CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ว่าง

    ว่าง

    ชีวิตคนในสังคมเมืองใหญ่ ๆ ทุกวันนี้มีไม่น้อย ที่ไม่ได้สัมผัสกับคำว่า “ว่าง” อย่างเพียงพอกับความต้องการของตัวเอง เพราะบางชีวิตต้องวุ่นวาย กันตั้งแต่ ตี4 เพื่อฝ่าดงจราจรที่ติดขัด มุ่งหน้าเข้าสู่สถานที่ทำงาน กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกดื่น พอหัวถึงหมอนก็หลับทันที พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นมารับสภาพแบบนี้อีกแล้ว หมุนเวียนเปลี่ยนจากวัน เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จะหาเวลาพักผ่อนได้น้อยเต็มที นี่คืออีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตคนในสังคมปัจจุบัน
    ทุกสิ่งทุกอย่างมันย่อมมีสองด้านเสมอ เมื่อมีกลุ่มคนที่ ไม่ค่อยได้สัมผัสกับคำว่า “ว่าง” นัก มันก็ย่อมมีอีกจำพวกที่สนิทสนมกับสภาวะ “ว่าง” ด้วยเหมือนกัน
    “ว่าไง สาวสวย ทำอะไรอยู่ ”
    “เฮ้ย อย่าจ้องนานนักซิ หันไปทางอื่นบ้าง เดี๋ยวจิ้มตาซะเลย”
    “หิวมั้ย ท่าทางเหมือนยังไม่ได้กินอะไรเลย”
    “ไปทำอะไรมาเนี่ย เจ็บมากมั้ย”
    บทสนทนา เพียงข้างเดียว ด้านบน เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราเอ่ยทักทาย เธอ
    เธอ ที่จ้องมองเราทุกครั้งที่มีระยะความใกล้ต่อกัน เราเองก็ไม่ยอมแพ้ จ้องกลับแบบไม่ลดละ พร้อมกับคำถามที่มีมาฝาก แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะตอบกลับ นั่นสินะไม่ตอบกลับมาเลย แต่ถ้าเกิดวันดีคืนดีพูดตอบกลับมา เราต่างหากที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ คงขาแข้งสั่น พูดไม่ออก ช๊อกคาที่แน่ ทำไมนะเหรอ ก็เพราะว่า .....

    ภาพของแมลง ที่พากันบินเล่นกับแสงไฟนีออน ที่เปิดไว้กลางห้อง ฝนเพิ่งหายตกได้ไม่นาน ไม่น่าแปลกที่มีแมลงมากขนาดนี้ ถัดไปไม่ไกลนักสาวสวยนางหนึ่งกำลัง ขะมักเขม้น กับการทำหน้าที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเอง ลิ้นยาว ๆ ของเจ้าหล่อนกำลังทำหน้าที่ ตวัดรัดเกี่ยว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความหิวกระหาย ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้อิ่ม อนิจจา !!! ผู้ที่อ่อนแอกว่าย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่เข้มแข็งกว่าเสมอ ซินะ มันเป็นสัจธรรม

    เบื้องหน้าของเราตอนนี้ คือ จิ้งจกสาว ( ทำไมถึงรู้ว่าสาว ... ก็เพราะท้องของหล่อนแนบกับกระจก
    หน้าต่าง ทำให้เราเห็นไข่ที่อยู่ในท้องนวลเนียนนั้น ซึ่งอีกไม่นานคงเป็น น้องจก จูเนียร์ ที่จะมาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านของเรา ) กำลังใช้ลิ้นสีชมพูอมแดง อันเรียวบางของเจ้าหล่อน ฉกกินแมลงที่บินมาเล่นกับแสงไฟนีออน ในห้อง หล่อนค่อย ๆ สาวเท้าอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันเหยื่อรู้ตัว แล้วมันก็ได้ผล เพราะคืนนี้ แมลงโชคร้าย หก เจ็ด ตัวแล้ว ที่ตกเป็นเหยื่อของหล่อน
    บ่อยครั้ง ที่เราใช้เวลาไปกับการทักทายสาวผู้นี้ คงสงสัยว่าทำไมถึงจำได้ ว่าเป็นจิ้งจกตัวเดิม มันง่ายมากเพราะเธอมีสัญลักษณ์ประจำ นั่นคือ หาง ที่ห้อยตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก ปกติถึงแม้ว่าจิ้งจกจะห้อยหัวลงหางของมันก็จะเกาะติดอยู่กับพนัง ไม่ห้อยตกลงมา แต่เจ้าจิ้งจกสาวตัวนี้ หางเธอห้อยตกลงมาด้วย เพราะเหตุนี้ บ่อยครั้งที่เราถามเธอ ว่า เจ็บมั้ย เพราะดูเหมือนหางจะไม่มีการสนองตอบ ห้อยไปมา แบบนั้น เหมือนโดนประตู หรือไม่อาจเป็นหน้าต่างหนีบเอา ก็เป็นได้ ( ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร ที่แน่ ๆ คงเป็นใครซักคนในบ้านนี่แหละ )
    แม้ตอนที่กำลังล่าเหยื่อ หางที่พิการของหล่อน ยังคงห้อย แกว่งไปมา จวนเจียนจะทิ่มหน้าเธออยู่เช่นเดิม แต่นั่นไม่ได้ส่งผลให้เธอไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้ล่าแต่อย่างใด เพราะทุกคืนมีแมลงไม่น้อยย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ในสุสานภายใต้ท้องนวลเนียนนั่น เกือบจะเดือนแล้วซินะ ที่เรานั่งมอง แล้วคุยกับเธอแบบนี้
    บางครั้งเราถามตัวเองว่า บ้ารึเปล่าวะ นั่งคุยกับจิ้งจกอยู่ได้ !! เอ ... รึว่าเราว่างมากไป
    คำตอบที่ได้ก็ไม่แน่ชัดว่าเราบ้ารึไม่บ้า แต่ที่แน่ ๆ ไอ้เรื่องว่างคงจะว่าง จริง ๆ เพราะตอนนี้อยู่ในสภาวะที่หลุดพ้นจากการเป็น มนุษย์เงินเดือนมาแล้ว ระยะหนึ่ง ชีวิตยังคงลอยไปเรื่อย ๆ แบบไร้ศูนย์ถ่วง หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าต้องการอะไร การที่คนเราทำอะไรได้มากกว่าหนึ่งอย่าง แต่หาดีไม่ได้ซักอย่าง มันแย่จัง เหมือนเป็ด บินก็ได้ ว่ายน้ำก็ได้ เดินบนบกก็ได้ แต่ไม่ได้เด่น หรือ ว่าดีซักอย่าง แค่พอทำได้หลาย ๆ อย่างเท่านั้น ในหัวเราตอนนี้มีเรื่องอยากทำมากมาย ติดก็แต่ แต่ละอย่างมันต้องใช้เวลาในการเติมแต่งขึ้นมา บางสิ่งเสร็จแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตอนแรก เราว่า มันดี สำหรับเรา แต่มันอาจไม่ดีสำหรับคนอื่น แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีใครยอมรับ จนบางครั้งเราคิดว่า เราคงดีไม่พอ ทางที่พอจะทำได้ก็คือฝึกฝนอีกครั้ง ให้มันดีกว่าเดิม ซึ่งคราวนี้ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะประสบความสำเร็จ การรอคอยมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ความท้อแท้มันก็เข้ามาครอบงำ จิตใจที่อ่อนล้า อีกครั้ง.....
    พอมีเวลาว่าง แล้วปล่อยให้ชีวิต ว่างไปเหมือนกับช่วงเวลา ผ่านชะตากรรมไปวัน ๆ บางวันเบื่อมากจน
    ไม่อยากทำอะไร เพราะบางครั้งการทำอะไรซักอย่างโดยไม่มีคำตอบแน่ชัดว่า จะได้ผลสนองกลับมาในลักษณะไหน แถมสิ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาทำมันทำเพราะอารมณ์ที่ต้องการจะทำ โดยไม่มีข้อปัจจัยในการเร่งรีบมาเป็นตัวกำหนดความช้า เร็ว ของ งานที่ออกมา สำหรับผลที่ออกมาคือ ทำตามอารมณ์ เพราะไม่มีใครเร่งนี่หว่า !!อยากทำก็ทำ เมื่อยก็หยุด ก็แบบนี้แหละกว่าจะได้งานแต่ละชิ้นมันเลยใช้เวลานานกว่าชาวบ้าน เพราะไอ้โรคตามใจตัวเองจนเคยตัว มีบางครั้งที่หมดมุขที่จะสร้างสรรค์ ไม่รู้จะทำอะไรได้แต่นอนนิ่ง ๆ เปิดวิทยุ ฟังเพลงไปตลอดทั้งวันทั้งคืน นอนท่าเดิมด้วยนะ ที่ทำแบบนั้นเพราะอยากรู้ว่า ถ้าไม่ขยับตัวเลย ทำแต่อากัปกิริยาเดิม ๆ มันจะเป็นยังไงบ้าง ว่าแล้วก็นอนหันหน้าออกนอกหน้าต่าง แหงนมองดูท้องฟ้าตั้งแต่บ่าย ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ตัดกับสีของกิ่งไม้ บางครั้งถ้าลมพัดผ่านใบไม้จะค่อย ๆ ร่วงหล่นลงพื้นไป เรื่อย ๆ ๆๆๆๆ มองไปมองมา จนหลับ !!
    ตื่นขึ้นมาอีกที ยังนอนในท่าเดิม มุมเดิม แต่ทำไมมืดจัง นอกหน้าต่างเห็นแต่ฟ้ามืด ๆ ไม่เห็นใบไม้ กิ่ง
    ไม้ เหมือนเมื่อบ่ายอีกแล้ว เท่านั้นยังไม่พอท้องดันร้องอีก พอคว้านาฬิกามาดู ถึงได้รู้ว่าทำไมหิวนัก ก็มันปาเข้า
    ไปจะสามทุ่มแล้ว นี่คืออีกวันที่ผ่านไปโดยไม่ได้มีแก่นสารอะไรเลย เป็นแบบนี้อยู่สองวัน จนเข้าวันที่สาม เริ่มตั้งคำถามให้กับตัวเองอีกแล้ว
    - ทำไมชีวิตเราไร้ค่าจัง ?
    - ทำไมอยู่ไปวัน ๆ แบบไม่มีจุดหมาย ?
    - เมื่อไหร่จะไปถึง ฝั่ง ที่ฝันไว้ซะที ?
    - พยายามแล้วนะโว้ย แต่ทำไม มันไม่สำเร็จวะ ?
    - เมื่อไหร่ วันนั้นจะมาถึง เมื่อไหร่ เมื่อไหร่ ใครบอกได้บ้าง เกลียดการรอคอย ที่ไม่มีกำหนด ?
    เบื่อ หมดหวัง ท้อแท้ รำคาญตัวเอง เลิก หยุดให้หมด พอซะที !!!
    ทนไม่ไหวแล้ว อึดอัด !! ออกมาสูดอากาศนอกบ้านดีกว่า คิดได้แบบนั้นก็คว้าจักรยาน พาตัวเองออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่อบอวลไปด้วย คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ เมื่อขาเริ่มออกแรงปั่น ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ลมที่ปะทะร่างกายของเราก็ยิ่งแรงเท่านั้น สายลมเย็น ๆ มันก็ช่วยดับอารมณ์ร้อน ๆ ในใจให้ดีขึ้นได้เหมือนกัน ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าอุดอู้ในห้องแคบ ๆ จะว่าไปบรรยากาศรอบข้างตอนนี้ชวนให้เหงาชะมัด ยิ่งอากาศตอนเย็น ๆ แดดเริ่มอ่อนลงทุกที มองเห็นพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน อีกไม่นานความมืดจะเข้ามาปกคลุมบริเวณนี้แล้วซินะ คิดไป ปั่นไป จนมารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ริมถนนใหญ่เข้าให้แล้ว รถราขวักไขว่ การจราจรหนาแน่น ชีวิตนอกห้องสี่เหลี่ยมของเรา ทำไมมันช่างสับสนวุ่นวายแบบนี้หนอ ครั้งหนึ่งเราก็เคยผ่านชีวิตที่วุ่นวายแบบนี้มาแล้ว จนต้องหลบมาพักแบบทุกวันนี้ คิดไปคิดมา สายตา เหลือบไปเห็น คุณยายแก่ ๆ อายุไม่น่าจะต่ำกว่า 70 นั่งขายพวกสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็น ขมิ้น บวบขัดตัว สมุนไพรหน้าตาเป็นแท่ง ๆ ประหลาด ๆ และอะไรอีกก็ไม่รู้สารพัดอย่างในกระจาด
    คุณยายนั่งอยู่ใต้สะพานลอย พอเห็นแบบนี้แล้วความสงสารมันก็พาลมารวมกระจุกกันที่คอ เพราะเราเป็นโรคแพ้คนแก่ ยิ่งคนแก่แล้วชีวิตเศร้า ๆ แบบนี้ด้วย ใจมันห่อเหี่ยวทันทีทุกครั้งที่เจอ
    คำถามเริ่มยิงเข้ามาในสมองอีกระลอก อายุป่านนี้แล้ว ทำไมลูกหลานไม่ดูแลว้า ? ปล่อยให้คนแก่ต้องมา
    นั่งสูดดมควันพิษอยู่ริมถนน หาเลี้ยงตัวเองตามลำพัง !! รายได้ไม่น่าจะมากอะไร เพราะของที่ขาย ไม่น่าจะสร้างกำไรได้มากนัก … พอหมดจากคำถาม ที่ปนด้วยความสงสารไปแล้ว ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดซ้อนเหลือมขึ้นมา
    นั่นคือความศรัทธา ที่เรารู้สึกนับถือน้ำใจของคุณยายจริง ๆ อายุตั้งขนาดนี้ยังไม่ยอมงอมืองอเท้า ไม่ย่อ
    ท้อต่อโชคชะตา ไม่จำนนต่อหนทาง ไขว่คว้าทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงปากท้องตัวเอง ไม่แน่อาจหาเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวด้วยซ้ำ ทำอะไรก็ได้เพื่อสามารถดิ้นรนให้อยู่รอดในโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ มองคุณยาย แล้วย้อน มองตัวเอง
    นั่นสินะ !! เรายังมีเรี่ยวแรง มีความสามารถที่จะทำอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง มีโอกาสมากกว่าคนอีกตั้งหลายคน อย่าให้ความท้อแท้ที่เกิดในใจ มาบ่อนทำลายความฝันที่มันกำลังจะก่อตัวเป็นรูปร่าง นี่เกือบจะทำลายความฝันของตัวเองเพราะความท้อแท้ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครูซะแล้ว
    มนุษย์มักมองเห็นแต่ปัญหาของตัวเอง รู้แต่ว่าตอนนี้ชีวิตชั้นแย่ ซวย โชคร้าย ลนลาน วุ่นวาย ท้อแท้ หมดหวัง สร้างอารมณ์ขุ่นมัว ทับถมตัวเองให้เจ็บไปกว่าเดิม ยิ่งกว่านั้นชอบมัวแต่ตะกายแหงนหน้ามองคนที่อยู่สูงส่ง กว่า แล้วนั่งตำหนิตัวเอง ว่า ทำไมถึงมีไม่เหมือนเค้า ทำไมไม่ได้แบบเค้า ทำไมเค้าดีกว่า ไม่ใช่ว่าการมองคนที่สูงกว่าไม่ดี มันเกิดประโยชน์ได้ถ้าเราเอาจุดนั้นมาเป็นพลัง แต่ถ้าจะมองแล้วจ้องแต่จะเปรียบเทียบกับตัวเองลูกเดียว หยุดคิดมันซะ จะดีกว่า !! หากแต่ควรมองในมุมที่มันกลับกันแล้วหยุดคิด ถึงโอกาส หรือ ข้อดีที่เคยละเลยไป
    ทำหัวให้ “ว่าง” ซักนิด เพื่อใส่ข้อมูลในด้านอื่น ๆ ที่เคยมองข้าม พร้อมหันมองคนรอบข้างบ้าง แล้วมันจะทำให้เห็นถึง ความโชคดี ในความโชคร้ายของตัวเอง บางครั้งการก้มมองดูคนที่มีโอกาสด้อยกว่า แล้วทบทวนมองย้อนกลับมาดูตัวเองอีกครั้ง มันสามารถสร้างแง่คิด มุมมองใหม่ ๆ ที่เราเคยหลงลืมจนไม่ได้ฉุกคิดมาก่อน
    ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวเหล่านั้น ล้วนแต่มีคุณค่า หากว่าเราเข้าใจประเด็น และจับมาใช้ให้เหมาะกับตัวเอง
    เหมือนกับวันนี้ที่ทำให้เราเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น พร้อม ๆ กับบทสนทนาที่เริ่มต้นอีกครั้งในค่ำคืนนี้กับ เธอ
    “ว่าไง หม่ำ ๆ ไปมากรึยัง สู้ต่อไปนะสาวสวย เพื่อเบบี้ที่กำลังลืมตาดูโลก เอาใจช่วยอยู่แล้ว สู้ สู้” สิ้นเสียงเรากับเรื่องราวของ เธอ สำหรับวันนี้
    เพราะมันถึงเวลาแล้วที่เราจะสานฝันของตัวเองต่อ หลังจากแอบเบี้ยวเลี้ยวออกนอกทางมาซะนาน

    จากคุณ : ก้อนน้ำ - [ 4 ม.ค. 48 23:21:19 A:203.145.26.204 X: TicketID:023263 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป