1...
ไม่ได้นะยายบุษ ถึงเธอจะไม่อยากได้ส่วนแบ่งในกองมรดก แต่เธอจะนั่งอยู่เฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ อย่างน้อยเธอก็ต้องไปแสดงตัวให้พวกเขาได้รับรู้
คนที่ส่งเสียงโวยวายเป็นหญิงสาวหน้าตาสดใส ผมตัดสั้นช่วยเน้นบุคลิกแคล่วคล่องว่องไว ฟังจากน้ำเสียงและการพูดจา ก็บอกได้ทันทีว่า เป็นคนกล้าไม่ค่อยกลัวหรือเกรงสิ่งใด
ในขณะที่คนซึ่งนั่งนิ่ง รับฟัง มีบุคลิกที่อาจจะบอกได้ว่าตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง หล่อนเป็นหญิงสาว หน้าตาจัดว่าสะสวย เสียแต่เจ้าตัวชอบทำสีหน้าราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ให้ปรากฏ ใบหน้านั้นจึงดูคล้ายใบหน้าของหุ่นหรือรูปวาด ดวงตาสีดำนิ่งสนิท กับเรือนผมยาวดำขลับ ทำให้ดูราวกับมีความลึกลับบางอย่างแฝงอยู่
มันต่างกันอย่างไรล่ะตรึง ระหว่างการที่ฉันไปปรากฏตัวกับการที่ฉันไม่ไปปรากฏตัว
บุษบรรณถามเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ ดุจเดียวกับใบหน้าของหล่อน
ต่างสิ เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้แสดงสิทธิของเธอ ก็เหมือนกับการไปเลือกตั้งนั่นแหละ ระหว่างการไม่ไปเลือกตั้ง กับการไปแสดงตัวแต่ไม่เลือกใครเลย มันต่างกันนะ
ตรึงหทัย ยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวที่สุดเท่าที่สาวน้อยอย่างหล่อนจะนึกได้ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ทว่าพอพูดออกไปแล้ว แม้แต่เจ้าตัวเองยังรู้สึกว่า ฟังไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร
บุษบรรณ ถอนหายใจเสียงแผ่ว จนแทบจับสังเกตไม่ได้
หล่อนไม่น่าเล่าเรื่องนี้ให้ตรึงหทัยฟังเลย หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะปรึกษาหรือขอความคิดเห็นใดๆ จากเพื่อนสาวทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงเรื่องชวนสนทนาแก้เบื่อแท้ๆ
เรื่องของเรื่องคือ จู่ๆ มีจดหมายส่งมาถึงหล่อน จากผู้ที่แนะนำตนว่าเป็นทนายความแห่งตระกูล ภูติเศวต ทนายความผู้มีนามว่า คุณสันติธรรม เจนกิจคดี ได้ขอให้หล่อนเดินทางไปที่บ้านภูติเศวต เพื่อรับมรดกที่บิดาของหล่อน คือ คุณภรต ภูติเศวต ได้ทำพินัยกรรม มอบไว้ให้
บุษบรรณเพิ่งรู้จากจดหมายฉบับนั้นเองว่า บิดาของหล่อนมีนามว่า ภรต เป็นประมุขของตระกูลซึ่งดูเหมือนจะมีความเก่าแก่และมีฐานะอยู่ไม่น้อย
แต่เรื่องราวตำนานรักระหว่างบิดากับมารดาของหล่อนเกิดขึ้นได้อย่างไร บุษบรรณสุดปัญญาที่จะหยั่งรู้ได้
มารดาของบุษบรรณไม่เคยปริปากพูดถึงบิดาเลยแม้แต่คำเดียว คงปล่อยให้ผู้เป็นบุตรีคาดเดาไปต่างๆ นาๆ จนสุดท้ายเลิกสนใจที่จะถามถึงหรือคิดถึง
มารดาของหล่อนไม่เคยคิดแม้แต่จะปดว่า บิดาของหล่อนตายไปแล้ว คงใช้อาการนิ่งไม่พูดแทนคำตอบ จากเด็กหญิงที่เคยปรารถนาจะมีบิดาเหมือนเด็กอื่น เติบโตเป็นหญิงสาวที่ได้เรียนรู้ว่า แม้จะไม่มีบิดา ชีวิตของหล่อนก็มีความสุขได้
มารดาของบุษบรรณเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อสามปีที่แล้ว
วินาทีที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของมารดา บุษบรรณรู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งโลกพังทลายลง หล่อนรู้สึกเคว้งคว้างอย่างคนที่เหลือเพียงตัวลำพัง ไม่มีญาติพี่น้อง
ดีที่หล่อนมีเพื่อนที่แสนดีอย่างตรึงหทัยอยู่เคียงข้าง
บุษบรรณคิดว่าหล่อนคงใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวไปจนวันตาย
แล้วจู่ๆ หล่อนก็กลายเป็นคนที่มีญาติพี่น้องขึ้นมา
จดหมายจากทนายที่สร้างสายใยเชื่อมโยงหล่อนเข้ากับคนในตระกูลภูติเศวต ไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม มันกลับทำให้บุษบรรณรู้สึกสลดใจในชะตากรรมของตนเอง
ต่อให้เป็นเด็กอมมือ ถ้าได้ยินเรื่องของหล่อน ก็รู้ได้ว่า มารดาของหล่อนไม่ได้อยู่ในฐานะภรรยาตามกฎหมายของประมุขแห่งตระกูลภูติเศวต
บิดาของหล่อนจะยกมรดกให้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ท่านคงจะไม่ทันคิดว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยให้สิ่งใดกลับดีขึ้นมาได้เลย หากกลับทำให้ความรู้สึกของผู้เป็นบุตรีนอกสมรสต้องชอกช้ำ เมื่อได้รับรู้ความจริง
หลังจากใช้ชีวิตอย่างลูกกำพร้าพ่อมาร่วมยี่สิบปี
สู้ไม่รู้เสียเลย ยังจะดีกว่า
หล่อนตั้งใจจะลืมเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ให้เร็วที่สุด เพื่อความสงบสุขในชีวิต หากแต่ในที่สุด ก็เผลอ อดเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทที่สุดฟังไม่ได้
ถ้าเธอไม่ไป เขาสามารถกล่าวโทษได้ว่า เธอทำผิดกฏหมายนะบุษ
ตรึงหทัยกล่าวสำทับ ขณะกำลังพยายามนึกว่าจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาอย่างไร ให้เพื่อนยอมคล้อยตาม หากบุษบรรณกล่าวตัดบทว่า
พอที ฉันจะทำงานต่อ
นั่นปะไร ตรึงหทัยส่งเสียงดังจนบุษบรรณตกใจ ถ้าเธอไปรับมรดกในส่วนของเธอมา เธอก็ไม่ต้องมานั่งทำงานหลังขดหลังแข็งอย่างนี้อีกต่อไปหรอก ยายบุษ
บุษบรรณส่ายหน้าน้อยๆ บอกอาการว่าไม่อยากสนทนาเรื่องดังกล่าวอีกต่อไป หล่อนก้มลงพิจารณางานที่ทำค้างอยู่
งานปักผ้าเป็นงานฝีมือที่หล่อนได้รับถ่ายทอดจากมารดา และกลายมาเป็นสิ่งที่หล่อนใช้ในการดำรงชีพ ฝีมือการปักผ้าของหล่อนนั้น คุณป้าปรางเอ่ยชมว่า
ถ่ายแบบจากแม่มาไม่มีผิด
คุณป้าปรางเป็นเจ้าของร้านปรางซิลค์ คุณป้ารับผ้าปักจากบุษบรรณนำไปขายในร้าน ซึ่งเป็นร้านขายของที่ระลึกแบบไทย
ผ้าผืนที่บุษบรรณกำลังปักค้างอยู่นั้น หล่อนลองเลือกใช้ผ้าไหมสีฟ้าเป็นครั้งแรก ปกติหล่อนใช้แต่ผ้าไหมสีขาว เพราะปักลายขึ้นง่ายกว่าผ้าไหมสีอื่น
คราวนี้ปักลายอะไรล่ะ
ตรึงหทัยยื่นหน้าข้ามไหล่ของบุษบรรณมาดู
ว่าจะปักเป็นรูปกระต่ายขาวคู่
ความจริงบุษบรรณไม่จำเป็นต้องตอบคำถามก็ได้ เพราะเมื่อตรึงหทัยชะโงกหน้ามาดูก็ย่อมเห็นลายเส้นที่ลงไว้แล้ว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บุษบรรณสะดุ้งเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้ว
ตั้งแต่มารดาของหล่อนเสียชีวิตไป คนที่จะโทรฯ เข้ามาหาหล่อน มีเพียงคนเดียว และคนๆ นั้นก็นั่งอยู่กับหล่อนแล้วตอนนี้ นอกเหนือจากรับโทรศัพท์จากตรึงหทัยแล้ว หล่อนใช้โทรศัพท์เพียงเพื่อติดต่อกับคุณป้าปราง ซึ่งหล่อนจะเป็นฝ่ายโทรฯ ไปบอก เมื่องานเสร็จ แล้วคุณป้าปรางก็จะส่งคนมารับงาน
บุษบรรณจึงค่อนข้างแปลกใจที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หล่อนสรุปกับตัวเองในทันทีว่าต้องเป็นการโทรฯ ผิดแน่ๆ
จะรับไหมนั่น
ตรึงหทัยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่ง ปล่อยให้โทรศัพท์ดังติดต่อกันหลายครั้ง
บุษบรรณจำใจวางงานในมือที่เพิ่งหยิบขึ้นมา ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะเล็กซึ่งใช้วางโทรศัพท์
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับ ผมสันติธรรม เจนกิจคดี ขอพูดกับคุณบุษบรรณครับ
บุษบรรณชะงัก ถึงขนาดโทรฯ มาที่บ้านเลยหรือ ดีเหมือนกันจะได้ปฏิเสธไปเสียทางโทรศัพท์นี่แหละ
กำลังพูดอยู่ค่ะ
ครับ คุณบุษบรรณได้รับจดหมายที่ผมส่งไปแล้วใช่ไหมครับ
ค่ะ ได้รับตั้งแต่เมื่อวันจันทร์
นั่นคือเมื่อหกวันที่แล้ว แต่ผู้โทรฯ ติดต่อมาไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาทางน้ำเสียง ยังคงพูดต่อไป อย่างสุภาพว่า
ครับ ผมอยากเรียนถามว่า คุณบุษบรรณวางแผนจะเดินทางมาที่บ้านภูติเศวตเมื่อไรครับ ผมจะได้เตรียมการต่างๆ รอไว้
คงไม่ต้องเตรียมการอะไรหรอกค่ะ เพราะดิฉันตั้งใจว่าจะไม่เดินทางไปที่นั่น และไม่คิดจะขอรับมรดกใดๆ ทั้งสิ้น คุณโทรฯ มาก็ดีแล้ว
ยังไม่ทันจะพูดให้จบใจความดี อีกฝ่ายก็ขัดขึ้นเสียก่อน
คุณหนูครับ
น้ำเสียงและคำเรียกหานั้นอ่อนโยน เสียจนบุษบรรณต้องหยุดรับฟัง
คุณท่านรักคุณหนูมากนะครับ เพียงแต่ท่านไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงความรู้สึกดังกล่าว จวบจนวาระสุดท้าย ท่านก็ยังคงเป็นห่วงคุณหนู ผมรับปากคุณท่านไว้แล้วว่า อย่างน้อยจะต้องให้คุณหนูได้เห็นสิ่งที่ท่านตั้งใจจะมอบให้ แล้วหลังจากนั้นคุณหนูตัดสินใจอย่างไร ผมจะไม่คัดค้านอีกเลย
บุษบรรณลังเล หล่อนหันไปมองตรึงหทัย ซึ่งกำลังมองมาด้วยแววตาแสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง
ผมขอให้คุณหนูนึกว่า อย่างน้อยก็เห็นแก่คำสั่งเสียสุดท้ายของผู้ที่เพิ่งจากไป ส่วนเรื่องการเดินทาง คุณหนูไม่ต้องเป็นกังวล ผมจะจัดรถไปรับและพากลับไปส่งอย่างเรียบร้อย ไม่ต้องให้คุณหนูลำบากลำบน
บุษบรรณเม้มริมฝีปาก หล่อนสบตากับเพื่อนรักอีกครั้ง แล้วตัดสินใจ
ตกลงค่ะ ดิฉันพาเพื่อนไปด้วย ได้ใช่ไหมคะ
ได้ครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง คุณหนูจะให้ผมจัดรถไปรับวันไหนดีครับ
กรุณารอสักครู่นะคะ
บุษบรรณใช้มือปิดปากกระบอกโทรศัพท์ แล้วหันไปถามตรึงหทัยซึ่งตอนนี้เดินมายืนอยู่ข้างตัวหล่อน ด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า
อาทิตย์หน้าตรึงว่างวันไหนบ้าง
ว่างทุกวัน
ตรึงหทัยตอบด้วยเสียงแผ่วเบาดุจเดียวกัน ท่าทางกระตือรือร้นเสียยิ่งกว่าคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง
บุษบรรณเลื่อนมือออกจากปากกระบอกโทรศัพท์ แล้วบอกอีกฝ่ายว่า
วันพฤหัสฯหน้าค่ะ
ครับ ผมจะให้คนขับรถไปรับคุณหนูที่บ้าน ในวันพฤหัสบดี เวลาสิบสามนาฬิกาตรงนะครับ อ้อ! เพื่อให้คุณหนูสบายใจ ผมจะให้คนขับรถถือนามบัตรของผมไปแสดงเป็นหลักฐานด้วยนะครับ
บุษบรรณไม่อยากขัดว่า ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือของขบวนการหลอกลวงประชาชน การให้คนขับรถถือนามบัตรมาด้วย ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะสามารถวางใจได้ แต่มีบางสิ่งในน้ำเสียงของผู้พูด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความภาคภูมิใจในชื่อเสียงของตนเอง ที่สามารถใช้เป็นหลักประกันได้ ด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น ทำให้บุษบรรณคิดว่า นี่คงไม่ใช่การหลอกลวงกัน
เอ่อ
คุณกรุณาอย่าเรียกดิฉันว่าคุณหนูได้ไหมคะ
เห็นทีจะไม่ได้หรอกครับ ผมรอโอกาสที่จะได้คุยกับคุณหนูและได้เจอตัวคุณหนูมานานแล้ว ผมยังเสียใจอยู่จนทุกวันนี้ ที่ไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คุณบัวบุญ ผมจึงตั้งใจไว้ว่าจะช่วยเหลือคุณหนูอย่างดีที่สุด
คุณบัวบุญ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงคือมารดาของบุษบรรณ
คุณรู้จักคุณแม่ของดิฉัน โพล่งออกไปแล้ว บุษบรรณก็ชะงักไปนิดหนึ่ง
ดิฉันหมายถึงเป็นการส่วนตัว
ครับ เอาไว้คุณหนูมาถึงที่นี่ แล้วผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคุณท่านและคุณแม่ของคุณหนูให้ฟัง คุณหนูจะได้รู้เรื่องราวความจริงและเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
จากคุณ :
ลมฝัน
- [
21 ม.ค. 48 19:54:05
]