2.
ลมหนาวพัดผ่าน
ใบไม้สีน้ำตาลแห้งกรอบร่วงเกลื่อนพื้น
ตาเบบูญ่าสีชมพูทิ้งตัวอย่างแช่มช้อยงดงาม
ฉันกอดกระชับแฟ้มงานที่ถืออยู่ไว้แนบอก ปล่อยให้สายลมพัดผ่านพวงแก้ม แม้จะรู้สึกหนาวแต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรไปมากกว่านั้น
ร้านกาแฟเล็ก ๆ ริมทางเดิน แทรกตัวอยู่กึ่งกลางระหว่างร้านหนังสือและร้านทำผม ขณะที่ฉันกำลังยืนจดจ้องผ่านกระจกใส พลันรู้สึกราวกับมีใครบางคนกำลังเดินก้มหน้าก้มตาตรงมาทางที่ฉันยืนอยู่
ชายหนุ่มร่างสูงไว้ผมรองทรงต่ำกำลังเดินจ้ำอ้าวมาทางฉัน และเหมือนเขาจะรู้ว่ามีใครอีกคนกำลังยืนขวางทางอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เราสองคนจึงสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ต่อ?
ฉันอุทานชื่อของใครบางคนที่คุ้นตาออกไป คนตรงหน้าหยุดชะงัก เขาเพ่งมองฉันครู่หนึ่งคิ้วดกดำขมวดเข้าหากัน แล้วเหมือนนึกได้ เขายิ้มนัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจระคนยินดี
ฟ่าง!
คราวนี้เจ้าของรอยยิ้มกว้างกลายเป็นฉัน
ใช่นายจริง ๆ ด้วย ไปไงมาไงล่ะนี่?
เรากำลังจะไปทำงานน่ะ แต่แวะมาหาอะไรรองท้องนิดหน่อย ฟ่างล่ะเป็นไงบ้าง?
กำลังคิดว่าจะหากาแฟสักถ้วย เข้าไปนั่งในร้านนั้นก่อนไหม? จะได้คุยกัน
ฉันเป็นคนเอ่ยปากชวนเสียเอง เขาพยักหน้ารับ
ประตูกระจกใสเปิดกว้าง กลิ่นหอมของกาแฟกรุ่นไปทั่วร้าน ฉันกับเขาแวะสั่งกาแฟคนละแก้ว แล้วจึงไปหย่อนตัวลงนั่งที่โต๊ะเล็ก ๆ ริมกระจก
ใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันดูสูงวัยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ผมหยักศกที่ยาวเกือบกลางหลังกลายเป็นรองทรงสั้น รองเท้าผ้าใบสีมอซอถูกแทนที่ด้วยรองเท้าหนังสีดำมันวาว
เราไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้วนี่
7 ปี
เขาตอบทันที ราวกับว่าคิดคำนวณเรื่องวันเวลาเอาไว้แล้ว
หายหน้าไปนานเลยนะ ไม่ส่งข่าวให้รู้กันบ้าง
เขาเอ่ยปาก
ก็บอกแล้วไงว่าต้องไปเรียน
นั่นแหละ รับปริญญาไปเมื่อไหร่เราเลยไม่รู้เลย จะได้แวะไปแสดงความยินดี
ฉันยิ้ม มือหนึ่งหยิบน้ำตาลทรายสองก้อนหย่อนลงในแก้วแล้วคนเบา ๆ ไอร้อนผสมกลิ่นกาแฟลอยขึ้นมาปะทะผิวหน้า
ก็หลังจากวันนั้นปีนึงนั่นแหละ
อืม เร็วนะ ไม่ได้เจอกันพักเดียว แป๊บๆ เวลาผ่านไปจะ 7 ปีแล้ว
ใช่ แป๊บเดียวเองนะ
แล้วต่อรับปริญญาตอนปีไหน?
ฉันถามเอาความมากกว่าต้องการจะเยาะเย้ยใด ๆ ระบบการเรียนแบบเปิด ทำให้เรามีอิสรเสรีในการเลือกที่เรียนหรือไม่เรียนได้ตามใจ
คนตรงหน้ายิ้มเขิน
ช้ากว่าเธอสองปีแน่ะ
เราหัวเราะเบา ๆ พร้อมกัน
เหรอ มัวแต่ทำกิจกรรมอยู่ล่ะสิ
ฉันดักคอ
ใช่ มัวแต่ทำกิจกรรมอยู่ปีกว่า ๆ เกือบจะเก็บหน่วยกิตไม่ทันแล้วล่ะ แต่ก็ถูลู่ถูกังมาจนได้
เก่งนะ ได้ข่าวว่าต่อไปเป็นประธานชมรมด้วยไม่ใช่เหรอ?
อื้อ
เขาอมยิ้ม ริมฝีปากเรียวเหยียดกว้าง ฉันจ้องมองนัยน์ตาคมคู่นั้น
ทำไมหรือ? ทำหน้าเหมือนมีอะไรจะถาม
คราวนี้เป็นฉันที่หัวเราะขำตัวเองที่แสดงความรู้สึกเสียโจ่งแจ้ง
อ้าว เป็นอะไรไป หัวเราะขำอะไรเหรอ?
เขาทำหน้าฉงน
ขำตัวเอง
คราวนี้เขาจ้องฉันเขม็ง
เรานึกถึงเรื่องเก่า ๆ บางเรื่องน่ะ ตอนสมัยเรียน
เรื่องสนุกงั้นสิ
ฉันไม่ตอบ แต่คำถามที่ติดค้างอยู่ทำให้อดรนทนไม่ได้
จำที่นายเคยพูดกับเราตอนนั้นได้ไหม?
ตอนไหนล่ะ?
ก็... เสียงฉันแผ่วหายไปในลำคอ บางทีฉันไม่ควรถามคำถามนี้ก็ได้
มีอะไรหรือ? ว่ามาสิ
เรื่องคนที่เกิดวันที่ 28 น่ะ
เขายิ้มกว้างแต่ไม่พูดอะไร คงเพราะอยากรู้ว่าฉันจะถามอะไรต่อกระมัง
ตกลงว่าได้รักกับคนที่เกิดวันนั้นจริง ๆ หรือเปล่า?
เขายกมือขึ้นประสานไว้ปลายคาง ก่อนจะกดน้ำหนักลงบนหลังมือคู่นั้น
อืม
เรื่องจริงเหรอนี่? ตกลงนายหาคนที่เกิดวันที่ 28 กรกฎาเจอจริง ๆ เหรอ?
เขาหัวเราะเบา ๆ มือที่ประสานไว้คลายลง กาแฟร้อนในแก้วสีขาวถูกยกขึ้นจิบครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกวางลงด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
มันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะ..
บังเอิญที่เขาคนนั้นเกิดวันที่ 28 พอดี?
เขาพยักหน้า ใช่
เป็นไปได้ยังไง? ฉันทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
ฟ่างเชื่อเรื่องลางสังหรณ์ไหม?
ลางสังหรณ์?
ใช่ ตอนนั้นที่เราบอกฟ่างไปน่ะ เป็นเพราะเรารู้สึกแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ รู้สึกว่าคนที่เราจะรัก จะเป็นคนที่เกิดวันที่ 28 กรกฎา แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
ล้อเล่นน่า
เขาส่ายหน้า รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนฝีปากบอกว่านี่คือเรื่องจริง
มันอาจเป็นเรื่องที่ฟังดูบังเอิญนะ แต่มันก็เป็นไปแล้ว..
ฉันพยักหน้ารับ กาแฟในแก้วเริ่มคลายความร้อนลง ฉันยกขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ ๆ ก่อนจะตัดสินใจถาม
แล้วยังคบกันดีอยู่ไหม?
คนตรงหน้าทำหน้าเคร่งขรึม เขาเบือนหน้ามองออกไปนอกร้าน
..เลิกกันไปปีกว่าแล้ว
อ้าว เหรอ ฉันทำหน้าตกใจ นึกตำหนิตัวเองที่ไปถามคำถามที่เป็นส่วนตัวแบบนั้น
ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ แค่สงสัยน่ะ เลยอดถามไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ
ไม่เป็นไร..
เราต่างคนต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง ฉันนึกทบทวนเรื่องที่เคยคุยกับเขาเมื่อคราวนั้น และออกจะแน่ใจว่า เรื่องวันเกิดคงจะไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เขารักผู้หญิงคนนั้นเป็นแน่ บางที เธออาจะเป็นผู้หญิงที่น่ารักหรืออาจเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากก็ได้ สุดที่ฉันจะเดาได้ว่าเขารักเธอเพราะเหตุใด แต่ความจริงในข้อนั้นมีความจริงและความบังเอิญเรื่องวันเกิดของเธอรวมอยู่ด้วย
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มรีบคว้าขึ้นมา เขารับฟังข้อความไม่กี่ประโยคแล้วจึงตอบรับคนปลายสาย
ได้ครับ แล้วผมจะรีบไปครับ
โทรศัพท์มือถือรูปทรงทันสมัยถูกพับเก็บตามเดิม
ฟ่าง เราต้องไปก่อนนะ เจ้านายโทร.มาตามแล้วล่ะ
ตามสบายจ้ะ
เราขอเบอร์ฟ่างไว้หน่อยสิ เผื่อวันหลังจะได้คุยกัน
ฉันบอกหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองไป เขาทวนหมายเลขอีกครั้งก่อนกดบันทึกลงในโทรศัพท์ แล้วจึงหยิบธนบัตรสีแดงมาวางไว้บนโต๊ะหนึ่งใบ
อ่ะนี่ค่ากาแฟ เราเลี้ยงเอง นาน ๆ เจอกันที ไม่ต้องทอนนะ
เขาชิงดักคอเสียก่อนแล้ว ขอบใจจ้ะ
ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน
โชคดีนะ
ฉันโบกมือให้เขา คนร่างสูงส่งยิ้มให้ฉันก่อนจะก้าวเท้ายาว ๆ ไปที่ประตูกระจกแล้วผลักออกไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียว ร่างสูงของเขาก็กลืนหายไปกับผู้คน
ตาเบบูญ่าสีชมพูกลีบบางทิ้งตัวช้า ๆ อย่างสวยงาม ก่อนสัมผัสพื้นดินอย่างแผ่วเบา เพียงไม่นานดอกไม้สีชมพูซีดดอกนั้นก็ถูกเหยียบย่ำ ร่องรอยสีน้ำตาลปรากฏบนกลีบดอก ตาเบบูญ่าแสนสวยของฉันบอบช้ำเสียแล้ว
ฉันยกกาแฟขึ้นจิบเป็นครั้งสุดท้าย รสขมอมหวานของมันเตือนให้ฉันนึกถึงสิ่งที่ต้องทำ
รูปสีใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์มาแรมปี ภาพของคนที่เป็นปัจจุบันวางซ้อนอยู่บนรูปภาพใบหนึ่งซึ่งอยู่มีใบหน้าของฉันอยู่ด้วย
ภาพของคนที่เป็นปัจจุบันถูกหยิบออก ฉันเพ่งมองใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างฉันในรูปใบนั้น ใบหน้าแย้มยิ้มของคนที่ล้อมรอบอยู่ ดูจะไม่ตรึงตาฉันเท่ากับเจ้าของนัยน์ตาคมกริบที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่
ฉันหยิบรูปใบนั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วจึงหยิบรูปคนของปัจจุบันกลับคืนที่เดิม
วันนี้ว่างไหม?
ฉันกรอกเสียงถามไปยังคนปลายสาย
ว่างสิ มีอะไรจ๊ะ?
ไปถ่ายรูปกัน
ฉันพูดสั้น ๆ แต่คนปลายสายทำเสียงดีใจ เขาตกปากรับคำกันเรียบร้อย เป็นอันว่าเย็นวันนี้ ฉันกับเขาจะไปถ่ายรูปคู่กันเป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ได้คบหากันมา
ฉันหยิบแฟ้มงานมาถือไว้ในมือ แล้วเดินเลยไปชำระเงินค่ากาแฟ
ประตูกระจกเปิดกว้าง ลมหนาวโชยมาสัมผัสใบหน้าอย่างแผ่วเบา ตาเบบูญ่าสีชมพูดอกใหม่ค่อย ๆ ถลาร่วงสู่พื้น
ร่องรอยแห่งความบอบช้ำยังไม่เกิด
ตาเบบูญ่าดอกนั้นจะคงความสวยไว้ได้นานแค่ไหนฉันไม่รู้ เวลานี้ ฉันรู้แต่เพียงว่า ฉันเดินหันหลังให้กับดอกไม้ดอกนั้นเสียแล้ว...
แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 48 21:54:22
จากคุณ :
อัญชา
- [
18 ม.ค. 48 14:28:40
]