CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    * * * * _ _ _ _ _ปี ศ า จ ว สั น ต์_ _ _ _ _ * * * * ( ช่วงที่ ๙ )

    * * * * _ _ _ _ _ปี ศ า จ ว สั น ต์_ _ _ _ _ * * * * (ช่วงแรก) http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3099880/W3099880.html
    (มีลิงก์ต่อให้ทุกตอนแล้วนะคะ)

    ****************************

    ปิศาจวสันต์   ช่วงที่ ๙
    The Spring Spirit

    ๓๙.

    ผมมาถึงนอร์ทซิดนี่ย์ ซึ่งเป็นย่านคนรวยของมหานครแห่งนี้ในเวลาสาย  จากตรงนี้เมื่อมองเข้าไปในเมืองก็จะเห็น “โอเปร่าเฮ้าส์” และ “ซิดนี่ย์ฮาร์เบอร์บริดจ์” ในมุมที่สวยงามที่สุดมุมหนึ่ง ลมพัดไอเย็นมาจากทะเลทำให้ต้องกระชับเสื้อคลุมให้แนบตัว  ด้วยเหตุนี้ทั้งที่แดดแรงจนแสบผิวแต่เหงื่อก็ไม่มีทีท่าจะซึมออกมาช่วยระบายอุณหภูมิภายใน

    บ้านของแม่บังเกิดเกล้าตั้งอยู่บนส่วนสูงสุดของเนินเขา  คฤหาสน์ไม้ทาสีขาวทั้งหลังจึงเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านสีลูกกวาด  วิธีเดินนับเลขที่บ้านที่จะใช้ได้ดีเฉพาะการนับเลขห้องของตึกแถวในเมืองไทยกลับใช้ได้ผลดีกับที่นี่  

    กดกริ่งและยืนรออยู่นานกว่าจะมีคนเดินมาเปิดประตูรั้ว  เธอคงเป็นหญิงชาวเอเชียตะวันออกชาติใดชาติหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อด้วยสำเนียงเฉพาะตัวจนเราฟังและสื่อสารกันแทบไม่รู้เรื่อง  เธอเดินไปมาระหว่างประตูบ้านกับประตูรั้วหลายเที่ยว กว่าจะตกลงเข้าใจกันได้ว่า  ชื่อตามที่อยู่ที่จ่าหน้าซองจดหมายนี้ได้ย้ายจากไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว

    ผมยืนนิ่งอยู่อีกหลายอึดใจ แล้วจึงกล่าวขอบคุณไมตรีของคนให้ข้อมูลอย่างสุภาพ

    ขณะที่เดินจากมา รู้สึกว่ามีตาคู่หนึ่งมองตาม  แต่ผมก็ไม่ได้หันกลับไป  ผมแค่อยากจะเห็นหน้าเธอสักครั้ง…เมื่อเธอไม่ยอม…

    ….เธอก็จะไม่ได้เห็นหน้าผมเช่นกัน……


    ๔๐.

    งานแรกของการเป็นกะลาสีเรือ เมธก็ได้เดินทางมาไกลถึงออสเตรเลีย  บริษัทบริการเรือเดินสมุทรของเขาได้รับว่าจ้างให้ขนชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์  มาส่งให้บริษัทประกอบรถยนต์ยี่ห้อออสเตรเลียนาม  “โฮลเด้น”  มันเป็นสินค้าล็อตใหญ่เขาจึงมีเวลาเตร็ดเตร่เที่ยวชมเมืองหลายวัน  

    เมธคร้านที่จะต้องกลับไปนอนที่เรือ  จึงถือโอกาสเปิดห้องเช่าเล็กๆ ในย่านไชน่าทาวน์  ใจกลางเมืองซิดนี่ย์ซึ่งสะดวกมากสำหรับการขยับขยายไปเที่ยวชมเมืองไม่ว่ามุมไหน  เขาโชคไม่ดีใน “สตาร์”  คาซิโนที่ใหญ่ที่สุดของเมือง  แต่กลับดวงดีที่ถนนคิงครอส  แหล่งโลกีย์ชื่อกระฉ่อน  บรรดาสาวๆ เพลย์เบิร์ดเคยลงทุนนั่งรถไฟตามเขามาถึงห้องพัก

    ครั้งแรกที่เธอคนหนึ่งมาเคาะประตูห้อง เมธรู้สึกตื่นเต้นและตกใจเล็กน้อย เพราะแม่สาวคนที่บุกถึงห้อง เป็นคนเดียวกับที่สบตากันแล้วเขาก็ยิ้มให้เล็กน้อยตอนเดินสวนกันที่สถานีรถไฟ  เธอคล้ายคนไทยแต่ไม่ใช่  อาจจะเป็นฟิลิปปินส์ หรือไม่ก็อินโดฯ ดวงตาคู่คมกลมโตนั่นมีเสน่ห์ดึงดูดได้ไม่น้อย

    “คุณอยู่คนเดียวเหรอคะ”   เธอถามด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งหู  ซึ่งคงจะเสียมารยาทหากเขาจะไม่เชิญเธอเข้าไปในห้อง


    ๔๑.

    ที่ “เฮย์สตรีท” ถัดจากที่ผมพักไปเพียงสองช่วงตึก ชัชถูกโยนออกมาจากผับแห่งหนึ่ง  มีสาวไทยรีบวิ่งตามออกมาประคับประคองกันให้เดินห่างออกไปจากย่านผู้คนพลุกพล่าน  ผมเดินตามไปเงียบๆ เพราะจำได้ว่าเขาคือคนที่เคยรู้จักเมื่อไม่นานมานี้

    เขาผลักหญิงสาวให้พิงกับกำแพงเตี้ย  ทำท่าจะเปิดฉากรักเสียตรงนั้น แต่ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขาฟุบลงไปนิ่งอยู่กับอกของเธอ   แล้วทั้งคู่ก็ซวนเซล้มกลิ้งไปกับพื้นลาด  เมื่อหญิงสาวตั้งหลักได้ ก็ตบหน้าชัชอย่างแรง  ได้ยินไม่ถนัดว่าเธอสบถอะไรออกมาบ้าง  ที่เห็นรางๆ นั่นคือเธอค้นทุกช่องกระเป๋าในตัว แล้วก็คงจะยัดทุกสิ่งที่เจอลงในกระเป๋าถือใบเล็กนั่นก่อนที่จะวิ่งหายไปในความมืด

    โลกที่คับแคบพาให้ผมต้องมาเจอกับคนที่ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า เขาทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด  แต่จะให้ทำอย่างไรได้  ในเมื่อเรามันก็เป็นคนไทยด้วยกัน  ผมจำต้องพาเขากลับมาที่ห้องพัก

    กว่าเขาจะฟื้นตัวได้ก็เป็นหัวค่ำของวันรุ่งขึ้น  เสียงเคาะประตูทำให้ชัชสีหน้าแปลกๆ

    “คุณไม่ได้ออกไปไหน”   สาวอินโดคนเดิมมาถามผมอีกแล้ว

    “ผมมีแขกน่ะ”    ผมตอบสั้นๆ ไม่กล้าเปิดประตูกว้างนัก เพราะเราทั้งคู่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย

    เธอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แล้วเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไร  ….ผู้หญิงบางคนก็สามารถตัดใจจากอะไรได้ง่ายๆ จนน่าใจหาย

    “ผมไม่ได้มาขัดจังหวะอะไรนะ”  ชัชเอ่ยขึ้นเบาๆ จากด้านหลัง  เขาดูมีสติสมบูรณ์แล้วในเวลานี้

    “….ไม่…ไม่เลย”  

    “เธอใช้ได้เชียวหละ”  ผมหันไปเห็นสายตาที่ส่งเลยตามออกไปพอดี

    “โรงแรมระดับนี้..ผู้หญิงอย่างนี้มีเยอะแยะไป”  

    “คุณมาจากไทยเหรอ..เอ่อ..ผมหมายความว่าคุณมาจากจังหวัดไหน” แต่ดูเหมือนว่าเขาจะจำผมไม่ได้เลย

    “ผมเป็นคนกรุงเทพ….ผมเป็นกะลาสี”  

    “นานเท่าไหร่แล้ว…”   เขาถามเรื่อยๆ  เหมือนแค่อยากจะสานต่อบทสนทนามากกว่าอื่น

    “ไม่นาน…ก่อนนี้ผมเป็นตำรวจบ้าน”  ผมยังคงตอบสั้นๆ

    “ก็ดีนะ…แต่..เคยเป็นตำรวจแล้วไหงมาเป็นกะลาสีได้ล่ะ”

    “ไม่มีอะไร  แค่อยากจะร่อนไปเรื่อย  คุณมาซิดนี่ย์นี่นานแล้วหรือยัง”  ผมถามกลับไปบ้าง คงน้ำเสียงเรียบๆ ไว้เหมือนเดิม

    “สองสามเดือนได้แล้ว”  

    “มาทำไม…มาหางานทำเหรอ”   ผมสันนิษฐานตามหลักการทั่วไปของคนที่อยากมาที่ประเทศนี้

    “ผมไม่ชอบทำงาน…มาตามหาครอบครัว”  

    ด้วยคำตอบนี้ทำให้ผมต้องทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับเขา  “มีโชคไหม”  ผมถามจากใจ

    “ออกไปกินเหล้ากันไหม”   แต่คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นเรื่องอื่น

    สีหน้าของเขาตอนนี้มันช่างเลื่อนลอย คล้ายกับคนที่ผิดหวังอย่างแรงกับอะไรสักอย่าง ผมพอจะอ่านความรู้สึกขอเขาได้บ้าง  

    “ยังเช้าเกินไป…..ถ้ายังไม่อยากกลับบ้าน  ผมมีเหล้าเยอะ…”

    “ผมไม่มีบ้าน!…ว่าจะไปที่สถานีเซนทรัลตอนสายๆ  ขออาศัยนอนสักคืนได้ไหม”

    ผมเดินมาชงเหล้าให้เขาแก้วหนึ่งแทนการตอบรับ    

    “จะไปที่อื่นเหรอ”

    “ผมไม่ชอบอยู่ทีไหนนานๆ มันเบื่อ  เหมือนคุณ..ผมอยากร่อนไปเรื่อยๆ…คุณจะกลับเมื่อไหร่”

    “รอให้ของลงหมดก่อน  แล้วค่อยกลับ คงสักสองสามวัน  ว่าแต่คุณไม่กลับเหรอ”  

    ตลอดการสนทนาเรายังคงเป็นแค่คนที่เพิ่งเคยเจอกันที่นี่เป็นครั้งแรก  เราต่างไม่ก้าวก่ายถามไถ่อะไรมากไปกว่าการคุยกันไปเรื่อยเพื่อฆ่าความเงียบและความรู้สึกอึดอัดอัดอั้นที่คงจะมีอยู่ในตัวของเราทั้งคู่

    “อาจจะกลับ…แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้  ถ้าเราเจอกันอีกผมว่าคงจำกันไม่ได้”  ชัชยังไม่มีท่าทีสนใจอะไรมากไปกว่าเดิม

    “ผมก็ว่างั้น…”  ผมก็เช่นกัน

    เขาหยุดคิดอะไรครู่หนึ่งขณะเดินไปชงเหล้า  รอบนี้เขาเป็นฝ่ายชงให้ผมบ้าง  จากเหล้ารสบางที่เคยลิ้น จึงบาดคอจนขื่น

    “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”  แล้วเขาก็ถามขึ้น

    “จำไม่ได้….ความจำผมไม่ค่อยดี”  ผมปดง่ายๆ

    “ผมก็เหมือนกัน…..”


    ๔๒.

    ตรงหลังสถานีรถไฟเซ็นทรัลฝั่งอลิซาเบทสตรีทนี่มีร้านอาหารเวียดนามอยู่ร้านหนึ่ง ซึ่งบริการช่วยเหลือชาวเอเชียด้วยกันในทุกรูปแบบ แต่การบริการนี้ก็ไม่ได้ขึ้นชื่อไปกว่าอาหารสูตรต้นตำหรับที่มีใครต่อใครแวะเวียนมาชิมอยู่เสมอ

    ผมมาเพื่อรับบริการพิเศษ ที่สั่งทำไว้ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน

    ผมออกจากห้องมาก่อนเมธ  แต่เขากลับมานั่งซด “เฝอ” ชามโตอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว

    “คุณจะไปขบวนไหน” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามยิ้มๆ

    “ใครบอกว่าผมจะไปไหน”  ผมไม่อยากจะให้เขามาเกี่ยวข้องกับบริการที่ผมสั่งให้จัดหาเลยจริงๆ

    “แล้วคุณมาทำไม  ….บอกผมหน่อยได้ไหม”  กะลาสีผู้ใจกว้างคาดคั้นด้วยทีเล่นมากกว่า

    “ผมมารอเจอคน”  

    แล้วคนที่ผมนัดไว้ก็เดินเข้ามา ก่อนหน้าผู้ชายอีกกลุ่มใหญ่ที่แสดงท่าทางเป็น “เจ้าถิ่น”  ชัดเจน  เขาดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้ผมเดินตามเข้าไปในห้องน้ำหลังร้าน

    “ผมมีธุระนิดหน่อย…เอ้อ…ติดคุณไว้ครั้งหนึ่งนะ คราวหน้าผมจะเลี้ยงคืน”  ผมหมายถึงเรื่องเมื่อคืน  แล้วก็ลุกตามคนมาใหม่เข้าไป

    มันพยักหน้าให้ผมลงกลอนประตู  ก่อนจะพูดด้วยวิธีการของพ่อค้า

    “นี่มันพาสปอร์ตอเมริกา คุณต้องเข้าใจนะ…ผมเสี่ยงมาก  เกิดพลาดพลั้งไปผมเสร็จแน่  แต่ก็ต้องทำ  อยากได้เงินนี่…เอ้า…ไหนล่ะเงินที่เหลือ”

    มันโบกพาสปอร์ตเล่มสีน้ำเงินไปมาตรงหน้า  ผมมองเห็นอนาคตจาง ๆ ที่ไม่น่าจะไกลเกินความเป็นจริง  ผมอาจจะกลับไปเรียก “คุณลักษมี” ว่า “แม่” ได้อีกครั้ง  ถ้าเขายินดีต้อนรับผมที่โน่น  ผมมีที่อยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่อยากเสียเวลาปรับเปลี่ยนวีซ่าหลายๆ ครั้ง  เมื่อคนที่นี่รับปากว่า “ของจริง” ซึ่งสวมชื่อจากใครสักคนที่หายสาปสูญไปนั้นทำได้ไม่ยาก

    “ผมไม่มีเงินเหลือแล้ว…” ผมบอกไปตรงๆ  แต่ไม่ทันจะยื่นข้อเสนออะไรมันก็ขึ้นเสียงเสียก่อน

    “อะไรของ:-)วะ!!!…”  

    มันชักปืนออกมาช้ากว่าฝ่าตีนผมที่งัดเสยเข้าที่ลูกคางได้อย่างทันใจ ตอนมันลงไปกองนิ่งกับพื้น ผมก็คว้าพาสปอร์ตเผ่นออกมาแล้ว  

    เมธยังนั่งอยู่ที่เดิม ยกชามขึ้นซดน้ำซุปอึกสุดท้ายแล้วจึงถามอย่างอารมณ์ดี  “เสร็จเร็วนี่…”

    “ผมต้องไปแล้ว…แล้วเจอกัน”   ผมพุ่งตรงไปทางหน้าร้าน ไม่ได้หยุดทักหรือหันหน้าไปมองเขาด้วยซ้ำ

    “เจ้าถิ่น” สี่คนขยับมายืนกันประตูไว้ พอดีกับที่ไอ้นั่นตามออกมาจากห้องน้ำ “มันโกงกู!!!!”  มันตวาดลั่นร้าน!

    การตะลุมบอนแบบหกรุมหนึ่งเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียว เมธก็ลุกขึ้นมาช่วยผม  เขาประเดิมด้วยการแพ่นกบาลไอ้หัวโจกด้วยชามเฝอ  แล้วก็วาดลีลาไล่ฟาดปากคนนั้นทีคนนี้ทีผ่อนแรงผมไปได้มากกว่าครึ่ง  เราไม่ได้ตั้งใจจะหันหลังชนกันในวงล้อมคู่ต่อสู้  แต่สถานการณ์ที่บังคับให้เป็นไปก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจเหมือนกับเพิ่งเจอกับมิตรแท้คนแรกในชีวิต  

    ผมเหลือบไปเห็นหมาหมู่ตัวหนึ่งชักปืนออกมาจ่อที่เมธ  เขาพุ่งเข้าใส่มันทันที  

    “เปรี้ยง!…”  เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นพร้อมกับไหล่ข้างหนึ่งที่ผงะหงาย  แต่เขาก็ใช้อีกมือหนึ่งแย่งปืนของมันมาได้ก่อนจะโดนยิงซ้ำ

    “เปรี้ยง!…เปรี้ยง!…” คราวนี้มันดังขึ้นสองนัด  คนที่ยิงเมธลงไปกองกลิ้งกับพื้น  เมื่อเขากราดปืนไปรอบ ทั้งวงก็แตกกระจายกระโดดหลบไปคนละทิศละทาง

    เราวิ่งหนีกันออกมาด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต  วิ่งลงอุโมงค์ลอดใต้ถนน ตรงไปยังชานชาลาใต้ดินของสถานีเซ็นทรัล  เมธยัดปืนลงถังขยะแบบปิดตั้งแต่เข้าเขตสถานี  เราวิ่งลดเลี้ยวไปตามช่องทางสู่ชานชาลาต่างๆ ที่อยู่ใต้ดิน  และค่อยช้าลงจนเป็นเดิน  กว่าจะมาโผล่บนโถงใหญ่อาการของเราก็แทบจะเป็นปกติ  นอกจากรอยถากของกระสุนปืนที่แขนซ้ายของคนที่เพิ่งช่วยชีวิตผม

    ผมเลือกเส้นทางสายใต้  เพราะมันกำลังจะออกในสองนาที  เป็นเส้นทางไกลทีสามารถลงเปลี่ยนไปสายตะวันตกหรือสายเหนือได้อีกหลายสถานี  เมธซ่อนแขนข้างที่บาดเจ็บไว้ใต้เสื้อแจ็คเก็ตตัวหนา  เขาทำสีหน้าได้เป็นปรกติตอนเราผ่านยามเข้าไปในตัวรถ  จากตรงนี้ ชานชาลาหมายเลขสิบสี่  ผมมองเห็นพวกที่ไล่ล่าเพิ่งโผล่ขึ้นไปกลางชานชาลาที่สิบแปด ขณะที่รถไฟของเราเริ่มเคลื่อนขบวน…สายเกินไปสำหรับพวกมันแม้จะทันเห็นเราสองคนก็ตาม

    เลยชั่วโมงเร่งด่วนมาแล้ว  รถไฟจึงไม่ได้จอดทุกสถานี  เราต่างคนต่างนั่งเงียบๆ อยู่นาน   กว่าที่ผมจะกล้าพูดอะไรออกไป

    “ทำไมเงียบนักล่ะ”  แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้

    เมธจ้องผมราวจะกินเลือดกินเนื้อ  คำรามในลำคอด้วยเสียงเครียดๆ “ก็ …ไม่ได้เป็นอย่างคุณทุกคนนี่  ไม่เคยห่วงเรื่องอะไรเลย  ผมต้องทำงาน…คุณอยากได้พาสปอร์ตก็ซื้อเอาสิ…ไปก่อเรื่องทำไม  เห็นไหมเกือบตายกันหมดแล้ว…คุณบ้าไปแล้วหรือไง”

    แต่แปลกที่ผมกลับรู้สึกขันกับคำพูดของเขา  บางทีถ้าผมตายซะตั้งแต่ในร้านนั่น  ผมคงจะรู้สึกเป็นสุขมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี่

    “เกือบตายแล้วเป็นยังไง  คนเราตายได้ทุกเวลา  อยู่ๆ รถไฟชนกันก็ต้องตาย  ใครจะไปรู้ล่วงหน้า”  

    “คุณจะเป็นอะไรก็เรื่องของคุณ…แต่อย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้ไหม”

    ผมไม่รู้ว่าเขาหมายความเลยไปถึงเรื่องอะไรบ้างแล้ว

    “ผมบอกคุณให้ไปแล้วไง  คุณเดินตามผมมาเอง”  ผมหมายถึงตอนที่เราวิ่งวนไปวนมาอยู่ในสถานี

    “คนอย่างคุณ!  มันน่าจะตายซะที่นั่นเลยนะ…..”  

    เมธคงกำลังโกรธเต็มที่  ผมไม่ถือสาเขาหรอก ยังไงอะไรสักอย่างก็ลิขิตให้เราได้มาเจอกัน มาสนุกกับชีวิตร่วมกันแล้วนี่นะ  

    “เคยได้ยินไหม…เรื่องนกตัวที่…..”  ผมตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องพูด  แต่เขาก็รีบแทรกขึ้นมาก่อน

    “เค้ย!…ไอ้นกตัวที่ไม่มีขาใช่ไหม  เก็บไว้หลอกผู้หญิงเค้าเถอะนะ…นกเหรอ   นกบ้าอะไร  คุณมันก็แค่คนเมาที่ผมเจออยู่ข้างถนนคนหนึ่งเท่านั้น   นี่เหรอนก…ถ้าบินได้จะมานั่งอยู่แถวนี้ทำไม!  บินสิ…บินไปเลย…บินให้กระผมชมหน่อยสิครับ”  
    เขาทั้งประชดทั้งแดกดัน ราวกับว่าเคยได้ยินเรื่องนกไร้ปีกของผมจากใครมาก่อน

    “สักวันผมจะบิน….และคุณก็จะเป็นแค่ไอ้งั่งคนหนึ่ง….”  ผมโต้ตอบกลับไปเบาๆ  จนอดรู้สึกไม่ได้ว่า คำว่า “ไอ้งั่ง”  ที่เอ่ยออกไปนั่น ผมได้ยินมันอยู่คนเดียว

    เมธลุกเดินหายไปในอีกตู้หนึ่งของขบวนรถ ตอนที่ความอ่อนเพลียและพิษเหล้าเมื่อคืนกำลังชักจูงผมสู่ความง่วงซึม…..




    **********จบช่วงที่ ๙**********


    ต้องบอกก่อนว่าเป็นเรื่องที่ดัดแปลงเพื่อความบันเทิงใจบวกกับความประทับใจของผู้เขียนเป็นพื้น  หากเพื่อนๆ คุ้นๆ เหมือนผ่านตาก็ขออย่าได้แปลกใจ  ถือเสียว่าเรามาแบ่งปันกันเฝ้ามองเรื่องราวเหล่านี้ด้วยกันเท่านั้น…ดีไหม

    ขอเชิญชวนเพื่อนทุกคนช่วยติติงแสดงความคิดเห็นกันได้เต็มที่นะจ๊ะ….ผู้เขียนยินดีน้อมรับทุกประการ  ^____ ^












    แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 48 13:52:59

    แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 48 03:40:53

    แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 48 03:32:32

    จากคุณ : เพียงคำ - [ 4 ก.พ. 48 03:31:26 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป