐานชิ้นอื่นต่อไป
แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 47 12:29:40
แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 47 11:43:38
แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 47 03:11:57
แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 47 02:56:29
แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 47 02:49:01