CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ตัวยุ่งกับถุงวิเศษ 3 (ชายพเนจร)

    ต่อจาก
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3276788/W3276788.html

    ผ่านกาลเวลาอันยาวนาน ชายผู้หนึ่งผู้ซึ่งมีร่างกายกำยำล่ำสัน มีกำลังมาก ได้ร่อนเร่หาอาจารย์มากมายเพื่อฝึกฝนการใช้ร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่อาจารย์ที่เจอมาล้วนแล้วแต่สอนวิชาการต่อสู้ให้เขา แม้เขาจะรู้ว่าการใช้กำลังทำร้ายกันมันไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็มิรู้จะทำเช่นไร อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าโลกนี้จะมีอาจารย์ที่สอนได้นอกจากนี้ไหม แม้เขาจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราววิธีการใช้ร่างกายไปในทางอื่นที่เป็นประโยชน์มาบ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาหายสงสัยได้ว่านั่นคือสิ่งที่ทำได้จริง เพราะแม้แต่สักคนที่ทำได้เช่นนั้นเขาก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน

    เมื่อเป็นเช่นนี้และเพราะเขาเป็นผู้ชอบแสวงหา เขาจึงร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ต่าง ๆ มากมายไปด้วยความจำใจ และส่วนมากก็ร่ำเรียนเพราะมิตรสหายพาไป แต่ก็ยังคงที่จะคอยสอดส่องหาเรื่องราวของการฝึกฝนร่างกายแบบอื่น ๆ อยู่ จนในที่สุดด้วยวิชาการต่อสู้ที่สั่งสมมามากมายและสิ่งแวดล้อมที่มีแต่เรื่องแบบนี้ อาการร้อนวิชาจึงเกิดขึ้น

    เมื่อใดที่เขาเห็นใครสะพายดาบมา เขาก็เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากจะปะดาบด้วย เมื่อใดที่เห็นคนที่เป็นหมัดมวย เขาก็รู้สึกอยากชกต่อยด้วย จนในที่สุดแม้แต่คนธรรมดาที่ไม่รู้วิชาการต่อสู้อะไรเลย เขาก็อยากจะทดลองฟันดาบให้คน ๆ นั้นคอขาดกระเด็นไป

    วิชาการต่อสู้มากมายที่ร่ำเรียนมาด้วยความจำใจ แต่ไม่ได้แสดงออก เพราะความรู้สึกขัดแย้งว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี จนกระทั่งเมื่อเขาได้ไปศึกษาวิชาการต่อสู้ในสำนักแห่งหนึ่ง เขาได้มีโอกาสพบเห็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาท่านหนึ่ง ซึ่งวัน ๆ เอาแต่สอนทฤษฎีที่ไม่มีศิษย์คนไหนอยากฟัง เพียงแต่ฟังผ่าน ๆ ไปเท่านั้น แต่สิ่งที่สะกิดใจชายคนนี้ก็คือ วิชาทิ้งดาบ ซึ่งอาจารย์ท่านนั้นได้บอกว่าท่านทำสำเร็จแล้ว การทิ้งดาบที่ง่าย ๆ แต่ยากสำหรับนักสู้ เพราะถ้าดาบห่างตัวเมื่อไร ก็เหมือนกับชีวิตของนักสู้จะต้องขาดสะบั้น

    อาจารย์ท่านนั้นได้บอกว่า เราไม่จำเป็นที่จะต้องตัดใจทิ้งไปให้ได้ในทีเดียว แต่ให้เริ่มต้นง่าย ๆ เช่น แทนที่จะเหน็บเอวไว้ ก็เปลี่ยนเอามาถือ ทำบ่อย ๆ จนคิดว่าทำได้มากกว่านั้น แทนที่จะถือก็วางไว้ข้างตัว แทนที่จะไว้ข้างตัว ก็ให้มันไกลตัวเสียบ้าง จนในที่สุดเมื่อรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีดาบอยู่ข้างตัวแล้วก็ตัดสินใจทิ้งได้ทันที

    ชายคนนั้นตั้งใจฟังอย่างแปลกประหลาดใจ “มีคนทำได้จริง ๆ หรือ” ความคิดคำนึงชั่ววูบที่เกิดขึ้นในใจของเขา ก่อนที่เขาจะหันกลับไปสนใจอย่างอื่น ปล่อยให้อาจารย์ท่านนั้นสอนวิชาน่าเบื่อต่อไป

    เมื่อเขาได้ร่ำเรียนวิชามาจนมากพอแล้ว เขาก็ออกเดินทางไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดหมาย ตลอดเส้นทางที่ผ่านไปในใจยังคิดคำนึงสับสนอยู่ว่าชีวิตที่ผ่านมาเขาได้ทำอะไรไปบ้าง เขาเริ่มรู้แล้วว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ เขาเริ่มคิดจะทิ้งดาบ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะทิ้งไปทำไม เพื่อประโยชน์อะไร รู้แต่ว่าเขาไม่อยากใช้วิชาการต่อสู้ที่เขามีอยู่เต็มตัวนี้ไปทำร้ายใคร จนในที่สุดเมื่อเขาเดินผ่านไปยังเมือง ๆ หนึ่ง สายตาได้เหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ที่แปะอยู่ข้างกำแพงเมือง เขาเดินเข้าไปดู กระดาษแผ่นนั้นมีข้อความสั้น ๆ เขียนไว้ว่า

    “คนปกติ ไม่พกดาบ”

    “อา...” – ชายพเนจรอุทาน
    “ใช่แล้วคนปกติไม่พกดาบ เราอยากเป็นคนปกติ เราไม่อยากเป็นนักสู้ที่กระหายเลือด”

    ตั้งแต่นั้นมาชายพเนจรก็เริ่มฝึกหัดที่จะทิ้งดาบ โดยเริ่มพยายามเอาดาบมาถือไว้ในมือแทนที่จะพกไว้ที่เอว เขาพบว่าเขาทำได้ แม้จะต้องฝืนใจหน่อย เพราะกลัวจะเผลอวางไว้ เขาทำอย่างนี้อยู่นานหลายปี จนกระทั่งเขาแทบจะไม่ต้องพกดาบไปไหนมาไหนอีก แต่ว่าใจก็ยังคิดเป็นห่วงดาบอยู่ดี เพราะเป็นของสำคัญของนักสู้ ซึ่งเขาก็พยายามเก็บดาบไว้อย่างดีในที่ปลอดภัยจากมือคน และปลอดภัยเพียงพอที่เขาจะไม่อยากจับดาบขึ้นมาอีก

    แต่เขากลับรู้สึกกดดันแปลก ๆ กับสภาพแวดล้อมที่รอบตัวมีแต่นักสู้ เดินไปไหนก็ไม่พ้น จนเขาคิดว่าโลกนี้คงไม่มีคนปกติแล้วกระมัง แต่เอาเถอะ ถ้ามันไม่มีเขาก็จะยอมเป็นคนปกติคนเดียวในโลก เขาไม่อยากพลาดพลั้งมือไปทำร้ายใคร

    แล้วในที่สุด สิ่งที่เขาตามหามาตลอดทั้งชีวิตก็วิ่งมาหาเขาอย่างตั้งตัวไม่ทัน เขาเดินไปในเมืองเที่ยวชมดูสิ่งของอยู่ในตลาด ไปหยุดอยู่ที่แผงขายของแผงหนึ่งรวมกับกลุ่มคนที่มุงดูอยู่ที่แผงนั้น พลันก็มีหญิงสาวคนหนึ่งหันมาพูดกับเขาว่า

    “ท่าน ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน ท่านดูแข็งแรงดี วันมะรืนท่านว่างไหม ท่านสนใจจะไปช่วยกันสร้างถนนไหม” – หญิงสาวเหมือนจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา

    ชายพเนจรทำหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่หญิงสาวชักชวน เป็นคำชวนที่แปลกที่สุดที่เคยได้ยินมาในชีวิต เป็นคำชวนไปทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากการต่อสู้ ชายพเนจรรู้สึกสนใจ แต่ด้วยคนชวนเป็นสตรีเพศทั้งเกรงใจและความที่เป็นเขาคนไม่ค่อยพูด จึงตอบไปแต่เพียงว่า

    “วันมะรืน ข้าว่าง”

    ดูเหมือนคำตอบนี้จะไม่เพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวเข้าใจเจตนาของชายพเนจรได้ถูกต้อง อีกทั้งหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนว่าคงไม่มีใครอยากไปหรอก ทั้งสองจึงจบบทสนทนาไว้แต่เพียงนั้น แล้วต่างก็แยกย้ายกันไป

    วันต่อมา หญิงสาวได้เจอชายพเนจรอีก

    “ท่าน ท่านสนใจจะไปเยี่ยมชมสำนักอาจารย์ข้าไหม สำนักอาจารย์ข้าสอนเรื่องความเป็นคน” – การพบปะกันครั้งที่สองยังคงเป็นคำเชิญชวน

    ชายพเนจรนิ่งเงียบ ยิ้มนิด ๆ ยังคงรักษามาด

    “ถ้ายังไงท่านแวะไปดูก่อนก็ได้นะ อยู่เลยตลาดนี่ไปนิดเดียวเอง”

    ชายพเนจรรับคำ แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปอีก

    ด้วยความสนใจและความฉงนใจ ชายพเนจรจึงเดินผ่านไปแวะดูสำนักแห่งนั้นอยู่ห่าง ๆ ด้วยความรู้สึกรักษาเชิงของนักสู้ไว้บ้าง เดินวนอยู่หลายรอบแล้วก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไป วันต่อมาหญิงสาวก็ได้เจอชายพเนจรอีก

    “ท่าน ๆ ท่านสนใจที่จะบำเพ็ญพรตไหม” – คำชักชวนจากหญิงสาวอีกตามเดิม
    “มันเป็นยังไงล่ะ” – ชายพเนจรถามตอบ

    “บำเพ็ญพรตเป็นการบูชาบูรพาจารย์สรรพวิชาน่ะท่าน” – หญิงสาวยังคงคิดว่าเป็นคำเชิญชวนที่ไม่น่าสนใจ
    “ข้าไม่ค่อยว่างน่ะ คงต้องดูก่อนนะ ขอบใจเจ้ามาก”

    หลังจากชายพเนจรให้คำตอบเสร็จ หญิงสาวก็ขอตัวลาไป แต่คราวนี้ชายพเนจรรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างกับคำเชิญชวนเหล่านี้ เป็นครั้งแรกที่มีคนมาชวนในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้ แถมยังเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

    คราวนี้หลังจากที่ชายพเนจรได้หยุดคิดอยู่นานหลายวันแล้ว ก็ตัดสินใจได้ว่าจะลองไปบำเพ็ญพรตดู แต่ยังคงไปด้วยอาการกร่าง ๆ แบบนักสู้อยู่ เขาเดินเข้าไปในสำนักนั้น แล้วก็มองหาผู้คน เดินวนไปวนมาด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองเหมาะกับการกระทำเช่นนี้หรือไม่ จนในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้า สลัดความกังวลในสิ่งที่กั้นความอยากรู้ออกไปจนหมด แล้วเดินเข้าไปในตำหนักกลางของสำนักนั้น

    ต่อกระทู้หน้า...

    จากคุณ : เพียงพอ - [ 7 ก.พ. 48 01:59:06 A:203.156.67.32 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป