คณะทัวร์ผ้าป่าคณะหนึ่งขณะที่กำลังเดินทางกลับจากการทอดฯ ที่วัดในจังหวัดนครสวรรค์
หลังจากออกจากวัดรถแต่ละคันก็ต่างแยกกันออกไปเที่ยวต่อ ซึ่งมีอยู่เพียงรถทัวร์คันหนึ่งที่กำลังหลง
ทางเข้าไปในเส้นทางที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก
สองข้างทางมีแต่ป่าเขา ไม่มีบ้านคนให้เห็นเลยสักหลังทั้งที่วิ่งรถมาเป็นเวลาถึงสามชั่วโมง
แล้ว
"พี่ไหนว่าจะพาพวกเราไปเที่ยวน้ำตกพงันกันไง" สมศักดิ์ หนึ่งในคณะศรัทธาที่มาร่วม
ทอดผ้าป่าชะโงกหน้ามาถามคนขับ
"นั่นน่ะซิครับ คุณ" คนขับรถพูดเสริมขึ้น "ผมเคยมาสองสามครั้งแล้วจำได้ว่า พอพ้นแยก
ทางออกจากวัดแยกที่สองก็แล้วซ้ายแต่ทำไมเส้นทางมันถึงไม่คุ้นตาเลย นี่ก็ใกล้จะมืดค่ำแล้วบ้านคน
แถวนี้ก็ไม่เห็นมีเลยสักหลัง หรือเราจะกลับกันเลยดีไหมครับ" คนขับขอความเห็น
"ก็ดีครับ" มานพกล่าวรับหลังจากนิ่งฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่สักพัก
"ก็ดีค่ะ ... ฉันกลัว ... ไม่รู้เราจะหลงทางหรือเปล่า" ธิดา หนึ่งในคณะฯ พูด พร้อมกับเหลียว
หน้าเหลียวหลังมองไปยังทิวทัศน์รอบ ๆ รถ ด้วยหัวใจอันเต็มไปด้วยความวังเวง รู้สึกกลัวลึก ๆ ในใจ
อย่างประหลาด
"ถ้างั้นผมเลี้ยวกลับเลยนะครับ" คนขับขอความเห็น ซึ่งทุกคนในรถก็เห็นด้วย
ในรถคันนี้มีผู้โดยสารเพียงห้าคนคือสมศักดิ์ มานพ ธิดา ภาคภูมิ และเกรียงไกร เพราะ
คนที่เหลือเขาไปกับรถคันที่ออกไปก่อนกันหมด มีชุดนี้ที่มัวโอ้เอ้ถ่ายรูปจึงได้ติดมากับรถคันนี้ ถ้านับ
ทั้งคนขับรถทัวร์ด้วยซึ่งก็คือนายเหมือนก็เป็นหกคนด้วยกัน
"คุณครับ ... ทางแยกที่เราผ่านมาแล้วดูเหมือนจะอยู่ข้างหน้าเรานะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด"
นายเหมือนพูดขึ้นอย่างฉงนหลังจากที่กลับรถวิ่งย้อนทางมาสักพัก
"จริง ๆ ด้วย " ภาคภูมิซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางเริ่มออกความคิดเห็น
"ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ" เกรียงไกรเสริม "มันดูคุ้น ๆ แปลกดีแฮะ" พร้อมกับหันมามอง
หน้ากันด้วยความพิศวงระคนสับสนและเริ่มรู้สึกหวาดกลัว
"ทำยังไงดีหล่ะพวกเรา" เกรียงไกรถามทุกคนอีกครั้ง
"ผมว่าลองเลี้ยวไปทางขวาก็แล้วกันนะครับ เผื่อว่าเราจำทางผิด" นายเหมือน คนขับพูดขึ้น
เป็นเชิงขอความคิดเห็น ซึ่งทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันให้ลองดูเพราะเวลาก็ใกล้ค่ำเข้าไปทุกทีแล้ว
"ข้างหน้ารู้สึกว่าจะมีแสงไฟอยู่นะครับ อาจจะเป็นหมู่บ้านก็ได้" นายเหมือนบอก ขณะที่
แสงแดดลำสุดท้ายได้สิ้นสุดไปแล้วความมืดก็เข้าปกคลุมทำให้มองออกไปข้างหน้าเห็นแสงบางอย่าง
รำไร เมื่อขับไปสักครู่ก็เห็นสภาพเป็นหมู่บ้านจริง ๆ แต่ดูเหมือนเขากำลังมีงานอะไรกันสักอย่าง
เพราะเริ่มจะได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเป็นจำนวนมากคนพร้อมกับเสียงเครื่องไมค์เป็นเพลงลอยมาให้
ได้ยิน
"คงกำลังมีงานกันในหมู่บ้านแน่ ๆ เลย" สมศักดิ์กล่าวพร้อมมองตรงไปข้างหน้ารถซึ่งเริ่ม
เห็นบ้านผู้คนปลูกรวมกันเป็นกลุ่มในลักษณะของหมู่บ้าน แต่น่าแปลกที่ถนนสายที่รถกำลังวิ่งไปนี้
จะตรงไปสิ้นสุดที่หมู่บ้านนี้
พอเข้าถึงในหมู่บ้านก็ได้เห็นว่ากำลังมีงานกันจริง ๆ มีเครื่องเล่นนานาชนิดทั้งกระเช้าสวรรค์
ม้าหมุน ฯลฯ พอรถเข้าไปจอดที่ริมทางและทั้งหกคนลงมาจากรถเพื่อจะไปพบกับผู้ใหญ่บ้านเพื่อขอพัก
สักคืนก่อนที่พรุ่งนี้เช้าจะได้หาทางเดินทางกลับกันต่อไป ก็มองออกไปเห็นชายกลางคนเดินนำกลุ่มคน
กลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงมาที่พวกเขายืนอยู่
"สวัสดีครับ" ชายกลางคนกล่าวขึ้นหลังจากเดินมาถึง "ผมชื่อสุก เป็นหัวหน้าบ้านของที่นี่
พวกคุณมาจากไหนกันครับ ไปยังไงมายังไงถึงได้มาที่นี่ได้" นายสุก หัวหน้าบ้านกล่าวถามต่อ
"พวกเราหลงทางมาครับ" นายเหมือนตอบ "กะว่าจะขอผู้ใหญ่ค้างสักคืน พรุ่งนี้จะได้หาทาง
ไปกันต่อ จะเป็นการรบกวนหรือเปล่าครับ"
"โอ้ย ... ไม่เป็นการรบกวนอะไรเลยครับ พวกเราเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น คนไทยด้วยกัน จริง
ไหมพวกเรา" ผู้ใหญ่สุกพูดพร้อมหันไปถามความเห็นของกลุ่มคนที่ตามมา
"จริงที่ผู้ใหญ่พูดครับ เรายินดีต้อนรับ" นายอินทร์หนึ่งในทั้งหมดพูดยืนยันแต่คำว่า "ยินดี
ต้อนรับ" ฟังดูเหมือนกับว่ามีความกระตือรือร้นแฝงอยู่
"พวกเราขอบคุณมากครับสำหรับความกรุณาของทุกคน" สมศักดิ์พูดแทนทุกคน "ผมขอ
แนะนำตัวทุกคนนะครับ ผมชื่อสมศักดิ์ นี่ นายเหมือน คนขับฯ แล้วนี่ก็มานพ ธิดา ภาคภูมิ เกรียงไกร
ใจจริงก็กะจะมาเที่ยวน้ำตกกัน เกิดมาหลงทางเสียได้ ขอโทษครับหมู่บ้านนี้ชื่อว่าอะไรครับ ทำไม
ถึงมาอยู่เสียกลางป่าเขาอย่างนี้"
"หมู่บ้านเราชื่อ ดอนแดงเดือด ครับ ไปกันเถอะพวกคุณ ๆ คงจะเหนื่อยกันแย่กแล้ว"
และแล้ว ผู้ใหญ่สุกก็ได้พาคณะทั้งหมดเข้าไปข้างในบริเวณหมู่บ้านซึ่งมีการละเล่นอยู่เป็น
จุด ๆ ที่เดินผ่านพร้อมกับทักทายและแนะนำคนในหมู่บ้านให้คณะศรัทธาได้รู้จักซึ่งมากหน้าหลายตา
จนจำไม่ได้หมด ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเต็มไปด้วยไมตรีจิต เมื่อมาถึงบ้านผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเรือน
ไทยยกสูง มีระเบียงตรงกลางและเป็นห้องหลายห้องอยู่รายล้อมระเบียงที่อยู่ตรงกลางมีชายคา
ครอบคลุมไปทั้งบริเวณบ้าน ต่างคนต่างก็แยกกันพักที่ห้องที่ผู้ใหญ่ได้ให้เด็กในบ้านจัดให้ หลังจาก
พูดคุยสัปเพเหระกับผู้ใหญ่และคนในบ้านผู้ใหญ่สักพักคณะศรัทธาทั้งหมดก็ขอตัวไปนอนด้วยความ
อ่อนเพลียจากการเดินทางผิด ๆ ถูก ๆ มาทั้งวันเลยหลับกันเป็นตาย ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างเย็น
ตามลักษณะของหมู่บ้านที่อยู่ในป่าในเขาและความบริสุทธิ์จากมลภาวะทำให้ดูน่าจะเป็นวันที่หลับกัน
อย่างมีความสุขที่สุด
จากคุณ :
มาตาปิตุรักษ์
- [
13 ม.ค. 48 01:18:51
]