โจโฉควบม้าหนีออกจากเมืองลกเอี๋ยงมาหลายวันหลายคืน จนถึงเมืองจงพวนซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่พอจะผ่านด่านก็ถูกนายด่านจับตัวไว้ เพราะประกาศจับได้มาถึงเมืองนี้ก่อนแล้ว นายด่านก้เอาตัวไปมอบให้เจ้าเมืองที่ชื่อตันก่ง เมื่อเจ้าเมืองถามชื่อแซ่ โจโฉก็แกล้งบอกว่าชื่อ ฮ่องอู มีอาชีพเป้นพ่อค้าเร่ แต่เจ้าเมืองไม่เชื่อเพราะหน้าเหมือนกับรูปที่ประกาศจับ จึงให้เอาตัวไปขังไว้ก่อน
โจโฉเข้าไปนอนเล่นอย่ในห้องขังเกือบครึ่งคืน พอถึงสองยามผ้คุมก็เข้ามาเบิกตัวไปให้เจ้าเมืองสอบสวนอีก คราวนี้เจ้าเมืองพูดด้วยอย่างดีถามว่าไปทำอีท่าไหนเข้า จึงเกิดเรื่องต้องหนีจากเมืองหลวงมาถึงนี่ โจโฉก็บอกปัดว่าตัวเจ้าเมืองนั้นอุปมาดั่งนกน้อย จะมาล่วงร้ความคิดของพญาครุฑได้อย่างไร เจ้าเมืองร้ทีจึงสั่งให้บริวารออกไปจากห้องนั้นให้หมด แล้วบอกว่าตนร้ว่าโจโฉเป็นผ้มีสติปัญญาและกล้าหาญซึ่งตนนับถืออย่ ขอให้บอกความจริง
โจโฉจึงเล่าเรื่องที่มหาอุปราชตั๋งโต๊ะทำความชั่วต่าง ๆ ตนคิดจะกำจัดเสีย แต่เมื่อไม่สำเร็จก็ต้องหนีตายไปก่อน และว่าจะไปหาบิดาที่เมืองตันลิว เพื่อรวบรวมผ้คนเป็นกองทัพ ยกกลับไปตีเมืองลกเอี๋ยงจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย บ้านเมืองจะได้เป็นสุข
ตันก๋งก็มีความยินดี จัดแจงถอดเครื่องจองจำโจโฉออก และขออาสาติดตามไปร่วมขบวนด้วย โจโฉก็ไม่ขัดข้อง ตันก๋งจึงเก็บข้าวของที่มีราคาติดตัวไป และหากระบี่ค่มือคนละเล่มกับม้าคนละตัว ออกเดินทางจากเมืองจงพวนในกลางดึกนั้นเอง
ทั้งสองเดินทางมาได้สามวันใกล้จะถึงเมืองตันลิว มีหม่บ้านแห่งหนึ่ง โจโฉจำได้ว่าเพื่อนเก่าของบิดามีบ้านอย่ตำบลนี้ จึงชวนตันก๋งไปหาและขอพักอาศัยอย่สักคืนหนึ่ง เจ้าของบ้านชื่อ แปะเฉีย ก็ไม่รังเกียจลูกชายของเพื่อน จัดการเรื่องที่หลับที่นอน และให้ครอบครัวช่วยกันทำกับข้าวเลี้ยงดู ส่วนตนเองจะออกไปหาสุราอย่างดีมาต้อนรับ แล้วก็ขี่ม้าออกจากบ้านไป
ขณะที่ทั้งสองผ้พเนจรเอนตัวลงนอนพักผ่อน ก็ได้ยินเสียงบริวารของแปะเฉียพูดกันถึงเรื่องจะมัดไว้ก่อนหรือจะฆ่าเสียเลย โจโฉซึ่งมีความระแวงภัยอย่แล้ว ก็ตกใจชักกระบี่วิ่งเข้าไปฟันพวกที่อย่ในครัวตาย แล้วก้เลยฆ่าครอบครัวของแปะเฉียตายหมดทั้งบ้านร่วมแปดคน ตันก๋งก็ตกใจวิ่งตามไปดูจึงเห็นหมูที่เขาจะฆ่าทำอาหารเลี้ยงถูกมัดดิ้นกระแด่วอย่ โจโฉจึงได้สติว่าตนใจเร็วทำผิดไปเสียแล้ว ขืนอย่ก็คงไม่รอด จึงชวนตันก๋งเผ่นขึ้นม้าออกจากบ้านไปโดยเร็ว
แต่บังเอิญไปได้ไม่ไกลก็สวนทางกับแปะเฉีย ซึ่งกำลังจะกลับบ้าน แปะเฉียก็สงสัยว่าทำไมไม่อย่ค้างด้วยกัน โจโฉก็ว่ามีธุระร้อนที่จะต้องรีบไปก่อน แปะเฉียก็ไม่ว่าอะไร แต่พอชักม้าไปได้ไม่กี่ก้าว โจโฉฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงหวนกลับไปร้องเรียกแปะเฉียให้หยุด แล้วก้เอากระบี่ฟันแปะเฉียตกจากม้าตายคาที่
ตันก๋งก็ว่าทำไมจึงทำเช่นนี้ เมื่อกี้ก็ฆ่าคนในครอบครัวเขาตายไปทั้งบ้าน ก็นับว่าเลวอย่แล้ว คราวนี้กลับมาฆ่าเจ้าบ้านผ้มีคุณเสียอีก ก็ยิ่งเลวหนักขึ้น โจโฉก็ว่าที่ฆ่าคนในบ้านนั้นเพราะเข้าใจผิด แต่ถ้าปล่อยให้แปะเฉียกลับไปบ้านได้ ความก็จะแตกแล้วเราสองคนก็จะถูกไล่ล่า ทำให้งานใหญ่ที่อย่ข้างหน้าไม่สำเร็จ ตนจึงฆ่าแปะเฉียเพื่อปิดปากเสีย เราจะได้รอดพ้นความผิดไป
ตันก๋งก็ไม่เห็นด้วยแต่เกรงใจในฐานะที่ตัวด้อยกว่า จึงไม่กล้าว่ากล่าวต่อไป จนถึงศาลาพักคนเดินทาง ก็พากันเข้าไปอาศัยนอน ตันก๋งลงความเห็นว่าโจโฉเป็นคนเลว ฆ่าผ้บริสุทธิ์ได้อย่างเหี้ยมโหด ไม่สมควรที่จะคบต่อไป จึงปลีกตัวเดินทางหนีไปในคืนนั้น
เมื่อโจโฉตื่นขึ้นตอนเช้า ไม่เห็นตันก๋งก็ร้ว่าตนก๋งคิดอย่างไร แต่ก็ไม่สนใจนักมุ่งหน้าที่จะไปทำงานใหญ่ที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จมากกว่า จึงออกเดินทางไปเมืองตันลิวแต่ผ้เดียว.
นี่ก็เป็นวิบากกรรมของโจโฉอีกครั้งหนึ่ง จะถูกหรือผิดก็ตาม แต่ก็เกิดประโยคที่เด่นดังขึ้นมาว่า
"ธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ ย่อมจะรักษาตัวมิให้ผ้อื่นคิดร้ายได้"
และจะตรงกับสำนวนของท่าน สุนทรภ่ ที่ว่า
"ร้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" หรือเปล่าก็ไม่ทราบ
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
5 ก.พ. 48 08:45:29
A:61.90.14.127 X:
]