ไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นบริเวณลานกว้างของหมู่ตึกที่จัดงาน ชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเล็กเรียว ร่างกายล่ำสัน ดวงตาทั้งคู่ปราดเปรียว กลอกกลิ้งไปมา ดูท่าเป็นคนเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง นิ้วมือของมันเรียวยาวและมั่นคง ปลายเล็บทุกนิ้วตัดเล็มขัดถูอย่างเรียบร้อย เพียงแต่มันเผยให้ท่อนแขนเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างซุกเก็บในชุดหลวมยาว เป็น
.ซิเหวินคัง!
ฉิกจับอิดของเรามีชื่อเสียงมานานนับสิบปี ทว่ายังมิเคยมีงานมงคลยิ่งใหญ่เช่นวันนี้มาก่อน ดังนั้นเพื่อเป็นเกียรติในงานแต่งของประมุขหลี่ ข้าได้รับดำเนินการจาก พ่อบ้าน จัดเตรียมงานนี้ขึ้น และนี่เป็นงานประลองอันแปลกใหม่ที่มิเคยมีมาแต่อดีต ปัจจุบัน หรือในเวลาต่อจากนี้ไป! หยุดนิดหนึ่งจึงกล่าวต่อ
ทุกท่านคงทราบดีว่าแผ่นดินจงหยวนเรานั้น นอกจากจะมีชื่อเสียงในเรื่องวิชากำลังฝีมือแล้ว ยังมีความโดดเด่นในเรื่องศิลปะวัฒนธรรม และที่สำคัญที่สุดพวกเรายังมีศาสตร์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ
.การปรุงอาหาร! ศิลปะการทำอาหารของชาวฮั่นเรามิเป็นรองใคร ดังนั้นสิ่งที่ข้าจะจัดขึ้นในวันนี้คือการประลองทำอาหาร! ขอเชิญผู้เข้าแข่งขันทุกท่านออกมาได้!!!
ขาดคำของซิเหวินคัง ก็มีผู้คนยี่สิบกว่าสามสิบคนเดินออกมากลางงานด้วยท่วงท่าสง่างามผ่าเผย คนเหล่านี้บ้างแต่งกายเรียบร้อยสูงศักดิ์ บ้างแต่งกายพิลึกพิสดาร ทว่ามิว่าใครก็ดูออกว่าทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีบุคลิกลักษณะของยอดฝีมือที่หาได้ยากยิ่ง!
ควรทราบว่าในขณะที่ชาวยุทธมีวงการของพวกตนเรียกว่า ยุทธจักร ผู้ประกอบอาชีพอื่นๆ ก็ย่อมมีวงการของพวกมันเฉกเช่นกัน และบางทีอาจเป็นวงการที่กว้างใหญ่กว่ายุทธจักรหลายเท่า
สำหรับวงการของผู้ทำอาหารนั้นอาจนับเป็นวงการที่ใหญ่ที่สุด เพราะทอดสายตาทั่วแผ่นดินผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับอาหารตั้งแต่ชาวนาจนถึงพ่อครัวนั้นมีจำนวนถึงกึ่งหนึ่งของคนทั้งหมด!! และหากจะเปรียบเทียบดูอย่างง่ายๆ ผู้ที่ฝึกยุทธนั้นแม้นมีมากมายมาย แต่ย่อมมิมากไปกว่าผู้ที่กินอาหารแน่นอน
ดังนั้นวงการอาหารจึงถือว่าเป็นวงการที่ทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากทีเดียว! พวกมันมีคำเรียกขานเฉพาะรู้ทั่วกันในนาม โภชนจักร !!!
แน่นอนว่าในวงการนี้ย่อมมีบุญคุณ ความแค้น เครื่องครัววิเศษ หรือยอดคัมภีร์ทำอาหารที่ทุกคนต้องหลั่งซีอิ๊วและเลือดแย่งชิงกัน มิได้ดุเดือดน้อยไปกว่าพวกชาวยุทธจักรเลย!!!!
และเนื่องจากงานแต่งงานของหลี่เฉินเชียง เป็นงานใหญ่ ผู้คนล้วนให้ความสนใจ ยิ่งมีการจัดประลองทำอาหารขึ้นมาเช่นนี้ พวกมันย่อมต้องขอมีเอี่ยว ดังนั้นวันนี้พวกที่มาชิงความเป็นหนึ่งในจึงล้วนแล้วแต่เป็นยอดกุ๊กฝีมืออันดับต้นๆ ในโภชนจักร แต่ละคนมิเพียงมีท่วงท่าร้ายกาจ ยังมีรังสีความอร่อยเปร่งประกายออกมาจากร่างเป็นรัศมีหลายวา (ในลักษณะเดียวกับรังสีอำมหิตของชาวยุทธ)
โอววว
นะ นั่น นั่นมันหลิวคุนชิงนี่!!! โจวเอินผิงสะดุ้งเฮือกร้องออกมาเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งใส่ชุดแดงขาว โพกศีรษะคนหนึ่งยืนอยู่ในหมู่ผู้แข่งขัน หากสังเกตให้ดียังพบว่าบนหัวไหล่ด้านขวาของมันยังมีตราประทับ กุ๊กยอดเยี่ยมอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ประดับให้เห็นอยู่
พี่โจว! ท่านรู้จักมันด้วยหรือ? เจียงไคเซ็นถาม
โจวเอินผิงระงับอาการสั่นเทาทั่วทั้งร่างด้วยความยากลำบาก ค่อยสามารถกล่าวตอบคำอีกฝ่าย อะไร!!! เจ้ามิเคยได้ยินกิตติศัพท์ของมันหรือ? มันคือกุ๊กน้อยที่เดินทางทั่วแผ่นดินเพื่อปราบปรามอธรรมให้สิ้นซากด้วยการทำอาหาร ฟังว่าเมื่อเดือนก่อนยังทำข้าวผัดชนะโจรเขาเหลียงซาน จนเหล่าร้ายทั้งหลายกลับตัวกลับใจ
อาาาาาา ที่แท้มันมีความเป็นมายิ่งใหญ่เพียงนี้เอง ผู้น้อยได้เปิดหูเปิดตาแล้ว เจียงไคเซ็นคราง
ตัวข้าเองก็เป็นผู้ชื่นชอบในการรับประทานเช่นกัน น่าจะพอรู้จักยอดฝีมือเหล่านั้นสักคนสองคน
คุณชายหอแดงคิดเช่นนี้จึงหันไปมองสำรวจในหมู่ผู้แข่งขัน แต่แล้วสายตาเขาก็ต้องมาหยุดอยู่ที่ชายร่างผอมเกร็ง ซึ่งกำลังยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่
โอ นะนะนะ นั่นมันอากิยามะ จางนี่!!!!!!!!!! เจียงไคเซ็นร้อง
โอมมณีตัสสะ ประสกเจียงรู้จักมันด้วยหรือ? หูจิ่นเช็กซึ่งนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันถาม
เจียงไคเซ็นพูดสั่นๆ ว่า ลามะหู เหตุใดท่านไม่รู้หรือว่าอากิยามะจางผู้นี้คือยอดกุ๊กผู้มีเชื้อสายชาวฮั่นกับชาวเกาะพู้ซึง ซึ่งมีวิชาปรุงรสเหมือนกับใช้เวทมนต์ ฟังว่าแผ่นหลังของมันยังมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากมีดบาดระหว่างทำอาหารนับไม่ถ้วน ซึ่งเปรียบเสมือนเหรียญเกียรติยศอย่างดีของคนครัว
รอยมีดบาดนี่ถ้าอยู่ที่มือยังพอว่า แต่มันทำอีท่าไหนถึงไปบาดหลังได้ล่ะประสก หูจิ่นเช็กถามด้วยความสงสัย
ก็ถ้าบาดหลังยังมีหลายรอยขนาดนี้ รอยแผลที่อื่นก็ไม่ต้องพูดถึง! เจียงไคเซ็นทำตาโตร้อง
โอมมณีตัสสะ อย่างนี้เอง ว่าแต่รอยมีดบาดมันเกี่ยวกับทำอาหารเก่งตรงไหนล่ะประสก?
ฟุ่ย
สรุปว่ามันเก่งก็แล้วกัน ลามะท่านอย่าถามมากความเลย
ลามะเสือขาวฟังดังนั้นจึงไม่ต่อความอีก เหลียวไปมองกลุ่มผู้แข่งขันแล้วเขาก็ต้องอุทานว่า โอววว นั่นมันศิษย์พี่หูอิดฮีนี่!!!!!!!
มันเป็นใครหรือท่าน? โจวเอินผิงกับเจียงไคเซ็นแทบจะพร้อมเพรียงกัน
มะ
มันชื่อหูอิดฮี เป็นศิษย์พี่ของอาตมาเอง ฉายาลามะเยติเขียว เนื่องจากเคยจับตัวเยติสีเขียวมาทำซาลาเปาให้ชาวบ้านกินกัน หูจิ่นเช็กกล่าวตัวสั่น
มีพระลามะที่มาเอาดีด้านทำอาหารด้วยหรือ? โจวเอินผิงถาม
โอมมณีตัสสะ บรรพชิตทั่วแผ่นดินฝึกธรรมะล้วนหาง่ายดายยิ่ง ฝึกวิชาฆ่าคนก็มีให้เห็นถมถืด ทำไมกะอีแค่ทำอาหารจะทำมิได้เล่า?
อ้อ โจวเอินผิงกับเจียงไคเซ็นผงกศีรษะเออออ
จากนั้นทั้งสามก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความตระหนักถึงความร้ายกาจของกุ๊กแต่ละคนที่ถูกรวบรวมตัวมาในงานครั้งนี้
กติกาการแข่งขันที่ซิเหวินคังตั้งขึ้นคือให้คนครัวสามสิบสองคนแบ่งเป็นแปดกลุ่มกลุ่มละสี่คน ให้แข่งกันทำอาหารคนละอย่างบริการแขกในงานเป็นส่วนๆ ให้แขกเลือกจานที่อร่อยที่สุดเป็นผู้ชนะไปแข่งกันต่อ
แต่แล้วเหมือนชะตาเล่นตลก โต๊ะที่พวกเจียงไคเซ็นอยู่นั้น กลับมีตัวเก็งถึงสามคนมาเจอกันตั้งแต่รอบแรกนั่นคือ หลิวคุนชิง อากิยามะจาง และ หูอิดฮี!!
สามจอมยุทธต่างปรบมือดีใจที่จะได้กินของอร่อย ขณะเดียวกันก็พิศวงว่าพ่อครัวแต่ละคนจะทำอาหารออกมาเป็นลักษณะใด
จานแรกที่ถูกยกออกมาคือข้าวผัดบุญญาบารมีสีทองสุกเปร่งปลั่งของหลิวคุนชิง แค่จานนี้สามจอมยุทธชิมแล้วก็ต้องน้ำตาไหลพรากๆ
โอววววว
.นี่มัน!!? มะ
ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นข้าวผัดไข่ใส่เกลืออย่างเดียว ผัดได้สม่ำเสมอ ข้าวทุกเม็ดมีไข่แดงไปคลุกเคล้าเต็มเปี่ยม โจวเอินผิงครางออกมาขณะกิน
นับเป็นบุญบารมีจริงๆ ที่ได้มาลิ้มรสของอย่างนี้ เจียงไคเซ็นร้องบ้าง
โอมมณี
ตัสสะ
อาตมาเข้าใจว่า
ตัวเองบรรลุขั้น
โสดาบันแล้ว หูจิ่นเช็กพูดติดๆ ขัดๆเพราะยัดข้าวผัดเข้าปากไม่หยุด
จานที่สองเป็นขนมของอากิยามะจาง ทำโดยเอาเลือดนกพิราบมาอัดเป็นก้อนแข็งรูปไข่แล้วเคลือบด้วยผงไข่มุก มะพร้าว ชาเขียว และรังนก จานนี้นอกจากทำให้สามจอมยุทธน้ำตาไหลแล้วน้ำลายยังไหลไปด้วย
โอววว รู้อย่างนี้ข้ากลับไปเอานกพิราบที่เลี้ยงไว้ทำอาหารนานแล้ว โจวเอินผิงว่า
พระเจ้าช่วย มันเยี่ยมไปเลย เจียงไคเซ็นร้อง
อาตมา
รู้สึกว่าตัวเอง
สำเร็จขั้น
สกทาคามีแล้ว หูจิ่นเช็กพูดพลางยัดไข่เข้าปาก
จานที่สามเป็นเนื้อหมีแพนด้าย่างซึ่งลามะหูอิดฮีอุตส่าห์ไปจับมาจากแดนไกล สามจอมยุทธกินแล้วก็รู้สึกปรีดาปราโมทย์เหมือนกับจานก่อนๆ โดยเฉพาะหูจิ่นเช็กที่ถึงกับประกาศว่าแม้ตนจะเรียกตัวเองเป็นลามะเสือขาวเพื่อให้เหนือกว่าหลวงจีนกระต่ายน้อย แต่ต้องยอมรับว่าสู้ศิษย์พี่ลามะเยติเขียวไม่ได้จริงๆ ซึ่งเหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่งเป็นเพราะเสือขาวคงจะสู้ตัวเยติไม่ได้อยู่นั่นเอง!!
หลังจากรับประทานอาหารมาถึงสามจานแล้ว โจวเอินผิง เจียงไคเซ็น และ หูจิ่นเช็กต่างก็อิ่ม และเริ่มมีความปรารถนาที่จะกินจานต่อไปลดน้อยลง พวกเขาพูดกันเองว่าจานต่อไปถ้าไม่น่าอร่อยจริงๆ ก็จะไม่กินเด็ดขาด
จริงๆ แล้วพวกเราโชคดีที่ได้กินอาหารของกลุ่มที่มีตัวเก็งอยู่รวมกันถึงสามคน ต่อให้คนที่สี่เก่งขนาดไหนก็คงไม่เท่าสามคนนี้แน่ ข้าว่าเราเริ่มตัดสินได้แล้วละ โจวเอินผิงว่า
โอมมณีตัสสะ ประสกโจวอย่างนี้ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่บ้างนะ หูจิ่นเช็กกล่าว
อีกอย่างอาตมายังอยากห่ออาหารบางส่วนกลับบ้านไว้เป็นเสบียงในมื้อต่อๆ ไป
เจียงไคเซ็นกับโจวเอินผิงฟังดังนั้นก็รีบล้วงหาบางอย่างในอกเสื้อกันอย่างขมักเขม้น จนลามะเฒ่ามิอาจทนทาน ต้องเอ่ยถามทั้งสองว่าทำอันใด และคำตอบของทั้งสองก็สร้างความขุ่นแค้นแก่ลามะหูยิ่งนัก เนื่องเพราะทั้งสองตอบกลับมาว่า
พวกมันก็ค้นหาผ้าเพื่อมาห่ออาหารกลับไปเช่นกัน!! ที่ลามะหูโกรธแค้นย่อมมิใช่ทั้งสอง มันเพียงโกรธแค้นตนเองที่พลั้งปากกล่าวเรื่องสำคัญเช่นนี้ออกมาโดยมิไตร่ตรองเสียก่อน จากนั้นทั้งสามมือหนึ่งถือผ้า อีกมือเดินพลังเตรียมช่วงชิงความได้เปรียบกันต่อไปในอาหารจานที่สี่!!
และแล้วอาหารจานที่สี่ก็ออกมาได้ ทั้งสามต่างมุ่งหวังว่าจะได้เห็นอาหารที่แปลกพิสดารเหมือนจานก่อนๆ
หากผิดคาด จานที่สี่เป็นเพียงบะหมี่หมูแดงธรรมดาเท่านั้น
อะไรเนี่ย!? ทำของอย่างนี้ออกมาคิดจะดูถูกพวกเราหรืออย่างไร! เจียงไคเซ็นลุกขึ้นตวาด บะหมี่หมูแดงหากินที่ไหนก็ได้ในแผ่นดิน จะวิเศษเพียงใดเชียว?
พวกสามจอมยุทธเรียกกุ๊กที่ทำอาหารจานนี้ออกมา ปรากฏว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่แต่งกายอย่างเสี่ยวเอ้อ และใช้ผ้าพันปิดหน้าเอาไว้ เจียงไคเซ็นมองแต่ศีรษะจรดเท้าก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงเป็นชนชั้นสามัญก็คิดข่มเหงร้องว่า เฮ้ย เจ้าน่ะ เป็นใคร ทำไมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน!
ข้าน้อยมีนามต่ำต้อย ไม่กล้าเอ่ย ขอให้พวกท่านชิมอาหารของข้าก็พอ เด็กหนุ่มว่า
ชิชะ เจ้าคนปิดหน้า แค่นามเจ้ายังไม่กล้าพูด แล้วจะให้พวกเรากินบะหมี่พื้นๆ ของเจ้าหรือ! โจวเอินผิงตบโต๊ะร้อง หูจิ่นเช็กเสริมว่า ใช่! เหตุใดประสกไม่ทำเป็นบะหมี่แห้งจะได้ห่อกลับบ้านง่ายๆ หน่อย
เด็กหนุ่มฟังดังนั้นก็ถอนหายใจ จึงตอบ หากพวกท่านต้องการทราบนามของข้าขนาดนั้นก็ได้ ข้ามีชื่อว่า ซาเสี่ยว
สามจอมยุทธฟังแล้วสะดุ้งเฮือก รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล จึงหันหน้ามองหากัน
เอ ทำไมชื่อมันฟังคุ้นหูอย่างประหลาดอย่างนี้ โจวเอินผิงกระซิบ
นั่นสิ อยู่ๆ ฟังแล้วก็กลัวขึ้นมาเฉยๆ เจียงไคเซ็นพูดบ้าง
มันคล้ายๆ ชื่อของบางคนที่อัดพวกเราอยู่บ่อยๆ นะประสก
พอหูจิ่นเช็กสรุปอย่างนี้ ทั้งสามก็ร้องเหวอพร้อมกันแล้วเหลียวดูซาเสี่ยว
ซาเสี่ยวกล่าวเรียบๆ ว่า พวกท่านทั้งสามทราบนามของข้าแล้วจะรับประทานบะหมี่ได้หรือยัง?
จ๊ะๆๆ สามจอมยุทธรีบตอบพร้อมกัน จึงหยิบตะเกียบมาคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก
และพอกินคำแรกเสร็จ ทั้งโจวเอินผิง เจียงไคเซ็น หูจิ่นเช็ก ก็คล้ายเห็นแสงสว่างเรืองรองออกมา ต้องเบิกตาค้างทันที!!!!!
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 48 23:37:09
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 48 20:00:50
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 48 19:06:38
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 48 16:43:58
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 48 15:36:36