CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เรื่องสั้นเฉพาะกิจ........จนกว่าเราจะพบกันอีก...........

    เรื่องสั้นเฉพาะกิจ     :     จนกว่าเราจะพบกันอีก

    หมู่ดาวโศกสลดระทดท้อ ทอดแสงระยิบดาดพราวไปทั้งท้องน้ำยามค่ำ ทว่าประกายระยับล้อคลื่นดั่งเคย  กลับหมองหม่น คล้ายใครไปโปรยดอกไม้สีซีดให้กลาดเกลื่อนเพื่อเตือนใจ  ให้แสงดาวทั้งนั้นล่องลอยอ้อยอิ่งอาลัย  ให้กับหัวใจและจิตวิญญาณที่พลัดพราก…

    คลื่นเอื่อยราวรั้งแรงไว้ไม่อยากเคลื่อนเข้าหาฝั่ง  หรือจะรู้สึกผิดกับแรงหนุนส่งอันถั่งท้นล้นทะลักทำลายก่อนหน้า  หาดทรายไม่กล้าสะท้อนแสงจันทร์นวลดังเก่า เพราะเศษซากประดามียังกระจัดกระจายเกลื่อน  สนและพร้าวถอนรากเอนค้อมคล้ายจะช่วยสอดส่องเสาะหา สักร่าง…ซึ่งนอนคอยคนรักใต้ซากปรัก

    ล่วงเข้าคืนที่ห้ากว่าจะได้รับความช่วยเหลือ  ความหิวโหยโรยแรงพอประทังไปได้ด้วยความหวังหนึ่งเดียว  

    …เธอไม่มีวันจะกลับหลังอำลาตราบใดที่ยังไม่ได้รู้ข่าวคราวจากผม…  

    แม้เราจะทะเลาะกันนิดหน่อยก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายผละไปจากคลื่นอารมณ์แรงร้าย  เพื่อหวังให้สวรรค์ใต้ทะเลช่วยเห่กล่อม  แนวประการังงดงามสมบูรณ์ พร้อมฝูงปลาและสัตว์น้ำนานาสารพัดช่วยกันย้ำเตือน ให้หวนรำลึกนึกถึง ความรักและความห่วงใยซึ่งมีให้กันมาตลอดหลายปี  น้ำใสช่วยชโลมหัวใจให้เย็นชื่นคลื่นความหลังค่อยเข้าคลี่คลายความขุ่นข้อง  พร้อมกับคลื่นใต้น้ำที่ขับเคลื่อนเก็บงำแรงกำลังมหาศาลไว้ใต้ผืนผิวราบเรียบ

    ผมอาศัยติดรถใครคนหนึ่งกลับมายังที่เคยพัก  ตลอดทางนั้นทำให้ตระหนักแน่ว่าขนำน้อยบังกะโลกลางบ้านอันชาวพื้นที่ปลูกไว้เป็นรายได้เสริมเล็กน้อยนั่นคงจะทลายราบ  เดือนหงายใกล้เต็มดวงเป็นแสงเดียวซึ่งเอื้อเฟื้อให้เงาร่างเหลือคณานับท่อมทอดสายตาและดุ่มเดินโดดเดี่ยว  ไม่สนใจใครนอกจากการเหลียวหาคนที่รัก  ก็ต่างคนต่างมากันทั้งนั้นจึงไร้ญาติขาดมิตร  

    กว่าจะถึงที่หมายหน่วยกู้ภัยก็ถอนกำลังไปเกือบหมด  ที่ยังรีรอรั้งท้ายเกาะกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กระจายกันไกลๆ  ล้วนตั้งอกตั้งใจกราดไฟฉายไปตามกองไม้  ก้มๆ เงยๆ ช่วยกันงัดง้างรื้อค้น  บ้างได้กระเป๋าเป้ บ้างได้กระเป๋าเดินทางเป็นกำนัลแรงกาย หลังจากที่ตลอดวันได้มาช่วยกันมัดห่อผูกพันซากเน่าหนอนบวมอืด

    เรือนพักของเราคงค่อนข้างแข็งแรง จึงเพียงแต่ล้มราบเกาะกองกันอยู่ได้  ร่องรอยการถูกเก็บกู้ยังปรากฏ ผมโล่งอกที่บริเวณนี้ไม่ถูกทิ้งค้างวันค้างคืนกว่าจะมีใครสักคนเข้ามาค้นหาช่วยเหลือผู้รอดชีวิต กระทั่งเกือบค่อนดึกนี่นอกจากกลุ่มพวกสวมชุดมูลนิธิไม่กี่คน แล้วก็ยังมีใครต่อใครอีกมากที่ยังเดินหากันให้เห็น  แม้จะดูอ่อนระโหยโรยแรง และมีเพียงแสงจันทร์ช่วยส่องทาง พวกเขาทั้งหมดก็ยังวนเวียนกันอยู่ตามที่ตนมาพัก

    เราคงคิดเหมือนกันคือ เมื่อไม่เหลือหนทางใดให้สื่อสารส่งหาถึงกันได้แล้ว การกลับมายังที่สุดท้ายที่ได้พบได้พูดคุยกัน คงจะเป็นที่หมายที่มั่นที่เหมาะสมที่สุดเพื่อรอคอยให้ใครคนนั้นกลับคืนมา

    อีกนานกว่าผมจะได้รู้ว่าพวกเขาไม่เหลือเศษสิ่งสัมภาระอะไรของเราสองคนไว้ตรงนี้เลยสักชิ้นเล็กๆ  แม้ป้ายไม้บอกชื่อบ้าน “ชมชเล”  ซึ่งติดตรึงอยู่กับเสาเอนจะยืนยันว่านี่คือเรือนพักของเราแน่นอน  แต่ผมก็ยังพยายามจะไปค้นหาที่กองซากใกล้เคียง หมายใจว่าอย่างน้อยจะไม่มีชื่อบ้าน “ชมชเล” ซ้ำกันสองหลัง

    หมู่บ้านเล็กๆ นี้มีแนวหาดกว้างเพียงไม่กี่ร้อยเมตร  ยามน้ำลดผืนหาดจะทอดตัวออกไปในทะเลไกลลิบ เราเลือกพักกันที่นี้นอกจากเพราะราคาย่อมเยาแล้วก็เพราะ  เธอสามารถจะลุยน้ำออกไปได้ไกลๆ  จนคนที่อยู่บนฝั่งจะเห็นเหมือนกับว่าเงือกน้อยทรงสะคราญกำลังแอบขึ้นมาชมชีวิตบนพื้นโลก  ที่รักของผมว่ายน้ำไม่เป็นทั้งที่ผมรักการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ  ทำเลนี้จึงช่วยบรรเทาความแง่งอนลงไปได้บ้าง ยามที่ผมจะข้ามไปเกาะน้อยที่เห็นลิบตาเพื่อใช้เวลาช่วงเช้าดำดูป่าประการังซึ่งสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  แล้วกลับมาเล่นล้อคลื่นจนบ่ายถึงเย็น และหลายครั้งที่เราเคยพาผ้าผืนเดียวลงไปลาดรับสองร่างให้ดื่มด่ำกับวิมานรักที่บรรจงร่วมกันสร้างขึ้นกลางหาดทรายขาวสะอ้าน

    ซากเรือนหลังสุดท้ายกลายเป็นของแม่ลูกชาวต่างชาติ ลูกน้อยร้องไห้จ้าในอ้อมกอดแม่  เจ้าหนูคงขวัญหายหาพ่อซึ่งไม่รู้ไปอยู่เสียที่ไหน

      ผมทิ้งตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง  หรือเธอจะทิ้งผมไปแล้ว  มันนานเกินไปหรือไรกับเวลาอันแสนสั้น  หากพวกเขาไม่กลัวคลื่นลูกหลังกระหน่ำซ้ำ  ผมคงกลับมาได้เร็วกว่านี้  แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะตัดใจลา   ผมทอดสายตาไปตรงปลายหาด ตรงที่สองเราเคยกอดก่ายใต้เพ็ญจันทร์  ท่ามกลางเงาระเกะระกะนั่น  เสียงอันคุ้นเคยลอยมากับสายลม


    “………..กระแสคลื่น……ไยเจ้าจึงพัดกลืนห้วงความฝัน
    กว่าจะได้ชิดชื่นทั้งคืนวัน….ไยจึงก้าวมากักกั้นให้พลันทลาย……..
    ……….อยู่ไหนหนอ…….คนที่รัก..ที่เฝ้ารอ..ที่สูญหาย
    รู้บ้างไหมใจดวงนี้ก็วางวาย…ทั้งเปลี่ยวเปล่าร้าวดายทั้งอาดูร…….”


    น้ำเสียงแผ่วเศร้าสะท้อนสะท้านเข้าไปในอก  ความอดกลั้นพลันมลายเพราะความตื้นตันท้นทะลักออกมาจากความหวังอันริบหรี่  ผมปาดม่านน้ำตาพร่าเลือนทิ้งไม่ไยดี เพ่งมองไปยังที่มาของโศลกสลด

    ขณะที่ร่างนั้นเคลื่อนช้าๆ ไกลออกไป  ผมยาวปลิวสยายสะบัดล้อกับแสงดาว  ชุดขาวพลิ้วบางดูเหมือนจะส่งแสงเรื่อเรืองในความมืด  ผมผุดลุกแล้ววิ่งตามออกไปพร้อมกู่ตะโกนสุดเสียง

    “ปริม!!!…..ปริม!!!…..ผมเอง…ผมเอง…ผมกลับมาแล้ว….ปริม!!…ปริม…หยุดก่อน…รอผมด้วย!!!”

    ผมพุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี  ลมทะเลคงพาเสียงผมกลับขึ้นฝั่งมากกว่าจะเจียดส่วนน้อยหนึ่งส่งไปให้เธอได้ยิน  กว่าผมจะยุดข้อมือเธอไว้ได้  เราก็ลุยน้ำลงมาถึงครึ่งแข้ง  แววไร้ชีวิตเมื่อแรกที่หันกลับ เปี่ยมประกายขึ้นมาอีกครั้ง  

    “วี…รวีของปริม….ในที่สุดก็กลับมาหาปริมแล้ว…..”  เธอซบสะอึกสะอื้นไห้กับอกกว้างของผม

    “ปริมกำลังจะทำอะไร…..ปริมไม่รักผมแล้วหรือ” พร้อมกระซิบถามที่ข้างหู  ผมกอดกระชับทั้งร่างที่รักแนบแน่น  ลูบเรือนผมแผ่วเบา เหมือนอย่างที่เราทำทุกครั้งยามปลอบประโลมใจให้กันและกัน

    “รักสิ…เพราะรักวีนี่ไงล่ะ  ปริมถึงจะตามวีไป   วี….วีหายไปไหนมา …… “  


    เราจูงมือกันกลับขึ้นมาช้าๆ ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีทั้งหมดผ่านให้แก่กัน  ในยามยากการสัมผัสเพียงแผ่วเบาย่อมดีกว่าคำพูดร้อยพัน  เราสบตากันอย่างรู้ความหมาย  รักแท้ถูกพิสูจน์ความจีรังยั่งยืนกลางผืนทราย  เราพากันนั่งลงบนฟูกเก่าที่เกยอยู่กับกองไม้  เธอมองหน้าผมตรงๆ อีกครั้งก่อนจะเริ่มเรื่องร้ายแรงที่พบผ่าน

    “ปริมรู้ว่าวีไม่หนีไม่ไหนหรอก  ปริมแกล้งงอนไปอย่างนั้นเอง  คิดดูสิ..จะไม่ให้น้อยใจได้ยังไง  ปริมอุตส่าห์ไปหาซื้อหมึกซื้อปลามาแต่เช้า กะว่าสายๆ จะปลุกให้วีตื่นขึ้นมาชิมน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรใหม่  แล้ววีกลับมาเห็นว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  เราไม่ได้กินกันอย่างนี้ทุกวันนี่นา…..พอวีปึงปังไปแล้ว ปริมก็เลยออกไปเล่นน้ำที่ชายหาด  แดดใสน้ำสวยอย่างทุกวันนั่นแหละ  กำลังไล่ช้อนปลาการ์ตูนที่พลัดมาก็พอดีน้ำลดฮวบลงไปไกลลิบ  จนปลาเล็กปลาน้อยค้างตื้นกันเกลื่อนหาด…

    ……เห็นพวกชาวบ้านบนหาดเขากู่เรียกกวักมือโบกมือกระโดดโลดเต้นก็ไม่นึกว่าจะมีอะไร…”

    “ แล้วจู่ๆ น้ำก็รี่กลับขึ้นมา….ใช่ไหม”   ผมสอดคำขึ้นเพราะความตื่นเต้น

    “ใช่….น้ำขึ้นเร็วมาก  จนปริมตกใจทำอะไรไม่ถูก….กว่า…กว่าจะรู้ตัวอีกที   ก็มีคนมาพาไปที่โรงพยาบาล  ในใจห่วงอยู่แต่วีรู้ไหม  ปริมไม่กินไม่นอนเลยนะ  เฝ้าแต่ตามหาวี  คอยดูว่าเขาจะพาวีเข้ามาเมื่อไหร่  จนพ่อแม่ปริมมารับ ปริมก็ยังไม่ยอมกลับ   วีรู้ไหม….ปริมหนีเขามารอวีที่นี่ตั้งแต่สองวันก่อน  ที่นี่มันน่ากลัว..น่ากลัวจะตายไป “

    ผมดึงเธอที่รักเข้ามากอดไว้กับอกอีกครั้ง  พร่ำเรียกขวัญเบาๆ  ทำไมจะไม่รู้ว่าเธอรักผมแค่ไหน  และผมก็รู้แล้วว่าผมรักเธอมากไม่แพ้กัน

    ลมทะเลเริ่มกรรโชกแรง ทางพร้าวสะบัดใบเกรียวกราว ความเงียบสงัดรอบกายกลายเป็นความวังเวง  แม้จะมองไม่เห็นซากร่างของใครแล้ว  แต่การเก็บกู้ก็ดูเหมือนจะยังไม่ล่วงเลยขุดค้นลงไปยังบ่อน้ำใช้  หรือกองสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ  สองเราต่างสั่นสะท้านไปตลอดร่าง  ความรู้สึกบางอย่างที่ติดค้างมาตั้งแต่วันที่ถูกคลื่นยักษ์ถล่มกำลังพยายามคลี่คลายตัวเอง

    “วีเจอสองแม่ลูกนั่นหรือยัง  ที่ครอบครัวเขาพักถัดจากเราออกไปหน่อย”  ปริมเงยหน้าขึ้นถามด้วยแววหวั่นวิตก

    “เจอแล้ว  คนแม่ไม่พูดไม่จา ลูกก็ร้องไห้จ้า…”  ผมตอบเรียบๆ  สกัดกั้นความรู้สึกแปลกๆ นั้นไว้เต็มที่

    “เขามาเก็บศพคนพ่อไปได้เมื่อวาน   เพิ่งจะลอยกลับมา”  น้ำเสียงสั่นเครือไม่ชวนให้สบายใจขึ้นเลย “แต่สองแม่ลูกนั่นยังหากันไม่เจอ  ปริมพยายามปลอบอย่างไรก็อย่างที่วีว่า  คนแม่ไม่พูดไม่จา คนลูกก็เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา”

    แสงไฟฉายกราดมาที่เรากำลังนั่งซบอิงกันอยู่  เสียงพูดคุยยุยงผลักไสแฝงแววหวาดหวั่น

    “เอ็งไปหงายที่นอนนั่นดูซิ  เผื่อเจออะไร”  เสียงแหบๆ ออกคำสั่ง

    “ถ้า…ถ้าไม่เจอของ  แล้ว..แล้วเจอแต่คนอีกล่ะลูกพี่”  คนรับคำสั่งถามกลับลนลาน

    “เถอะวะ…เราช่วยเขามามากแล้ว เขาไม่มาหลอกมาหลอนอะไรหรอกน่ะ…ไอ้มิ่งเอ็งก็ช่วยมันอีกคน”

    เราสองยอมลุกจากที่นอน  ถอยออกมายืนดูหน่วยกู้ภัยปฏิบัติภารกิจพิเศษยามมืดมิดเงียบๆ  ปริมสะกิดกระซิบผมเบาๆ

    “พวกกลุ่มนี้แหละที่ช่วยพาปริมไปโรงพยาบาล  วีบอกพวกเขาทีสิว่าตรงนี้ไม่เหลือของมีค่าอะไรอีกหรอก  พวกชาวบ้านเขาเข้ามาหากันได้กันไปตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว”  

    “ปล่อยให้เขาหากันไปเถอะน่า…ขืนเราไปสุ่มสี่สุ่มห้ากับเขาเข้า  เราจะเป็นอันตราย  ยืนดูอยู่เงียบๆ นี่น่ะดีแล้ว”  ผมให้ความเห็นด้วยความไม่ประมาท ยกมือเย็นชืดของเธอขึ้นมาจูบเบาๆ ปริมจึงเบียดร่างเข้าสนิทชิดกับอ้อมอกแนบซบและนิ่งมองแต่โดยดี

    พวกนั้นผละไปอย่างหัวเสีย  เพราะลูกไล่คนหนึ่งเกิดอาการขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมากะทันหัน  ชี้โบ้ชี้เบ้โหวกเหวกโวยวายไม่เป็นภาษา  เพื่อนร่วมกลุ่มตะโกนว่าผีเข้าๆ แล้วคนที่ท่าทางเป็นหัวหน้าก็ปลดพระเครื่องทั้งพวงสวมสวบ จนคนโดนผีเข้าร้องกรี๊ดๆ อยู่สองสามครั้งก่อนจะล้มฟุบลงไป


    คล้ายลมจะหอบเสียงร่ำไห้โหยหวนขึ้นมาจากใต้ทะเล  น้ำค้างฟ้ากลางคืนประโปรยความชุ่มชื่นให้แก่ความระทมหม่นหมองได้เพียงน้อยนิด  จันทร์หลบลับหลังเมฆอีกคราว  จนทั้งบริเวณสงัดเหงาวังเวง

    คนค้นหาชุดสุดท้ายจากไปแล้ว พร้อมกับคำพร่ำพูดถึงเรื่องลี้ลับพิสดารของความรักความผูกพันและรอยอาลัย  พวกที่เหลืออยู่ยังล้วนวนเวียนร่ำไห้ห่วงหากันอยู่ในความมืดมิด  

    “ที่นี่น่ากลัวเหลือเกินวี…เราไปจากที่นี่กันเถิดนะ”  ปริมเอ่ยทำลายความอาดูรซึ่งเริ่มเข้าเกาะกุมครอบงำจิตใจของเราทั้งคู่

    “เราจะไปที่ไหนกันเล่าปริม  ผม…ผมก็ห่วงแต่ปริมถึงตามมาถึงที่นี่ได้”  คำสารภาพของผมมิได้เสแสร้งให้เกินเลยไปแม้เพียงสักน้อยนิด

    “แล้วตอนนี้วีอยู่ที่ไหน  วีรู้ใช่ไหมว่าเขาพาวีไปไว้ที่ไหน…”  ความหวาดหวั่นปรากฏวี่แววให้เห็นในน้ำเสียงนี้  ที่รักของผมเงยหน้าขึ้นมาสบตา  หยาดน้ำพราวล้อเอ่ออยู่ในดวงตาคู่สวย

    “ไม่…ผมไม่ทันได้ตามไป…ผมห่วงปริม  พอขึ้นมาถึงฝั่งผมก็ตรงมาที่นี่เลย….ปริม….ผม….เราคงจะไม่พรากจากกันอีกหรอกนะ  ใช่ไหม”  ผมถามในสิ่งที่หวั่นใจที่สุด  พร้อมกับกอดกระชับสิ่งสุดท้ายในชีวิตไว้ในวงแขนแนบแน่น

    “วีรู้ไหมว่าปริมกำลังจะลงไปตามหาวีที่โน่น….”  เธอชี้มือไปยังเงาดำของเกาะแก่ง  “….เขาให้เวลาปริมไว้ถึงแค่คืนนี้  วี…วีรู้ไหมว่าคุณลุงคุณป้าเพิ่งมาที่นี่เมื่อตอนเย็น….ท่านมาลา นิมนต์พระมาบังสุกุล เพราะตัดใจได้แล้ว”  

    “ใคร…พ่อกับแม่ผมน่ะหรือ….”  คำถามผมชะงักค้าง  ความสับสนประเดประดังเข้ามาจากทุกสารทิศ  มันรุนแรงยิ่งว่าคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาในวันนั้น  เนื้อตัวผมเหมือนถูกกรีดยับไปทั้งร่าง  ความเจ็บปวดรวดร้าวของสำนึกสุดท้ายผุดขึ้นมาอีกครั้ง  มันซ้ำเติมความบอบช้ำของหัวใจที่แหลกสลายอย่างไม่ปรานี

    “หมายความว่า….ผม….ปริม….เรา……”

    “ใช่…เราทั้งคู่นี่แหละวี..เราทั้งคู่  เหมือนกับผู้คนอีกมากมาย  วี…ปริมขอโทษในสิ่งที่ปริมทำผิดพลาดหรือเอาแต่ใจมาทั้งหมด  ปริมรู้แล้วว่าวีรักปริมมากแค่ไหน  และปริมก็รู้แล้วว่าปริมรักวีไม่น้อยไปกว่ากัน…..จนกว่าเราจะพบกันอีกนะวี….จนกว่าเราจะพบกันอีกครั้ง…..ไม่ว่าเมื่อไหร่   ปริมขออธิษฐานว่าขอให้ได้รักกับวีอย่างนี้ทุกชาติภพ….นะวี….จนกว่า…จนกว่าเราจะพบกันอีก……

    เธอยิ้มให้กับผมอย่างคนที่สุขสมหวังที่สุดในชีวิต  คำมั่นสัญญาสุดท้ายที่เอ่ยออกมา ทำให้ผมรู้ชัดว่ามันจะดำรงคงอยู่ตราบนิจนิรันดร์  

    ร่างบาง..เบา..ค่อยเลือนราง  

    สุดท้าย  อากาศในอ้อมกอดก็คลายตัว  ผมไม่ได้ลดมือลงจากความโดดเดี่ยวเดียวดายที่เหลือ  ปล่อยให้ลมทะเลพัดผ่านร่างโปร่ง  เสี้ยวหนึ่งของความสิ้นหวัง…..

    …ผมรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ….

    หมู่ดาวโศกสลดระทดท้อ ทอดแสงระยิบดาดพราวไปทั้งท้องน้ำยามค่ำ ทว่าประกายระยับล้อคลื่นดั่งเคย  กลับหมองหม่น คล้ายใครไปโปรยดอกไม้สีซีดให้กลาดเกลื่อนเพื่อเตือนใจ  ให้แสงดาวทั้งนั้นล่องลอยอ้อยอิ่งอาลัย  ให้กับหัวใจและจิตวิญญาณที่พลัดพราก…









    *********************************
    ปล.  รวมไว้อาลัยแด่ความสูญเสียด้วยคนครับผม

    ปล.๒  เรื่องสั้นเรื่องนี้อาจไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร  ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

    ปล.๓ ถึงนายน้ำลายบูด  ชั้นเขียนให้แกแล้วนะเว้ย...ไม่เข้ามาอ่านหละก้อ..มีบล็อกเมล์แหงมๆ

    แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 48 21:44:27

    แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 48 17:56:38

    จากคุณ : SONG982 - [ 8 ม.ค. 48 17:52:27 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป