CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ***มหาสงครามแอตลีเซีย ****บทที่ 33 มหันตภัยแห่งธีราน***

    บทที่  33  มหันตภัยแห่งธีราน

                 วิหารหินเก่าแก่ตั้งตระหง่านท้าลมทะเลที่กรรโชกแรงมาตลอดหลายพันปีอย่างไม่สะทกสะท้าน  เสาทั้งแปดต้นที่ทำจากศิลาสีเทาเข้มผิวขรุขระขนาดสามคนโอบแบกรับคานหินขนาดพอ ๆกันที่เชื่อมเสาด้านล่างไว้เป็นหนึ่งเดียว  ที่นี่คือจุดกำเนิดของชาวฮัลท์ฮาเว่นทั้งมวล

                    ครั้งที่เทพอีราสหรือเทพแห่งความรักบังอาจฝ่าฝืนกฎเป็นเทพองค์แรกที่ลงมาสมสู่กับมนุษย์จนมีทายาทผู้มีสายเลือดของเทพและมนุษย์อย่างละครึ่งก็เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้  ทั้งเกาะแห่งนี้ก็เป็นจุดกำเนิดของจักรวรรดิเทพเพราะป็นแหล่งชุมชนแรกที่ชาวฮัลท์ฮาเว่นมาอยู่รวมกันเพื่อสร้างอาณาจักรของเผ่าพันธุ์ขึ้นมา  และเมื่อกษัตริย์พีซได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ผู้ปกครองแอตลีเซียก็ประกอบพิธีปราบดาภิเษกขึ้นที่วิหารหินแห่งนี้เช่นกัน  เกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ปากแม่น้ำคนาคงจึงมีความสำคัญต่อชาวฮัลท์ฮาเว่นเกินขนาดของมัน

                   เกาะธีรานนั้นเป็นเกาะที่เกิดจากดินตะกอนแม่น้ำไหลมารวมกันแล้วก่อตัวเป็นเกาะขนาดเล็กมีพื้นที่ไม่มากนัก  ความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ถูกพัดพามาก่อร่างสร้างเกาะทำให้พืชพันธุ์ที่หว่านไถสามารถเติบโตได้ดีจนเกาะแห่งนี้ถูกเลือกเป็นที่ตั้งของอาณาจักรแรกแห่งจักรวรรดิเทพ  แต่ความที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำคนาคงซึ่งกั้นระหว่างทะเลตะวันตกและทะเลใต้ทำให้คลื่นลมพายุมักพัดเข้าโจมตีเกาะแห่งนี้เป็นประจำจนทำลายทั้งบ้านเรือนและไร่สวน  ในที่สุดเกาะแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างเมื่อชาวฮัลท์ฮาเว่นตัดสินใจอพยพไปสร้างอาณาจักรแห่งใหม่นั่นคือแอสวิ่นในปัจจุบัน

                    กษัตริย์อาเรสนั่งระทมทุกข์หมดอาลัยอยู่บนพื้นวิหารที่พระองค์ครองมงกุฎเมื่อ  22  ปีก่อน  แม้จะถูกทิ้งร้างไปนานแต่ความสำคัญของเกาะธีรานก็ยังไม่ได้ถูกลดทอนลงไปเพราะกษัตริย์หรือจ้าวผู้ครองแอสวิ่นทุกพระองค์จะมาทำพิธีครองมงกุฎ ณ สถานที่แห่งนี้  ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยานที่จะกลับมาครองแอตลีเซียทั้งมวล

                    ภาพความหวังเมื่อยังเยาว์ของพระองค์ปรากฏเด่นชัดอยู่ในความนึกคิด  นับแต่วัยเด็กพระองค์จะเฝ้านึกถึงการนำพาชาวฮัลท์ฮาเว่นกลับมาอยู่ชนชั้นปกครองอีกครั้ง  เมื่อพระองค์มายังวิหารหินเก่าแก่นี้เพื่อครองมงกุฎพระองค์ก็ตั้งปณิธานที่จะมิเป็นเพียงจ้าวผู้ครองแอสวิ่นแต่หวังจะเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรทั้งมวลให้ได้  จนถึงวันที่พระองค์ยาตราทัพออกจากนครหลวงที่พระองค์สูญเสียให้แก่ศัตรูไปเมื่อวานแล้วได้ราชาภิเษกที่อิทีกริสในที่สุด

                    พระองค์ทำสงครามเพื่อเกียรติยศ  ทำสงครามเพื่อดินแดน  ทำสงครามเพื่อวงศ์ตระกูล  ทำสงครามเพื่อชัยชนะ  นี่คือสิ่งที่พระองค์เชื่อมั่นมาตลอดหลายสิบปีแต่ในวันนี้ต้องบัญญัติการทำสงครามของพระองค์ขึ้นมาใหม่  พระองค์ทำสงครามเพื่อความอัปยศ  ทำสงครามเพื่อความสูญเสีย  ทำสงครามเพื่อสูญวงศ์กษัตริย์เทพ  สุดท้ายพระองค์ทำสงครามเพื่อความพ่ายแพ้

                   ใจที่อ่อนล้าเจ็บแปลบขึ้นเป็นระยะ ๆ เมื่อเจ้าของร่างทุกข์ทนกับความล้มเหลวของตนอย่างไม่สนใจโลก  ดาบคู่กายที่เคยอยู่ในมือตอนนี้ถูกวางทิ้งอย่างไม่เอาใจใส่เช่นเดียวกับทหารของพระองค์ที่ไร้การควบคุมเช่นแต่ก่อน  

                   ทหารร้อยกว่านายนั่งสิ้นหวังไปตามพื้นหญ้าซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวที่ปกคลุมพื้นที่นี้นับแต่ถูกทิ้งร้างด้วยอาการเช่นเดียวกับกษัตริย์ของตน  ทั้งหมดเกือบจะสิ้นแรงเมื่อพยายามพายเรืออย่างสุดกำลังพาจ้าวเหนือหัวของตนหนีจากกองเรือทางเหนือของศัตรูที่คอยไล่ล่า

                  ในครั้งแรกที่กษัตริย์อาเรสขึ้นสู่เรือที่เสนาธิกอร์เดเซสจัดเตรียมไว้ให้  พระองค์ตัดสินใจหนีขึ้นเหนือเพื่อเอาตัวรอดแต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะเดินทางเลยปากแม่น้ำกานซ์กองเรือของข้าศึกห้าลำก็ขวางเส้นทางหลบหนีเอาไว้จนพระองค์ต้องตัดสินใจลงใต้แทน

                  เมื่อหนีเรือของศัตรูพ้นพระองค์ก็เหลือบเห็นวิหารพิธีแห่งนี้ซึ่งเตือนบางอย่างให้พระองค์นึกขึ้นได้จนต้องหนีขึ้นฝั่งที่นี่ทั้งที่อยู่ไกลกับกองทัพของศัตรูไม่มากนัก  สาเหตุนั้นก็คือหากเลยเกาะธีรานลงไปจะเข้าสู่อาชเทคที่ถูกยึดครองโดยกองทัพของศัตรูที่อาจดักซุ่มโจมตีไว้อีก  ทั้งหากรอดไปได้ก็เข้าสู่เขตแคว้นอูร์ที่ชายฝั่งเต็มไปด้วยหินเหลวร้อนจากภูเขาไฟจนไม่อาจเทียบท่าได้  ครั้งจะเดินทางต่อไปจนถึงตะวันออกเรือขนาดเล็กและอาหารที่หร่อยหรอก็ดูจะเป็นอุปสรรคสำคัญจนพระองค์จำต้องขึ้นฝั่งอย่างไร้จุดหมาย

                   ทหารคนหนึ่งถือถุงน้ำนำมาให้พระองค์ก่อนจะเดินเลยไปยังเจ้าหญิงฮีเคทที่นั่งนิ่งอยู่กลางวิหาร  นับแต่เสียเจ้าชายไฮเคสสามีไปเจ้าหญิงฮีเคทก็โศกเศร้าไม่จางหายยิ่งเมื่อลูซิเฟสสิ้นชีพที่ริมแม่น้ำกานซ์ก็ยิ่งเป็นการต้องยำการสูญเสียจนเจ้าหญิงผู้เลอโฉมไม่อาจทานทนได้อีก

                    กษัตริย์อาเรสนั่งมองน้องสะใภ้พร้อมทั้งแบกรับความผิดที่นางต้องโศกเศร้าเอาไว้ทั้งหมดก่อนจะหันไปมองดูกองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์ที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงกองทหารพ่ายศึกเท่านั้น  แม้ความมืดจะปกคลุมเกาะแห่งนี้แต่พระองค์ก็มองเห็นความสิ้นหวังได้อย่างชัดเจน  หลังจากพ่ายแพ้สิ้นเมืองเสียครอบครัวจนถูกไล่ต้อนหนีหัวซุกหัวซุนจนรอดตายมายังธีรานซึ่งไร้อาหารประทังชีพทหารที่เคยอาจหาญก็ดูจะไร้สำนึกของทหารกล้าอีกต่อไป

                    ดวงตะวันฉายฉาบริมขอบฟ้าทางตะวันออกอย่างช้า ๆ เป็นการเริ่มต้นวันใหม่แต่ดินแดงตะวันตกแห่งนี้กำลังร่วงลับดับหายเมื่อเสียงกลองศึกของศัตรูดังแว่วมาตามสายลม  มันเป็นเสียงแห่งความพ่ายแพ้  เสียงแห่งความสิ้นสูญ  เสียงแห่งความสิ้นหวังและเสียงแห่งหายนะ

                  “ลุกขึ้นเตรียมตั้งรับ  เราจะตายอย่างองอาจ”  
     
                   กษัตริย์อาเรสลุกขึ้นสั่งขณะที่ทหารทั้งหลายต่างยันกายขึ้นอย่างช้า ๆ  แม้จะยังคงเชื่อฟังคำสั่งของจ้าวเหนือหัวแต่ร่างที่สะท้านด้วยความกลัวก็แสดงความอ่อนแอภายในใจออกมาอย่างชัดเจน
                       ********************************************

    จากคุณ : Jack o'lanturn - [ 28 ธ.ค. 47 20:21:11 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป