บทเริ่มต้น
นี่ไอ้แมนวันนี้ไปเที่ยวไหนดีวะ คำถามประจำวันจากเพื่อนผมเวลาหลังเลิกงานแล้วไม่รู้จะไปที่ไหนนอกจากใช้เงินเที่ยวตามประสาผู้ชายวัยยี่สิบกลางๆ ผมและเพื่อนสองคนเราลงขันกันทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เชียงใหม่ เป็นงานเล็กๆที่เรารับค่าแรงต่อจากบริษัทแม่อีกทีหนึ่ง การเงินและการงานจัดว่าพอใช้ได้ขั้นหนึ่ง ก็จะให้ไปทำอะไรได้ล่ะครับเรียนมาทางนี้นี่ เป็นแต่สร้างบ้านสร้างตึก โอยไม่ไปไหนอยู่บ้านดีกว่าเที่ยวทุกวันสุขภาพย่ำแย่ว่ะ คำโอดครวญจากปากของผมต่อเพื่อน(ทั้งที่ความจริงอยากไปจะแย่) เพื่อนผมออกอาการเซ็งนิดๆแต่มันก็ไม่กล้าเซ้าซี้มากนัก หลังจากห้าโมงเย็นเวลาเลิกงาน
เรานั่งปรึกษางานในวันพรุ่งนี้กันอีกประมาณครึ่งชั่วโมงต่างพากันกลับมาที่บ้านเช่าใกล้ๆกับที่ทำงาน วันนี้มันเป็นวันที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยว่ามั้ย เพื่อนตัวแสบของผมบ่นออดบ่นแอด เซ็งว่ะต่อเน็ตเล่นดีกว่าอย่างน้อยก็คุยกับสาวแก้เซ็ง เพื่อนผมคนนี้มันเป็นสิงห์นักแชทตัวยงเลยก็ว่าได้ บางวันมันแชทคุยกับสาวได้ทั้งคืนเลย ผมก็ไม่รู้ว่ามันได้อะไรจากการแชทนี้กับมัน แต่บางทีก็แอบๆดูมัน ดูมีความสุขเหมือนกัน เออคนเรานี่ก็แปลกเนาะคุยไปยิ้มไป วันนี้ไม่รู้จะไปไหนผมเลยนั่งดูมันแชทไป ลองเล่นดูมั้ยสาวๆงี้ตรึมเลนนะโว้ย คำเชิญชวนให้ลองเสพโปรแกรมหาเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตจากเพื่อนตัวดีของผม ผมลังเลนิดนึงแต่แล้วก็ทนคำเซ้าซี้จากมันไม่ได้ เอาวะลองดูนิดนึงก็ได้ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่ แล้วผมก็หย่อยก้นลงนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แทนมันพร้อมทั้งฟังคำอธิบายการใช้งานจากมัน มันเป็นครั้งแรกในการท่องโลกหาเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตของผม วันแรกนี้ผมได้เพื่อนสาวหลายคนทั้งที่ทำงานแล้วและกำลังศึกษาอยู่ เธอทุกคนชวนผมคุยตลอดเลยคุยกันประมาณสามชั่วโมงได้
ผมเริ่มตาลายกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผมจะเป็นโรคแปลกอย่างนึงคือเวลาจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆจะตาลาย พอรู้ตัวว่าเริ่มไม่ไหวแล้วก็เลยตัดบทสนทนากับสาวๆพร้อมลงเอยด้วยการขอเบอร์โทร ถ้าคนไหนเค้าไม่ให้ก็เอาเป็นอีเมลล์แทนได้(แน่ะกัดไม่ปล่อยอีก) หลังจากได้เบอร์โทรและอีเมลล์เสร็จเรียบร้อยโรงเรียนแชทแล้วผมก็ขอตัวสาวๆเข้านอน
วันต่อมาผมตื่นมาทำงานของผมเหมือนตามปรกติทุกวัน ทำไงได้ล่ะงานคือเงินนี่ใครว่าเงินไม่สำคัญอันนี้ผมขอเถียงหัวชนฝาเลย เรื่องเงินนี่แหละสำคัญสำหรับเราเลยถ้าไม่มีเงินเราจะเอาอะไรรับประทานล่ะครับ คนเราไม่ได้อยู่เฉยๆแบบไม่ต้องกินอะไรได้นี่(หรือว่าคุณทำได้ถ้าทำได้ก็ให้ถือว่าผมพูดผิดละกัน) ผมไม่ได้กลับไปเปิดคอมเล่นอินเตอร์เน็ตอีกเลยจนผ่านมาประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผมต้องไปตอบอีเมลล์ให้กับบริษัทผลิตน้ำยากันซึมอาคารที่กรุงเทพ ซึ่งผมติดต่อน้ำยาเค้ามาทำกันซึมอาคารที่เชียงใหม่ หลังจากตอบอีเมลล์เสร็จพอนึกได้ว่าเรามีอีเมลล์สาวๆอยู่นี่หว่าเอากะเค้าซะหน่อยนะโสดๆอย่างเราเผื่อมีสาวๆมาติดเบ็ดบ้าง ผมหยิบสมุดจดบันทึกมาเปิดหาอีเมลล์ของสาวคนนั้น เธอชื่อน้ำครับทำงานเป็นตัวแทนจำหน่ายยาในเขตภาคเหนือของบริษัทแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ
ผมเริ่มบทแรกของข้อความที่ส่งไปตามความคิดของคนเหงาคนหนึ่งว่า การอยู่คนเดียวทำให้เรามองเห็นอะไรหลายๆอย่างที่คนอยู่สองคนมองไม่เห็น บางครั้งผมคิดว่ามันเป็นการดีสำหรับตัวเราเองนะแต่ในบางครั้งการอยู่คนเดียวก็เหงาชะมัดเลย คุณว่ามั้ย
ผ่านไปอีกสามวันผมกลับมานั่งตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะดูความคืบหน้าของอีเมลล์ที่ส่งให้น้ำ
ได้ผลครับท่าน เธอตอบเมลล์ผมมาแล้วเธอบอกตอนนี้อยู่ที่กรุงเทพอีกสองวันถึงจะขึ้นมาเชียงใหม่ เธอเรียนจบทางด้านมนุษย์ศาสตร์จากมหาลัยที่เชียงใหม่จบแล้วก็ได้งานเลย ทำงานที่บริษัทนี้มาได้ประมาณสามเดือนแล้วถ้าเธอว่างๆเธอจะพยายามตอบเมลล์ผมบ่อยๆ อุแม่เจ้ามีปลาติดเบ็ดเหยื่อน้ำเน่าของผมแล้ว
ผมกับน้ำเราติดต่อกันทางอีเมลล์กันประมาณหนึ่งเดือนทำยังไงได้ต่างคนต่างงานยุ่งนี่นาแต่เราสองคนก็พยายามส่งเมลล์หากันตลอด ผมว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความคิดคนหนึ่งเลยนะแต่ละคำจากเมลล์ของเธอทำให้ผมชอบเธอเข้าไปทุกทีจนผมงงว่าแค่จดหมายอิเลคทรอนิคจากคนไม่เคยเห็นหน้าไม่เคยโทรคุยกันทำไมผมรู้สึกดีอย่างนี้ จนเข้ามาถึงครึ่งเดือนที่สองวันนั้นผมเปิดคอมประมาณสามทุ่มเห็นในอีเมลล์มีข้อความจากน้ำเข้ามาผมเลยคลิกเข้าไปอ่าน เธอบอกผมว่าตอนนี้เธอมาทำงานที่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่พรุ่งนี้ประมาณหนึ่งทุ่มเธอต้องอีเมลล์ส่งงานไปให้บริษัทที่กรุงเทพ ถ้าผมว่างให้มาonlineคุยกัน ผมดีใจที่จะได้คุยกับเธอ นั่งยิ้มอยู่คนเดียวจนเพื่อนมันบอกว่าผมบ้าไปแล้ว ผมตอบตกลงเธอไปว่าพรุ่งนี้หนึ่งทุ่มเจอกัน
วันรุ่งขึ้นผมออกจากบ้านไปทำงานอย่างสดชื่นกว่าที่เคยเป็น แต่แล้วมรสุมจากงานที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ก็เข้ามาหาผมโดยที่ผมไม่ได้ตั้งตัว เสียงโทรศัพท์มือถือจากงานที่ต่างจังหวัดดังเข้ามาเค้าอยากให้ผมไปแก้งานให้นิดหน่อยเพราะงานมีปัญหา ครั้นจะไม่ไปก็ไม่ได้เดี๋ยวเสียลูกค้าอีก งานแบบเราต้องบริการลูกค้าให้ดีด้วยสิ เอ้าเอาก็เอาเร่งๆหน่อยคงเสร็จทันหนึ่งทุ่มน่า วันนั้นทั้งวันผมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยตาก็มัวแต่ก้มลงมองนาฬิกาอีกตาก็มองคนงานทำงาน ผมงัดเอาวีธีการทำงานที่ทำให้เร็วที่สุดเพื่อให้เสร็จทันเวลาเพื่อที่จะได้กลับมาทันคุยกับสุดที่รักของผม
เสร็จครับแต่เลยเวลามาแค่นิดหน่อยเอง ผมกลับมาถึงบ้านเวลาทุ่มสี่สิบห้ารีบวิ่งแจ้นมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์รีบเปิดรีบต่ออินเตอร์เน็ตอย่างร้อนรนเพราะกลัวเธอกลับ
ตัวเองทำไมมาช้าจังเลยเค้าเกือบจะกลับแล้วนะเนี่ยคำตัดพ้อต่อว่าจากเธอ ใช่ครับผมมาทันเธอยังไม่ไปไหนเธอยังรอที่จะคุยกับผมอยู่ เราคุยกันถึงเรื่องต่างๆถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเรื่องการงานตอนนี้แต่ละคนเป็นไงบ้าง
ต่อมาเธอเริ่มยิงคำถามเรื่องความรักกับผมบ้างเธอถามผมว่าผมเคยมีคนรักมั้ย ผมก็ตอบเธอไปตามความจริงว่าเคยเมื่อสามปีที่แล้วคบอยู่คนหนึ่งแต่เลิกกันไปแล้ว โธ่อายุปูนนี้แล้วมันก็ต้องเคยมีความรักกันบ้างแหละ แล้วผมก็เปลี่ยนคำถามเมื่อกี้มายิงไปที่คนเริ่มบ้างดูเธออยากจะเล่าให้ผมฟังมากเลยคล้ายๆเธออัดอั้นมานานขอระบายความทุกข์บ้างเถอะ เธอบอกผมว่าเธอเคยคบกับแฟนคนนึงเป็นชาวฮ่องกงเค้ามาเรียนปริญญาโทที่เมืองไทยพอดีมาเช่าอยู่ที่คอนโดเดียวกัน วันนั้นเธอนั่งอยู่ที่ใต้คอนโดกำลังแปลบทความภาษาจีนอยู่เพราะมันอยู่ในหลักสูตรที่เธอต้องเรียน ผู้ชายคนนั้นมาเห็นเข้าก็เลยเข้าไปถามว่ามีอะไรให้เค้าช่วยมั้ยภาษาจีนเป็นภาษาบ้านเค้าอาจจะช่วยอะไรเธอได้บ้างแล้วเธอกับเค้าก็โทรคุยกันตลอด เธอบอกเค้าเป็นคนดีมากคอยเทคแคร์คอยห่วงใยเธอตลอดเวลาที่คบกัน คบกันได้ประมาณสองปีแต่แล้วมันก็ถึงเวลาที่เค้าเรียนจบ เค้าต้องกลับบ้านที่ฮ่องกงอาทิตย์หน้า เค้ามาคุยกับเธอมาชวนไปอยู่ด้วยกันที่ฮ่องกง แต่เธอก็ต้องปฏิเสธไปเพราะเธอต้องอยู่ที่เมืองไทยต้องคอยดูแลพ่อแม่(ก็หญิงไทยนี่นา)ถ้าเค้ารักเธอจริงทำไมเค้าไม่อยู่กับเธอที่เมืองไทยล่ะ แล้วเธอกับเค้าก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยจนผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ เธอนึกว่าคุณตี๋กลับประเทศไปแล้วที่ไหนได้ดันควงสาวเข้ามาที่คอนโดอีกแน่ะ พูดถึงตอนนี้เธอบ่นใหญ่เลย อะไรวะไม่รักกันทำไมไม่บอกเลิกกันดีๆดันโกหกกันซะนี่เอ้อคนเรานะ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่คบกับใครอีกเลยเธอบอกเข็ดแล้วความรัก กลัวที่จะเริ่มต้นกับใครอีก
ผมกับเธอเราต่างเหมือนกันในตรงนี้นะกลัวความรักกลัวการเริ่มต้นใหม่ๆกลัวว่าถ้ารักแล้วจะต้องมาเลิกกันมันเสียใจไม่ใช่น้อย นึกแล้วก็น่าเห็นใจเธอและตัวผมเองเหมือนกัน ผมเริ่มถามเธอว่าแล้วถ้าเกิดจะลองเสี่ยงเริ่มใหม่อีกสักครั้งจะได้มั้ย เพราะชีวิตการอยู่คนเดียวมันเหงาเหมือนกันนะ ผมว่าการที่เราอยู่คนเดียวโดยไม่มีเรื่องความรักหรือคนที่เค้าจะมาอยู่เคียงข้างเราคอยเป็นกำลังใจเมื่อเราท้อ มันก็เหมือนกับเรากินก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ใส่น้ำตาลนี่แหละรู้สึกชีวิตจะขาดความหวานไปเลย เราก็เลยตงลงแลกเบอร์โทรกันเผื่อเธอก็อยากกินก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำตาลเหมือนกัน(คิคิ)
บทที่สอง
ผมเริ่มโทรหาน้ำตั้งแต่วันนั้นวันที่ได้เบอร์มา เราจะโทรคุยกันทุกวันเธอโทรมาบ้างผมโทรไปบ้าง แต่ละครั้งเราคุยกันนานมากซึ่งผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไม โดยปรกติผมไม่เคยคุยโทรศัพท์กับใครนานๆแบบนี้เลย แม้แต่ตอนที่ได้เบอร์จากสาวๆตอนแชท กี่คนต่อกี่คนผมไม่เคยคุยได้เกินสิบนาที อาจเป็นเพราะผมกับน้ำเรามีความคิดที่เหมือนๆกันก็ได้นะ ทุกครั้งที่เราคุยกันบรรยากาศตอนนั้นมันเหมือนๆกับว่าโลกนี้มีเพียงเราสองคน ผมรู้สึกกับเธอดีมากๆ และทุกครั้งผมจะเล่นกีตาร์และร้องเพลงให้เธอฟังประจำ ผมยังจำได้เธอชอบเพลงจะเก็บเรื่องราวของเราเอาไว้ของวงsofa และเพลงตัวจริงของเธอของจั๊ก ดับเบิ้ลยู เธอบอกเธอชอบที่จะฟังผมร้องเพลงให้ฟังและผมก็ตอบกับตัวเองในใจว่าผมก็ชอบที่จะร้องเพลงให้เธอฟังเหมือนกัน อยากได้ยินเธอหัวเราะอยากฟังเสียงเธอนานๆ นี่กระมังที่เค้าเรียกว่าความรัก ทุกวันผมรู้สึกกับตัวเองว่าชีวิตผมไม่ได้เหงาอีกต่อไปแล้วนี่ ผมยังมีเธอคนนี้เธอคนที่มาช่วยเติมส่วนที่หายไปในชีวิตของผมให้มันมีสีสันขึ้น เธอขอร้องผมอย่างเดียวที่ผมจำได้คือถ้าเกิดมีอะไรให้พูดกันมาตรงๆเลยอย่าโกหกกันเพราะเธอไม่ชอบคนโกหก ผมรับปากเธออย่างมั่นใจเพราะผมแน่ใจว่าผมทำได้แน่ๆ ผมจะสร้างความรักครั้งใหม่ครั้งนี้ให้มีแต่ความสุข จะพยายามไม่ให้เราสองคนต้องเสียใจอีกต่อไป เราคุยกันโดยเราตกลงกันว่าอีกหนึ่งปีเราจะเจอกันจริงๆ เพราะตอนนั้นเราสองคนต่างยังไม่พร้อมซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงในตอนนั้น ผมเริ่มมีปัญหาเรื่องงานเพราะงานรับเหมาก่อสร้างมันเป็นงานที่มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง แต่ผมก็ไม่ใช่ว่าจะขาดทุนซะทีเดียว เพียงแต่บริษัทแม่ที่ผมรับเหมาค่าแรงต่อจากเค้ามาเกิดการเงินขัดข้องซึ่งมันก็ทำให้การเบิกจ่ายเงินล่าช้าไป เงินที่ผมร่วมลงทุนกับเพื่อนก็เริ่มหมดหายไปกับค่าแรงคนงาน เมื่อส่วนที่ได้รับกลับมามันน้อยกว่าส่วนที่จ่ายไปผมและเพื่อนก็เริ่มขัดสนทางการเงิน เราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรอให้บริษัทแม่มีสภาพคล่องทางการเงินก่อนเราถึงจะฟื้นได้ เปรียบได้กับนกที่ทำรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่นั่นแหละถ้าต้นไม้ล้มนกก็อยู่ไม่ได้ เหมือนผมและเพื่อนกำลังเจอกันอยู่ตอนนั้น ผมได้คุยกับเธอจนทำให้ผมเริ่มเห็นความต่างระหว่างเราสองคนงานของผมเริ่มเข้าขั้นแย่ลงไปเรื่อยๆ แต่งานของเธอกลับดีวันดีคืนเธอเริ่มถอยรถคันใหม่ ทุกครั้งที่เราคุยกันเธอจะบอกถึงแผนการในอนาคตว่ามันควรจะเป็นอย่างไร ผมได้แต่เห็นด้วยไปกับเธอเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เธอมีความสุข ทั้งที่ความจริงผมเริ่มดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ ผมเริ่มทำในสิ่งที่เธอไม่ชอบ ผมโกหกเธอ
บทส่งท้าย
เราคุยกันทางโทรศัพท์มาประมาณห้าเดือนเศษ แล้วความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเกิดขึ้น เธอเริ่มเซ้าซี้ให้ผมไปพบเธอ ทุกครั้งที่คุยกับเธอเธอจะบ่นให้ผมฟังอยู่เสมอว่าเธอไม่อยากคบใครในจินตนาการ เธอบอกว่าผมเหมือนเป็นความฝันเป็นคนในจินตนาการเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ผมไม่รู้จะตอบเธอว่ายังไงเพราะผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ได้แต่บอกเธอไปว่ามันยังไม่ถึงเวลาตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะเจอเธอไม่พร้อมจริงๆ เธอเริ่มละเมิดข้อสัญญาระหว่างเราสองคน แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดเธออีกนั่นแหละ
เพราะการที่จะให้เธอมารอผมอีกตั้งหนึ่งปีคงเป็นไปไม่ได้ มันดูเหมือนผมเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะให้เธอมารอผม เราเริ่มมาตกลงกันใหม่ ต่อไปนี้เราจะเลิกโทรหากันเราจะหยุดเรื่องของเราไว้เพียงแค่นี้ ทุกอย่างที่ผ่านมาแม้เราสองคนจะมีความรู้สึกดีๆให้กันแต่มันก็แค่ในความฝันเท่านั้นเป็นเรื่องในจินตนาการ จากวันนั้นวันที่ผมคุยกับเธอครั้งสุดท้ายเธอก็ไม่เคยโทรหาผมอีกเลย เรื่องของเราเป็นอันจบลง ผมต้องกลับมาเผชิญกับปัญหาร้อยแปดของผมต่อ ทุกวันนี้แม้ว่าอะไรมันจะดีขึ้นมา แต่เธอคนนั้นก็ไม่อยู่ตรงนี้แล้วไม่ได้อยู่เคียงข้างผมอย่างที่ผมหวังเอาไว้ ทุกวันผมยังเล่นเพลงเดิมๆที่เธอชอบ เพลงของเราแม้ว่าเธอจะไม่อยู่ฟัง แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้ว่าครั้งนึงผมเคยรักผู้หญิงคนนึงในจินตนาการ
แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 47 02:03:20
แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 47 15:43:58
จากคุณ :
xfind
- [
26 ธ.ค. 47 12:11:17
]