9/11
-1-
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 11 เดือนกันยายน พ.ศ. 2547
แดดยามบ่ายของเมืองกรุงร้อนระอุราวกับจะแผดเผาสรรพสิ่งรอบข้าง
ผมยืนรอรถประจำทางอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง มือข้างหนึ่งใช้ถือหนังสือป้องที่หน้าผากเพื่อกันแดด มืออีกข้างหนึ่งใช้ปาดเหงื่อที่ไหลย้อยบนใบหน้า มองไปรอบข้าง ผู้คนที่ยืนรอรถประจำทางเช่นเดียวกับผมก็มีอากัปกิริยาไม่แตกต่างกัน
ผมกำลังจะเดินทางกลับบ้าน หลังจากนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีหัวลำโพง ต้องนั่งรถประจำทางอีกต่อหนึ่งจึงจะถึงบ้าน ปกติผมไม่ค่อยได้เดินทางกลับบ้านตอนกลางวันเท่าใดนัก เนื่องจากไม่อยากทนกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุบวกกับการจราจรที่ย่ำแย่เกินที่จะสรรหาคำมาอธิบายของกรุงเทพฯ ปัจจัยทั้งสองอย่าง ทั้งสภาพอากาศและการจราจร สามารถทำให้ผมเป็นบ้าเอาได้ง่ายๆ
แต่วันนี้ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ผมจึงต้องเดินทางกลับบ้านในตอนบ่าย
หลังจากยืนรอได้สักพัก รถประจำทางสายที่ผมต้องการโดยสารก็มาถึง ผู้คนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยรถประจำทางพากันวิ่งกรูไปหาตัวรถ แม้ว่ามันกำลังเคลื่อนตัวอยู่และยังไม่ได้จอดสนิทเทียบป้าย ผมยืนมองพลางหัวเราะอยู่ในใจ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คนพวกนี้จะแย่งกันไปทำไม ในเมื่อที่นั่งบนรถออกจะว่าง เมื่อหักลบกับคนที่กำลังรอรถประจำทางสายนี้ ยังไงก็มีที่ให้นั่ง
ผมไม่รู้จะบรรยายภาพที่ตนเองเห็นอย่างไรดี รถประจำทางกำลังวิ่งเข้าหาป้าย ผู้คนเป็นฝูงก็กำลังวิ่งเข้าหารถประจำทาง รถประจำทางวิ่งมาจอดที่ป้าย ผู้คนเป็นฝูงก็วิ่งกลับมาที่ป้าย ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่นี้ พวกเขาเพิ่งจะวิ่งออกไป!
ผมนั่งที่เบาะที่ 3 นับจากข้างหลังสุด ฝั่งซ้าย หลังจากจ่ายเงินค่าโดยสารเรียบร้อย ผมก็เปิดหนังสืออ่าน มันเป็นนิสัยประจำตัวของผมไปแล้วก็ว่าได้ ที่เวลานั่งรถต้องอ่านหนังสือ จำได้คลับคล้ายคับคลาว่าตอนเรียนชั้นประถม ครูที่โรงเรียนบอกว่า ห้ามอ่านหนังสือบนรถ เพราะจะทำให้สายตาเสีย ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อครูนะครับ แต่หากสายตาผมมันจะเสียเพราะอ่านหนังสือบนรถก็ให้มันเสียไปเถอะ ดีกว่าไปเสียกับการจ้องจอคอมพิวเตอร์ในการดูเว็บโป๊หรือเล่นเกมออนไลน์
หนังสือที่ผมกำลังอ่านเป็นหนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์สถานการณ์การก่อการร้ายที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เพิ่งเริ่มอ่านได้ไม่กี่หน้าเองครับ
ตอนนี้การก่อการร้ายกำลังเป็นที่สนใจและจับตามองของคนทั่วโลก ตั้งแต่เหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิรลดิ์เทรดเป็นต้นมา
วันนี้เป็นวันครบรอบ 2 ปีของเหตุการณ์ในวันนั้น
ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่อาจเป็นกลุ่มเป้าหมายของพวกก่อการร้าย หนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดหัวข่าวกันอย่างครึกโครมเมื่อหลายวันที่ผ่านมา หลายฝ่ายออกมาเตือนรัฐบาลถึงอันตรายจากการก่อการร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ท่านผู้นำของไทยยังคงทำหูทวนลม
จุดประสงค์ของการก่อการร้ายคืออะไร?
ในหนังสือบอกไว้ว่า จุดประสงค์ของการก่อการร้ายคือ การทำให้เกิดความหวาดกลัวภายในจิตใจของผู้คน ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมศรัทธาและหมดความเชื่อมั่นในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ทำให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ตามมา
ผมไม่เข้าใจ---ความหวาดกลัว มันจะมีอิทธิพลรุนแรงขนาดนั้นเชียวหรือ
-2-
รถประจำทางกำลังชลอเพื่อจอดเทียบป้าย
ประตูรถเปิดออก หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินขึ้นมามือหนึ่งถือกระเป๋าเดินทางใบโต อีกมือหนึ่งจูงมือเด็กชายวัยไม่เกิน 10 ขวบขึ้นมาด้วย ท่าทีของเธอดูเงอะงะ เชื่องช้า ท่าทางเธอคงไม่คุ้นเคยกับการโดยสารรถประจำทางเท่าไร
"เร็วๆ หน่อยสิ ชักช้าจริง ไม่ใช่รถคุณคนเดียวนะ"; เสียงตะโกนดังมาจากเบื้องหน้า ไม่ต้องเหลือบมองผมก็พอทราบว่า เป็นเสียงของกระเป๋ารถ
ผมละสายตาจากหนังสือ มองดูภาพเบื้องหน้า
เมื่อขึ้นมาบนรถ หญิงวัยกลางคนรีบลุกลี้ลุกลนหาที่นั่ง จังหวะที่รถประจำทางเคลื่อนตัวออก เกิดแรงกระชากจากตัวรถทำให้หญิงวัยกลางคนพร้อมกับเด็กชายถลาไปด้านหน้า และล้มลงที่พื้นรถ ตรงตำแหน่งที่เท้าของกระเป๋ารถวางอยู่ ข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น ท่ามกลางสายตาของผู้โดยสารหลายสิบคู่
"เป็นไงล่ะ ชักช้านัก ที่ว่างมีก็ไม่รู้จักนั่ง"; นี่คือคำพูดประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากกระเป๋ารถ แทนที่จะเป็นคำว่า ";ขอโทษ" และแสดงความห่วงไย
เด็กน้อยที่มาด้วยเริ่มร้องไห้เพราะความเจ็บจากการที่หัวเข่ากระแทกกับพื้น ผู้เป็นแม่มือหนึ่งดึงเด็กมากอด พลางปลอบโยน อีกมือหนึ่งคว้าข้าวของที่กระจัดกระจาย
"รีบหาที่นั่งได้แล้วคุณ รถจะออกแล้ว เดี๋ยวคราวนี้ได้หน้าแหก" คนขับรถหันมาตะโกนบอก
ปฏิกิริยาของผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่อหญิงวัยกลางคนกับเด็กคนนี้คือการมองดูเฉยๆ
ในใจของพวกเขาอาจจะเห็นใจและอยากช่วยเหลือหญิงคนนี้ หากความช่วยเหลือสามารถส่งผ่านทางสายตาได้ หญิงคนนี้คงได้รับความช่วยเหลืออย่างเหลือล้น แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
เธอยังคงลุกลี้ลุกลนเก็บข้าวของ เด็กน้อยในอ้อมกอดยังคงร้องไห้ไม่เลิกรา ผู้โดยสารคนอื่นๆ รวมถึงผมยังคงมองเธอคนนี้ด้วยความเห็นใจ
แต่ไม่มีใครคิดที่จะลุกไปช่วยเธอ
-3-
เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หญิงวัยกลางคนเก็บข้าวของเรียบร้อยและหาที่นั่งได้แล้ว เด็กน้อยหยุดร้องไห้และเงียบเสียงไปแล้ว
ความสนใจของผู้โดยสารแต่ละคนก็กลับมาที่ตัวเอง เสมือนเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น บ้างหันมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง บ้างหันหน้าคุยกัน บ้างดึงตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา ส่วนผมเปิดหนังสือขึ้นอีกครั้ง และเริ่มตั้งหน้าตั้งตาอ่าน
แม้ว่าจะจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือ แต่ความคิดเรื่องหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม ผมยังคงเหลือบมองเธออยู่เป็นระยะ เธอนั่งบนเบาะที่ 4 ฝั่งขวานับจากข้างหน้า
ทำไมไม่มีใครคิดที่จะช่วยเธอ? แม้สักคนเดียวก็ไม่มี
ไม่มีใครเห็นใจเธอเลยหรือ?
ผมคิดว่ามี ผมเชื่อว่าหลายคนเห็นใจเธอ แต่ความเห็นใจไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้ แล้วทำไมพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่เห็นใจ ทำไมไม่ลงมือช่วย
ผมดีแต่ตั้งคำถามกับคนอื่นว่าทำไมไม่ช่วยเธอ แล้วทำไมผมถึงไม่ช่วยเธอล่ะ?
นั่นสิ
เป็นเพราะแต่ละคนมัวตั้งคำถามกับคนอื่นหรือเปล่า ว่าทำไมไม่มีใครช่วย? แต่ลืมคิดถึงตัวเองไปว่า ตัวเองก็สามารถช่วยได้
ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้น แต่ผมก็พยายามคิดว่าไม่ใช่ความผิดผม คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะทำไมพวกเขาถึงไม่ช่วย ไม่จำเป็นสักหน่อยที่ผมต้องช่วย ไม่ว่าจะหาเหตุผลมาโต้แย้งอย่างไร ความรู้สึกผิดของผมก็ไม่ได้ลดน้อยลง
การรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรแต่ไม่ทำ ก็ไม่ต่างอะไรจากการกระทำผิด
ใครบางคนเคยกล่าวไว้อย่างนั้น
-4-
การเคลื่อนตัวของรถโดยสารยังคงเป็นไปอย่างไม่คล่องตัวนัก มันค่อยเป็นค่อยไปตามการจราจรที่หนาแน่น การกระตุกของตัวรถที่เกิดขึ้นจากการเบรกเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ทำให้ผมเวียนหัวต้องปิดหนังสือและหลับตาเพื่อพักสายตาบ่อยๆ
เมื่อเลี้ยวตรงทางแยก รถโดยสารเริ่มเคลื่อนตัวได้คล่องขึ้น
ผมมองไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์เบื้องนอกบอกว่าตอนนี้ผมเพิ่งโดยสารมาได้ครึ่งทาง เหลือระยะทางที่ผมต้องทนโดยสารอีกครึ่งหนึ่งกว่าที่ผมจะกลับถึงบ้าน
เมื่อเริ่มพลิกหนังสืออ่านอีกครั้ง กลิ่นบางอย่างลอยมากระทบเซลล์ประสาทรับกลิ่นในรูจมูกของผม กลิ่นนั้นออกจะไม่พึงประสงค์เท่าใด มันเหม็นเปรี้ยวอย่างบอกไม่ถูก
ผมเหลียวมองรอบด้านเพื่อหาที่มาของกลิ่น พบว่าผู้โดยสารหลายคนกำลังแสดงพฤติกรรมเช่นเดียวกับผม คือ เหลียวมองไปรอบๆ
ไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบว่า มันคือกลิ่นของอะไร เสียงตะโกนจากเบื้องหน้าก็ดังขึ้น
"เวรกรรม! อะไรกันเนี่ย คุณทำอะไรของคุณ"; ผมไม่ต้องมองที่มาของเสียงก็จำได้ว่า เป็นเสียงของกระเป๋ารถ และคู่กรณีของเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือหญิงวัยกลางคนคนเดิม
";รู้ว่าจะอ๊วกทำไมไม่หาถุงมาใส่ แล้วจะทำยังไงเนี่ย เหม็นไปหมดแล้ว แหวะ" จากคำพูดของกระเป๋ารถมันดังพอที่จะประกาศให้ผู้โดยสารทุกคนรู้ว่า กลิ่นที่พวกเขาได้ดมคือ กลิ่นอ๊วกของผู้หญิงคนนี้
"แม่ง ไม่ไหวแล้ว เหม็นจริงๆ เอาไงดีเนี่ย" เสียงของคนขับรถตามมาสมทบ
หญิงสาววัยกลางคนยังคงนั่งนิ่งเอามือปิดปาก คำสบถและคำพูดต่างๆ นานาหลุดออกมาจากปากของกระเป๋ารถไม่ขาดระยะ สายตาของผู้โดยสารทุกคนมุ่งไปที่เดียวกันคือ ที่นั่งของหญิงวัยกลางคน เด็กน้อยเริ่มร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง
รถโดยสารจอดนิ่ง สถานการณ์บนรถเริ่มตรึงเครียด
"จะเอาไงหา ว่ามา อ๊วกเต็มพื้นแบบเนี้ย รถเพิ่งออกจากอู่รอบแรก ยังรับผู้โดยสารไม่เท่าไรเลย" กระเป๋ารถยังคงไม่ลดละ
ชานฉกรรจ์คนหนึ่งที่นั่งเบาะข้างหน้าลุกขึ้น พลางพูดกับกระเป๋ารถ
"ใจเย็นๆ น่าคุณ เขาอาจจะไม่สบายก็ได้"
";งั้นเหรอ เห็นใจเขา คุณเช็ดอ๊วกแทนไหมล่ะ"
ไม่มีคำตอบจากชายฉกรรจ์
(มีต่อ)
แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 48 22:40:40
จากคุณ :
เรื่องของผม
- [
17 ม.ค. 48 15:27:03
]