CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    * * * * _ _ _ _ _ปี ศ า จ ว สั น ต์_ _ _ _ _ * * * * (ช่วงที่๖)

    * * * * _ _ _ _ _ปี ศ า จ ว สั น ต์_ _ _ _ _ * * * * (ช่วงแรก) http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3099880/W3099880.html
    (มีลิงก์ต่อให้ทุกตอนแล้วนะคะ)
    (ดูท่าว่าเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวไปแล้ว เพราะเพิ่งเดินเรื่องมาครึ่งเรื่องเท่านั้นเอง.... ^^")
    (ตอบความคิดเห็นสำหรับช่วงที่ ๕ แล้วนะคะ )

    *********************

    เรื่องสั้นขนาดยาว  ปิศาจวสันต์ ช่วงที่ ๖



    ๒๖.

                      การที่ฝนตกติดๆ กันหลายวันอาจทำให้งานการตรวจตราประจำวันของผมลำบากมากขึ้นนิดหน่อย  หวังว่าสายฝนก็คงจะหยุดพวกเหล่ามิจฉาชีพไว้ได้บ้างเช่นกัน  กระนั้นหน้าที่ประจำวันของผมก็ต้องเป็นไปตามปกติ  ผมชอบงานนี้ “ตำรวจบ้าน”  เพราะไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับระบบราชการอันน่าขยะแขยงแบบเต็มตัว แต่ก็ได้ช่วยเหลือผู้คนได้อย่างเปิดเผย แถมยังได้เบี้ยเลี้ยงพอประมาณและสวัสดิการจากคนรอบข้างผู้มีน้ำใจ

    บางคนบอกว่าผมรักอิสระเกินไป  การอยากจะเริ่มต้นกับอะไรใหม่ๆ เสมอๆ  อาจทำให้ผมไม่เคยก้าวหน้าในอาชีพ  แต่ความฝันใหม่ๆ ของผมก็ไม่เคยดับมอดลง   การเปลี่ยนแปลงอะไรบ่อยๆ  อาจทำให้เราดูเหมือนเป็นคนหลักลอย  ผมไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับประเด็นนี้ เช่นเดียวกับความรู้สึกโดดเดี่ยว หรือเงียบเหงาในบางครั้ง

    น่าแปลกเหมือนกัน ที่บางคราวความรู้สึกโดดเดี่ยว หรือเงียบเหงานั้น สามารถสื่อถึงกันได้อย่างง่ายดาย  

    ดูอย่างคืนนี้  คืนที่ฝนยังตกพร่ำ  ผมไม่ได้ตั้งใจจะยืนรอเธอ ทั้งยังไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าเธอก้าวผ่านผมไปได้อย่างไร  เธออาจใช้เวลากับบนห้องนั้นเร็วเกินไป  แม้ผมจะแน่ใจว่าไม่ได้ยินการมีปากเสียงกัน  แต่สถานการณ์เช่นนี้ต่างหากที่ควรระแวงระวัง ว่าใครสักคนที่กำลังถูกความเหงาความโดดเดี่ยวครอบงำ จะคิดอะไรสั้นๆ ได้ง่ายๆ

    เธอไปหยุดอยู่ตรงมุมถนน  ท่าทางเหมือนลังเลว่าจะหันหลังกลับมาเจรจากับเจ้าหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญข้างบนดีหรือไม่  ผมจับตาดูเธออยู่เงียบๆ จนการหันหน้ากลับไปที่ถนนใหญ่นั้น ทำให้ทั้งร่างของเธอนิ่งงัน…

    “คุณอีกแล้วเหรอ  ทำไมยังไม่กลับบ้าน…..กลับไปนอนซะแล้วจะดีขึ้น”  ผมปรุงคำถามจนน่าจะเหมือนว่า ผมเพิ่งจะผ่านมาพบเธออีกครั้ง

    ตลอดชีวิตผมเห็นผู้หญิงที่กำลังเศร้าเสียใจกับสิ่งต่างๆ มามากมาย  แต่ใครจะแลดูรันทดหดหู่  ไร้วี่แววแห่งความสุขได้เท่ากับเธอ  ความหม่นเศร้าที่ฉายออกมาจากดวงตาฉ่ำชื้น  สะกดผมไว้ได้อีกหลายอึดใจกว่าจะกล่าวอะไรออกมาได้

    “เชื่อผมสิ”

    เธอสะบัดหน้าหนี  เดินเร็วๆ จากไปอย่าง…..ไร้จุดหมาย    นั่น…ยิ่งอันตราย

    ผมวิ่งตามมารั้งแขนเธอไว้ค่อนข้างแรง  อย่างน้อยมันน่าจะเรียกสติเธอให้กลับคืนมาได้บ้าง

    “ถ้าทนอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้ออกมาดังๆ สิ”  ไม่รู้ว่าผมหลุดปากให้คำแนะนำนี้ออกไปได้อย่างไร

    แต่มันก็ได้ผล คราวนี้เธอหันมามองหน้าผมอย่างพิจารณา  คงกำลังชั่งใจกับอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ  ด้วยเสียงที่แหบแห้ง

    “คุณให้ฉันยืมค่ารถหน่อยได้ไหม”  เธอหลบตาวูบทันทีที่พูดจบ

    ผมควักธนบัตรใบละร้อยยื่นให้สองใบ  “พอไหม”   พยายามเกลี่ยคำถามสั้นๆ ไม่ให้ผู้ฟังแปลเจตนาผิดไปจากที่ตั้งใจ

    “ฉันจะคืนให้คุณได้ยังไง”   เธอรับมันไว้อย่างสุภาพ เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เจือแววขอบคุณ

    “ไม่ต้องห่วง  ผมเดินตรวจแถวนี้เป็นประจำ  คงต้องเจอคุณอีกแน่ๆ”

    ผมรีบเดินหลีกออกมา  ไม่อยากจะสานต่อบทสนทนาที่มีเงินจำนวนเล็กน้อยคั่นกลางอีกต่อไป  ไม่อยากจะนึกเลยว่าผู้ชายคนที่เธอมาพบนั้นเป็นใคร..หรือ..เป็นคนอย่างไร  ที่รู้แน่อย่างเดียวก็คือเขาคนนั้นคงไม่มีท่าทีใส่ใจไยดีเธอเลยแม้แต่น้อย  ซึ่งนั่นน่าจะเป็นการกระทำของผู้ชายที่โง่ที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว

    ๒๗.

    “คุณคะ….ฉันเอาเงินมาคืนค่ะ”   บุษไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาตกใจจนสำลักแซนวิชที่กำลังสักแต่ว่ายัดๆ เข้าปาก   เธอคงมาเร็วเกินไป  จะให้เธอทำยังไงได้  เพราะมุก “ยืมเงิน”  ของเธอที่ทำไป ก็เพื่อจะได้กลับมาใกล้กับบริเวณที่เขาพักอยู่อีกครั้ง  แม้จะได้เพียงมองเห็นเงาร่างสองร่างเต้นรำกันอย่างร่าเริง  บางครั้งก็โผเข้ากอดกันในจังหวะช้าๆ  เงาทั้งหมดจากเพดานห้องซึ่งบุษมองเห็นผ่านช่องหน้าต่างได้จากตรงนี้   มันบอกอะไรไม่ได้มากกว่าที่ว่า…ผู้หญิงคนนั้นคงมอบความสุขให้กับเขาได้มากกว่าเธอ

    บุษหันไปมองหน้าต่างที่อยู่ลิบๆ บานนั้นอีกครั้ง เปิดโอกาสให้คนตรงหน้าทำความสะอาดเนื้อตัวหน้าตานิดหนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาบ้าง

    “ไม่ต้องรีบก็ได้  ผมไม่ได้ร้อนเงิน”  คำแรกของเขาทำให้บุษผิดหวัง  แต่เธอก็เริ่มด้วยเรื่องนี้มิใช่หรือ…

    “ไม่ดีหรอกน่า….”   เธอเอ่ยยิ้มๆ

    หญิงสาวมีสีหน้าสดใสขึ้นมาบ้างแล้วในสายตาของชายหนุ่ม  เขาซ่อนการสำรวจตรวจตราด้วยสายตาไว้ใต้ปีกหมวกเช่นเคย

    “แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง”  

    บุษไม่อยากจะตอบคำถามนี้  อย่าว่าแต่ใครถามเลย  แม้กระทั่งตัวเธอเองที่ถามตัวเองในบางขณะ เธอก็ยังหาคำตอบให้ไม่ได้  “….ฉัน….ฉันต้องไปแล้ว”   เธอจึงตัดบทง่ายๆ  “…ต้องไปทำงาน…”  ไม่ได้ตั้งใจจะบอกเหตุผลกับคนอื่นเลยสักนิด

    “ที่ไหน”   เขาสวนคำถามกลับทันที

    “สนามกีฬา……  ห้องขายตั๋ว….งานพิเศษน่ะ”   แต่กระแสอะไรบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่า เขาแลดูเป็นมิตร โดยมิได้ปรุงแต่ง

    “ผมชอบดู ฯบอล แต่ไม่ค่อยมีเวลา….”  และดูเหมือนเขาไม่อยากจะจบการสนทนาในค่ำคืนนี้เร็วจนเกินไปนัก

    “ถ้าอยากดู ไปหาฉันก็ได้  ฉันพาเข้าไปดูได้นะ….ไปนะ”  หญิงสาวพยายามอีกครั้ง พร้อมด้วยการผละไปเสียจากที่  ได้ยินเขาแนะนำตัวเองเบาๆ ดังตามมา

    “ผมชื่อเมธ….สุเมธ…”

    ๒๘.

    อาการของฉันคงกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว  ตอบตัวเองไม่ได้เลยว่า ทำไมจึงหวั่นไหวไปกับรูปร่างหน้าตา น้ำเสียงและท่าทางที่แลดูสุภาพเรียบร้อยและจริงใจนั้นได้ง่ายนัก  ฉันต้องรีบเดินจากมา  ด้วยข้ออ้างเรื่องงานพิเศษ ทั้งที่มันไม่ใช่วันนี้ แต่ก็เป็นข้ออ้างที่ดี…อย่างน้อยก็ทำให้ฉันได้รู้จักชื่อของเขา

    ผู้ชายที่มีทีท่าสุภาพอ่อนโอนเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำจิตน้ำใจ   เมื่อผู้หญิงสักคนตกเป็นของเขาแล้ว จะกลับกลายเป็นคนเลวไปได้ง่ายๆ เชียวหรือ   ทำไมฉันไม่ยอมให้โอกาสตัวเองพิสูจน์มันอีกครั้งล่ะ  เพราะถ้าหากเป็นการเข้าใจผิด  คงไม่ใช่ฉันเท่านั้นที่เป็นฝ่ายปวดร้าว  เขาเองก็คงไม่สบายใจเช่นกัน

    ฉันตัดสินใจโทรหาชัช  ตรงตู้โทรศัพท์แรกที่พบ หลังจากนำเงินไปคืนให้กับคุณเมธ  ผู้ชายอีกคนที่มีแววตาอันเปลี่ยวเหงา  เหมือนกับเขา..คนที่ฉันกำลังโทรหา

    ไม่มีเสียงตอบรับ   ฉันหมายถึง  เป็นเสียงสัญญาณที่บอกว่าสายไม่ว่าง    ฉันทดลองใหม่หลายครั้งจนแน่ใจว่าเลยเวลาที่ชุมสายของหอพักนั่นจะตัดสายเมื่อถึงเวลาที่กำหนด

    เขาคงยกหูโทรศัพท์ออก  ไม่อยากให้ใครรบกวนเวลานอน???

    ตำรวจบ้านผู้อารีเดินมาโน่นแล้ว  ฉันละล้าละลังจนทำอะไรไม่ถูก  ถือหูรอสัญญาณตอบรับค้างอยู่อย่างนั้น   น้ำตาเริ่มรินไหล  มันช่วยไม่ได้เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าคนที่เรารักที่สุดที่เห็นอยู่แค่เอื้อมมือตรงนั้น ไม่ได้เหลือเยื่อใยอะไรไว้เลย ขณะที่คนที่พร้อมจะเป็นมิตรที่ดีที่สุดในเวลานี้กลับถูกกำแพงอากาศกางกั้นให้ห่างกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    ประตูตู้โทรศัพท์ดูจะหนาสักหมื่นฟุต  มันทำให้เขายิ่งดูเหมือนยืนอยู่ในที่ไกลแสนไกล  และเขาก็ยืนรออยู่ข้างนอกนั่นโดยไม่มีท่าทางจะเคาะกระจก หรือเปิดประตูเข้ามา   เขายืนรออย่างสงบ ซ่อนสายตานั้นไว้ใต้ปีกหมวกอย่างเคย

    ฉันปาดน้ำตาทิ้ง  ประคองวางหูโทรศัพท์ลงกับแป้นอย่างเชื่องช้า  กลั้นกลืนก้อนสะอื้นให้มลายหาย  ก่อนจะเปิดประตูออกมาเผชิญหน้า

    “ฉันขอคุยกับคุณหน่อยนะ…คะ”   ฉันพึมพำออกไปเบาๆ  หลบสายตาที่มองไม่เห็นคู่นั้นด้วยการก้มหน้าสำรวจรองเท้าเขรอะๆ ของเขา

    “ถ้าเป็นเรื่องแฟน  ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้”  เขากล่าวเรียบๆ แม้ฉันจะพยายามมองหาวี่แววแห่งการตำหนิติเตียนเท่าไหร่ก็หาไม่พบ

    “ไม่หรอก…แค่อยากคุยกับคุณ”  ฉันยืนยันความตั้งใจ

    เราเดินกลับทางที่พักของคนที่ฉันยังรัก  เมธชวนฉันเลี้ยวซ้ายเข้าตรอกแคบๆ ไม่ถึงยี่สิบเมตร เราก็มาเดินอยู่บนรางรถไฟ  เขาเพิ่งจะเริ่มตั้งคำถามแรกตรงนี้เอง

    “คุณไม่มีเพื่อนเลยเหรอ”  น้ำเสียงค่อนข้างเกรงใจ

    “ฉัน…ฉันไม่อยากให้ใครรู้”  

    “แต่คุณก็บอกให้ผมรู้” เขารุก  แต่ก็ด้วยท่าทีปกติธรรมดา ไม่ได้แสดงอาการละลาบละล้วงอันใด

    “ถ้าไม่พูด  ฉันกลัวจะบ้าตาย….ฉันเคยคิดว่าคงไม่เป็นไร  บอกกับตัวเองอย่างนั้นมาตลอด…..”

    แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอัดอั้นตันใจก็พรั่งพรูออกมาราวสายน้ำหลาก  รี่ไหลทะลักทะลายอย่างหักห้ามไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

    “….อย่าให้ใครรู้ว่าเราไม่มีความสุข….”  พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อท้นอีกระลอก “….พยายามทำงานให้หนักแล้วกลับบ้านนอน  ฉันอยากกลับบ้าน แต่ที่นี่เหมือนไม่ใช่บ้าน  ช่วงกลางคืนไม่รู้จะอยู่ที่ไหน  จะนอนก็นอนไม่หลับ……”

    ฉันปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น  “…..ความจริงฉันไม่อยากกลับมาที่นี่  ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่กลับมาอีก  ฉัน…ฉันเกลียดตัวเอง  ที่กลับมาที่นี่  ฉันไม่อยากเกลียดตัวเอง…คุณเข้าใจไหม  ฉันไม่อยากเกลียดตัวเอง   คุณช่วยฉันด้วยสิ…นะ…ฉันไม่อยากเกลียดตัวเองเลยจริงๆ……”


    ๒๙.

    ผมอยากจะดึงเธอมากอดไว้กับอก  เผื่อแผ่ความเข้มแข็งให้กับเธอได้บ้าง  แต่มันก็ยากเหลือเกินที่คนแปลกหน้าจะทำอะไรอย่างนั้นให้แก่กันได้  ผมได้แต่ภาวนาให้การสะอึกสะอื้นครั้งนี้เป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้ายของเธอ  ผมงัดบุหรี่ขึ้นมาสูบด้วยไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าผมตั้งอกตั้งใจรับฟังเรื่องราวของเธอมากจนเกินไป

    “คุณจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้”   ผมคิดว่าผมอาจจะมีคำแนะนำที่ดีให้กับเธอ หลังจากที่อัดควันฉุนๆ เข้าไปในปอดสองสามครั้ง   สมองเร่งรอบของการทำงาน  จนรู้สึกได้ว่าน้ำคำของตัวเองหนักแน่นขึ้นกว่าปกติ

    “ผ่านคืนนี้ไปคงจะดีขึ้น”  ความไม่มั่นใจฉายชัดเช่นเคย

    “คุณก็พูดอย่างนี้ทุกที  คืนก่อนหน้านี่ล่ะ  ถ้าผ่านมาดีขึ้นจริงๆ  คืนนี้คุณก็ต้องดีขึ้น  ไม่งั้นคุณคงไม่มาอยู่ที่นี่  คุณต้องตัดสินใจแล้วนะ  ว่า…ถ้าขาดเขาคุณจะอยู่ไม่ได้….หรือว่า…..นาทีนี้…..”

    “อย่าพูดคำว่านาทีนี้นะ….!!!”

    เธอตวาดแหว  อารมณ์แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลับ  เหมือนว่าผมได้กระชากสะเก็ดแผลที่เริ่มแห้งให้ฉีกออกมาทั้งเลือด  แน่นอนมันต้องเป็นแผลที่สาหัสมากแน่ๆ   “…..ฉันเคยคิดว่าแต่ละนาทีมันเร็ว  แต่  แต่บางทีมันก็ผ่านไปช้า....

    …เคยมีคนให้ฉันดูนาฬิกา…..

    แล้วบอกว่า……เพราะฉัน  เขาจะจำนาทีนั้นตลอดไป…..

    ตอนนั้นฉันก็หลงใหลไปกับเขา…..”      เธอเว้นระยะสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้ง  คงกำลังพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้

    “ตอนนี้…พอดูนาฬิกา  ฉันบอกกับตัวเองว่า ฉันจะลืมเขาให้ได้  ตั้งแต่นาทีนั้น…..”

    ผมไม่รู้หรอกว่าเวลาเพียงชั่วนาทีจะเร็วหรือช้าขนาดไหน  สิ่งที่ผมได้รับรู้ในตอนนี้ก็คือ  หนึ่งนาทีที่ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าเท่าไรก็ตาม ได้กักขังผู้หญิงคนหนึ่งไว้กับความทรมาน

    ผมนิ่งรอให้เธอได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจต่อไป   แต่การโผเข้าซุกซบสะอึกสะอื้นไห้อย่างเต็มเสียงนี่ทำให้ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูก   กว่าจะวางมือทั้งสองข้างไว้บนแผ่นหลังของเธอ แล้วลูบเบาๆ เป็นการปลอบโยน ก็กินเวลานานจนเธอซบหน้านิ่งอยู่หลายอึดใจ…….


    ****************จบช่วงที่ ๖****************



    ต้องบอกก่อนว่าเป็นเรื่องที่ดัดแปลงเพื่อความบันเทิงใจบวกกับความประทับใจของผู้เขียนเป็นพื้น  หากเพื่อนๆ คุ้นๆ เหมือนผ่านตาก็ขออย่าได้แปลกใจ  ถือเสียว่าเรามาแบ่งปันกันเฝ้ามองเรื่องราวเหล่านี้ด้วยกันเท่านั้น…ดีไหม

    ขอเชิญชวนเพื่อนทุกคนช่วยติติงแสดงความคิดเห็นกันได้เต็มที่นะจ๊ะ….ผู้เขียนยินดีน้อมรับทุกประการ  ^____ ^



    แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 48 20:00:46

    แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 48 17:37:31

    จากคุณ : เพียงคำ - [ 25 ม.ค. 48 17:35:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป