CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    "ผู้ชายพายเรือ.........ผู้หญิงยิงเรือ (เล่าประสบการณ์สู่กันฟัง อันเนื่องมาจากกระทู้ของหนูยี) "

    จากกระทู้ "ประสบการณ์สยอง" ของหนูยี
    http://www.pantip.com/cafe/writer/W3178619/W3178619.html
    เข้าไปอ่านกันดูเอาเองแล้วกัน
    เรื่องนี้มันทำให้นัทตี้ได้ความคิดที่จะเล่าประสบการณ์ที่ตัวเองได้เจอมา ตั้งแต่วันแรกรุ่นจนวัยดึก
    ว่าตัวเองนั้นรอดเงื้อมมือเสือสิงห์ กระทิง แรด นั้นมาได้อย่างไร
    อ่านและวิจารณ์กันเข้ามาได้ตามสบาย แนะวิธีและความเห็นเข้ามาช่วยกันหลาย ๆ วิธี จะดีมาก


    นัทตี้นั้น ไม่ใช่คนสวยเลย(พ่อแม่ญาติพี่น้องลงความเห็นว่ายังงั้นน่ะ) ผิวสองสี ตัวเตี้ย เดินเหมือนม้าดีดกระโหลก ฟันก็เกเหมือนปิรันย่า บุหรี่ก็ดูด เอางี้พูดกันง่าย ๆ คือ อย่างงั้น ๆ แหละ สิ่งที่ดีคือ ผิวเนียน

    ตัวเองนั้นไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน ว่าทำไมถึงได้มีดวงสมพงษ์กับเพศชายนัก
    มีชายหนุ่มไม่หนุ่มเข้ามาก้อร้อก้อติกด้วยมากมาย หลายประเภท หลายชาติ และมาแบบแปลก ๆ
    หันมาดูตัวเอง เอ หรือว่าเราแรดเกินเหตุ  ก็ไม่นี่นะ
    เราไม่ได้ชายหูชายตาอะไรให้สักนิดนี่ ไอ้เรามันก็ทำอะไรไปโดยที่เป็นตัวของตัวเราดี ตามที่ธรรมชาติให้มา
    ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง ว่า ถูกจีบ
    แล้วรู้ได้ไงว่าเขาจีบเราอยู่?
    นั่นสิ ทำไมเรารู้ได้?
    เพราะคนเรามันมีความรู้สึกกันทุกคน คำพูด กิริยาท่าทางนั่นต่างหากที่บอกเราได้
    และ อีกอย่างคือนัทตี้เองเป็นคนค่อนข้างไวในสถานการณ์เฉพาะหน้า ไม่ตกใจ มีสติตลอด หัวคิด ปากไวและมือไวเช่นกัน
    ประเภทที่เจอ แยกได้เป็น
    ประเภท"ตื๊อ"
    ประเภท" โรคจิต"
    ประเภท "มือไว"
    ประเภท "หมาหยอกไก่"
    ประเภท" เชือดนิ่ม"
    ประเภท "เฒ่าหัวงู"
    ประเภท "บ้าน้ำลาย"
    ประเภท "สายตาโลมเลีย"
    ประเภท "ยอมเสียทุกอย่าง" ฯลฯ


    ประเภทตื้อ คือประเภทที่เจอกันบ่อย ๆ
    อย่างนัทตี้เจอถึงขั้นขึ้นมาดักรอหน้าโรงเรียน กระโดดขึ้นรถเมล์ตามมาถึงปากซอยบ้าน  ขึ้นรถสองแถวเข้าบ้านก็ยังออกค่ารถให้ ลงรถพร้อมเรา ตอนเดินเข้าซอยบ้าน ยังพยายามพูดคุย อาสามารับส่งให้ทุกวัน
    คนที่เจอนี้ นัทตี้ยิ้มให้สวย ๆ พูดอะไรก็ยิ้ม
    ตอนเดินเข้าบ้านมา มันเป็นสวนสองข้างทาง ก็คุยกับเขาเสียหน่อย
    เพื่อดึงความสนใจในหัวเขา ที่อาจจะคิดร้ายกับเราได้ในที่เปลี่ยว
    ชวนเขาเข้าบ้านด้วยนะ เขาก็เข้ามา
    เราก็ให้นั่งคุยกับพ่อเสียเลย เพื่อที่พ่อจะได้รู้ว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเราก็มีคนต้องสงสัยแล้วหนึ่งราย
    และ อีกประการหนึ่ง มันเป็นจิตวิทยาที่ว่า เราไม่ได้รังเกียจ ถึงจะแขยงก็ตามที เราไม่ได้กลัว และ เราเป็นคนรักนวลสงวนตัวพอควร เป็นการเปลี่ยนความคิดเขาไง
    คบกันจนรู้ว่าเขาไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก จากความหลงที่มีให้เราในตอนแรก
    เราค่อยเปลี่ยนเป็นเพื่อน เป็นพี่ได้ในทีสุด (คนนี้นิสัยดี เป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ  ตัวเตี้ยไปสำหรับนัทตี้นะ และดำ ไม่ถูกสเปคอ่ะ)


    ประเภทสอง คือ โรคจิต อันนี้แม่เจอมาเมื่อสักสี่ห้าปีได้แล้วมั้ง เป็นโทรศัพท์ โทรมาพอแม่ ฮัลโล ปั๊บ ไอ้ทางโน้นบอกเลยว่า "หันห. มาเย... หน่อยสิ" แม่ด่าสั้น ๆคำแรง ๆ แล้วกระแทกหูโครม นัทตี้โทรไปคุยกับแม่ทุกอาทิตย์ แม่เล่าให้ฟัง แล้วบอกว่า "ซวยจริง ๆ "
    นัทตี้หัวเราะบอกว่า "ทำทานไป เขาป่วยน่ะ และ น่าเสียดายถ้านัทตี้รับสายเองจะทำเสียงอู้อ้า ให้ไอ้คนนั้นสักหน่อย" โดนแม่ด่าว่า "ประสาท"
    ใช่ อาจจะประสาทในความคิดคนอื่น แต่มันขำมากกว่านะ แสดงว่าไอ้คนนี้มันป่วยจริง ๆ มันไม่มีทางออก ทางระบายก็ช่วยมันหน่อย ดีกว่าให้มันเก็บกด ไปข่มขืนชาวบ้านเขาให้เดือดร้อนไปอีก

    ประเภท "มือไว" เคยเจอตอนทำงานที่ร้านอาหารทางนี้ ร้านเกือบปิดแล้วมีคนนั่งอยู่สองสามคน มันเมาด้วยพูดจีบอยู่นั่น เราก็ตอบแล้วเลี่ยง
    พอหนัก ๆ เข้าเราเดินผ่านไปเสริฟคนอื่นที่นั่งอยู่ก่อน แล้วถือถาดเสริฟเปล่าในมือ มันดึงมือเราจนเสียหลักโผไปหามันทั้งตัว
    ด้วยความที่เป็นคนว่องไวต่อเหตุการณ์ มือข้างที่ถือถาดประเคนมันเต็มกลางหัว แรงไม่แรงไม่รู้ แต่ซัดไปแล้ว และ ยันตัวเองขึ้นยืนได้เต็มเท้า ซัดเข้าให้อีกฉาดทางด้านหลังหลังศรีษะ คิดเงินเดี๋ยวนั้น ไม่ทอนด้วย และไล่ให้ออกไป มันเกือบจะโดนรุมตีง แต่ห้ามไว้ทัน เท่านี้ก็สะใจ
    ถ้าถามว่า ไม่กลัวมันจะกลับมาแก้แค้นเหรอ ? ไม่หรอก เพราะก่อนที่ไอ้คนนั้นมันจะคิดกลับมาแก้แค้นเรา มันคงได้คิดแล้วว่า เรานั้นก็บ้าไม่ใช่น้อยไปกว่ามัน  และเราไม่ได้เริ่มด้วย น่าจะจบกันไป
    ถ้าเจอคนบ้า ๆ ขึ้นมา เอาปืนมายิง ก็ยอมแลกตรงนั้นนะ แต่ถ้าไม่ตาย หมายถึง นัทตี้กัดถึงที่สุด จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง

    ประเภท "หมาหยอกไก่" มาแบบเป็นเพื่อนของแฟนเพื่อนก็มี เพื่อนทำงานของสามีก็มี คนแปลกหน้าก็มี เพื่อนที่เรียนที่ทำงานด้วยกันก็มี  
    นัทตี้ชอบประเภทนี้นะ เพราะว่านัทตี้เองเป็นคนไม่คิดมาก อยากเฟลิตกับเรา เราก็เฟลิตด้วย มันก็แค่คำพูด แล้วจบ มันเหมือนการล้อเล่นมากกว่า
    คนประเภทนี้ไม่มีพิษภัยอะไร ส่วนใหญ่ชอบร่าเริง  ไม่ได้หวังจริงจังมากนัก เป็นประเภทได้ก็เอา
    ข้อสำคัญ ต้องทันกัน ความสัมพันธ์อาจจะเปลี่ยนเป็นเพือนที่รู้ใจกันได้ง่าย ๆ
    เมื่อถึงเวลาที่กลายความสัมพันธ์มาเป็นเพื่อนกันแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนปล้ำ
    ส่วนใหญ่ไว้ใจได้ มันขึ้นอยู่ที่เราต่างหากที่เป็นผู้คุมเกม ว่าเยส หรือโน


    ประเภท "เชือดนิ่ม" นี่น่ากลัว เขาจะพูดมีเหตุผล จนเราคล้อยตาม ตายใจ หลงไปด้วยหรือยอมไปด้วย
    อาจจะเป็นคนใกล้ ๆ ตัว เช่นครูผู้ชาย เพื่อนชายในห้องเรียนหรือทีทำงาน
    ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากไปก็เถอะ เขาจะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในตัวของเราเก่ง มีวาทะศิลป์ในการพูด สถานที่และโอกาส
    และอีกประการหนึ่ง คือการที่เป็นคนใกล้ และ เราให้ความไว้วางใจเต็มเปี่ยมประกอบเข้าด้วยกัน
    เขาจะทำตัวค่อย ๆ เป็นค่อยๆ ไป ให้เราตายใจ และ ตกหลุมในที่สุด อาจจะไม่ได้เสียตัว แต่เสียเงิน หรือเสียความรู้สึก หรืออะไรนี่ก็ถือว่า โดนเชือดนิ่มเหมือนกัน
    เคยเจอ คนหนึ่งเป็นเพื่อนทำงานด้วยกัน ที่ร้านอาหารทางนี้แหละ เขาเขาทำงานในครัว ช่วยเราทุกอย่าง ความสัมพันธ์ที่เรามีให้คือเพื่อนสนิท
    ตอนนั้นสามีอยู่โรงพยาบาล นัทตี้ทำงานเป็นกะ อาทิตย์หนึ่งอยู่เช้า อาทิตย์หนึ่งอยู่ดึก(รอบดึกจะเหลือสองคน คือคนในครัวที่ต้องทำความสะอาดพื้น และ เราคนเสริฟที่ต้องดูความเรียบร้อย ปิดไฟและประตู)
    คืนหนึ่งห้องข้างบนมีงานเลี้ยง เราอยู่ดึก ต้องจัดการเก็บของให้เกลี้ยง
    โดยมีเพื่อนคนนี้ช่วย เช็ดโต๊ะกันเสร็จแล้ว
    นัทตี้นั่งอยู่เล่นรออยู่บนโต๊ะมันยังงั้นแหละ รอเพื่อนมันเช็ดพื้นเสร็จ
    ไม่รู้มันนึกยังไง เอาไม้ม็อบวางพิงไว้ตรงหัวโต๊ะ เดินตรงเข้ามาจับไหล่เราสองข้าง
    ไอ้เราก็คิดว่า มันล้อเล่น ก็หัวเราะไป
    ที่ไหนได้ มันเอาหน้ามาไซร้เราและดันมือให้เราเอนตัวนอนลง
    ไอ้เราก็งง แรก ๆ ยังตั้งตัวไม่ติด
    ตัวมันจับขาเราแยกออก(นุ่งกระโปรงสั้น ฟิตเป็นผ้ายืดแนบตัว) เอาตัวมันมาอยู่ตรงระหว่างขาเรา แล้วเอามือข้างหนึ่งของมันปลดกางเกงออก ให้ไหลลงไปกองที่เท้า
    ดึงกางเกงในออก ผงาดขึ้นมาเชียว
    กระโปรงเราร่นขึ้นมาที่หน้าขา เห็นกางเกงในแผลมออกมา
    ไอ้ตัวเราเองนั้นก็มัวแต่ตะลึงมองนอนมองดูการกระทำของมันอยู่อย่างนั้น
    บอกตรง ๆ ว่าตกใจ แต่ตั้งสติได้แล้ว และตอนนั้นคิดหาทางรอโอกาสอยู่เช่นกัน
    จนกระทั่งมันยื่นมือมาจะดึงกางเกงในเรานั่นแหละ
    มือเราว่าง ก็เอื้อมมือไปจับเจ้าโลกของมันไว้ทั้งพวง ให้มันตายใจ
    ตามองเห็นไม้ม็อบ(ด้ามไม้) วางพิงเอาไว้ไม่ไกลเท่าใดนัก พอที่จะเอื้อมตัวหยิบถึง
    ก็ตัดสินใจจิกเต็มเหนี่ยวแล้วกระชากมันทั้งพวงนั่นแหละ แล้วพลิกตัวหันไปด้านที่มีไม้กวาด แต่ยังจับมันได้ไม่ถึง
    กระเด้งตัวเองขึ้นมา ไม่พูดแล้วคว้าได้ไม้ม็อบนั่น กระแทกไปที่หน้าที่ตัวมันมั่วไปหมด
    มันร้องและเซตั้งแต่นัทตี้ดึงให้นั่นแล้ว  
    อีกอย่างคือมันสะดุดขากางเกงตัวเองที่กองไว้ในเท้า และ ที่ขาอ่อนด้านบนแต่อยู่ล่างลงมาจากแก้มก้น ก็รัดไว้ด้วยกางเกงในอีกที  ล้มลงไม่เป็นท่า
    นัทตี้วิ่งลงมาและออกประตูร้านไปเลย ไขกุญแจจักรยานขับกลับบ้านไปยังงั้นแหละ
    กระเป๋าตังค์กับแจ็คเก็ตที่เตรียมไว้ตรงเคาน์เตอร์ข้างล่าง ก่อนที่จะขึ้นไปทำความสะอาดนั่น ก็ไม่ลืมคว้ามาด้วย
    ลงบันไดมาก็เจอทันที รีบคว้าออกประตูไป(ประตูล็อคได้จากด้านใน เมื่อเปิดออกไปแล้วจะปิดเองอัตโนมัติ จะเข้าได้ก็ต่อเมื่อมีกุญแจ) ไม่สนใจแล้วว่าอะไรจะสูญหาย ไว้ค่อยว่ากันใหม่
    วันรุ่งขึ้นมาทำงานตอนบ่าย
    ไอ้คนนี้ก็เข้างานเลิกพร้อมกันอีก มันพยายามมาขอโทษขอโพย บอกว่าอย่าบอกเชฟ เพราะถึงออกจากงานแน่
    นัทตี้ก็ยกโทษให้นะ เพราะมันก็เจ็บจากเราด้วย และ เราไม่ได้เสียหายอะไร
    มันสัญญิงสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้กับเราอีกแล้ว นัทตี้ก็โอเคสั่งสอนมันไปเยอะ แถมเอาบุญคุณด้วยว่า นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนออกจากงาน และ ถึงตำรวจแน่
    หลังจากนั้น ถ้านัทตี้อยู่เวรดึกเมื่อไหร่ จะให้พ่อสามีขี่จักรยานมาตอนห้าทุ่ม มารับ แต่ไม่ได้เล่าให้ฟังว่าเกิดบ้าอะไรขึ้น ถึงต้องให้แกเสียเวลานอนมารับ แต่แกก็ดีใจหาย ยินดีทำตาม เพราะแกเองก็ห่วงที่เราพกเงินกลับบ้านด้วย(เงินที่ขายได้ ไว้คิดกับเชฟตอนเช้า)
    เราทำความสะอาดไปพลาง ๆ บ้าง คุยบ้างจนเที่ยงคืนเพราะบางคืนมีคนนั่งอยู่สองสามคน (ขาประจำ)พ่อสามีรอปิดร้าน แล้วก็กลับบ้านพร้อมกัน
    กับคนนั้น เราก็ยังคุยกันได้อยู่ และ ใช้เขาได้สารพัด
    แต่เรื่องไว้ใจมันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว หลอกใช้ว่างั้นเถอะ
    และหลังจากนั้นไม่นาน นัทตี้ก็ลาออก เพราะได้งานทำกลางวันแถว ๆ บ้านเช่นกัน แต่ไปกันคนละทิศ
    ไอ้ผู้ชายคนนี้ที่เจอ เป็นคนอัลบาเนี่ยน
    หลังจากที่นัทตี้ออก ยังมาดักเราก่อนทางเข้าบ้าน พูดคุยด้วย
    จนหลังสุดนี่เขามาขอเงินไป 500 ฟรังค์ เพราะเขาอยู่ในสวิส ไม่ได้แล้ว
    โอเค นัทตี้บอกเขาว่าวันรุ่งขึ้นนะ นัทตี้นัดให้เขามาและให้ไปโดยที่รู้ว่าไม่ได้คืนด้วย แต่สงสารและเห็นใจเขาไง
    เวลาผ่านมาได้สิบสองปี เมื่อตอนสองปีที่แล้ว ได้รับโทรศัพท์ที่ไม่คาดคิดว่ามาจากเขา
    โทรมาจากเยอรมันว่า ตอนนี้เขาทำงานเป็นคนขับรถบรรทุก ผ่านมาสวิสเป็นบางที
    เขาแต่งงานแล้วกับคนเยอรมัน และ มีลูกชายด้วยกันสองคน
    เมื่อถามถึงน้องชายเขาและแม่เขา ที่ครั้งหนึ่งนัทตี้ได้เคยเจอ เขาบอกว่า น้องชายเขาตายแล้ว แม่ยังอยู่
    เขาถามนัทตี้ว่า มีลูกกี่คน สามีเป็นยังไง พ่อสามีเป็นยังไง นัทตี้เปลี่ยนไปเยอะไหม(หน้าแก่ขึ้นไหม) อ้วนขึ้นมากไหม
    และสุดท้ายเขาบอกว่า เขายังรักและคิดถึงนัทตี้อยู่ นี่แหละที่นัทตี้เจอและถือว่ายังโชคดี รอดมาได้

    แค่นี้ก่อนนะ ไว้ประเภทอื่น ๆ จะเล่าต่อไปเมื่อมีเวลา

    แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 47 21:07:09

    จากคุณ : NATTI นัทตี้ - [ 17 ธ.ค. 47 21:02:58 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป