สุขสันต์วันแห่งความรัก
โปรโตซัว
วันนี้ผมลุกขึ้นจากที่นอนเร็วกว่าปกติ
นาฬิกาปลุกรูปไก่ย่างที่หัวเตียงบอกเวลาเพียงสิบโมงเศษๆ เท่านั้น...
ผมไม่เคยตื่นเช้าอย่างนี้มาก่อนเลย มันเหมือนกับมีความรู้สึกบางอย่างพยายามเร่งเร้าผม จนผมไม่สามารถทนนอนต่อบนที่นอนอันแสนอบอุ่นในยามสายอย่างนี้ได้เหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา
ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว
หรือว่า
อาจจะเป็นเพราะ
ใช่สินะ
วันนี้เป็นวันครบหนึ่งปีเต็มพอดี นับตั้งแต่วันนั้น วันที่ผมไม่มีวันลืมเลือนไปจากความทรงจำของผมได้
แน่นอน มันคือวันนี้
วันที่ 14 กุมภาพันธ์
วั น แ ห่ ง ค ว า ม รั ก
ในที่สุด
วันเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึงจนได้
ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา
ผมต้องทนอยู่ไปวัน ๆ เหมือนกับคนที่มีบางสิ่งขาดหายไปในชีวิต และเธอนั่นเอง คือสิ่งเดียว ที่จะช่วยเติมเต็มบางสิ่งที่ว่านั้นได้
เธอคือคนรักเพียงคนเดียวของผมตลอดเวลา 27 ปีที่ผมมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ถ้าไม่นับจูเลีย โรเบิร์ตและวีโนน่า ไรเด้อร์ ที่ผมคงได้แต่แอบหลงรักพวกเธออยู่เพียงลึก ๆ ข้างในเท่านั้น
เพราะผมรู้อยู่แก่ใจเสมอ ว่าเราไม่มีวันรักกันได้หรอก ผมอยู่เมืองไทย ส่วนเธออยู่ไกลถึงอเมริกาโน่นแน่ะ เราอยู่ห่างกันเกินไป จะเจอกันบ่อย ๆ ก็คงไม่ได้ และอีกอย่างผมก็ไม่ชอบสังคมฮอลลีวู้ดด้วย
นอกนั้นแล้ว ผมไม่เคยมีใครนอกจากเธอเลยจริงๆ
สาบานก็ได้
แต่สำหรับวันนี้และเวลานี้ เธอได้กลายเป็นอดีตคนรักของผมไปเสียแล้ว
จะให้อธิบายอะไรอีกล่ะคะ พี่วาก็รู้ดีแก่ใจแล้วนี่
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เธอพูดทิ้งไว้ก่อนที่เธอจะออกไปจากชีวิตของผม
เธอเดินจากผมไปโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ ทั้ง ๆ ที่มันน่าจะมีบ้าง เช่น เราเข้ากันไม่ได้นะ หรือพี่ไม่หล่อ หนูไม่สวย น้องหน้าหมวยดี แต่พี่หน้าตี๋ไป เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ก็ว่ามา อะไรทำนองนี้
แต่เธอกลับขอร้องให้ผมเข้าใจเธออย่างเดียว แถมยังบอกว่าผมรู้ดีแก่ใจเสียด้วย ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหากเธอไม่อธิบาย ผมจะไปเข้าใจเธอได้ยังไง และเธอรู้ได้ยังไงว่าผมรู้ดีแก่ใจ ไม่เห็นเธอเคยถามผมสักคำ หรืออาจเป็นเพราะเธอขี้เกียจคิด หรือไม่ก็คงไม่มีคำอธิบายจริง ๆ ก็ได้
เลยทำเป็นโมเมโยนความผิดให้ผมรับผิดชอบไป เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็คงอธิบายไปแล้ว
และจากวันนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่มีโอกาสได้พบเธออีกเลย
เธอทำตัวห่างเหินผมออกไปเรื่อย ๆ เธอเอาแต่หลบหน้าผม แม้กระทั่งโทรศัพท์เธอก็ไม่ยอมรับสาย จดหมายเธอก็ไม่ยอมอ่าน นี่ยังไม่รวมถึงโทรเลขและอีเมล์นะ ที่เธอปฏิเสธการติดต่อทั้งหมดจากผม
แถมยังยื่นคำขาดโดยการห้ามไม่ให้ผมติดต่อกับเธอไม่ว่าจะเป็นทางใด ไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้าน หลังบ้านหรือข้างบ้านก็ตาม
และถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ผมจงลืมเธอไปจากความทรงจำเสียเลยก็ยิ่งดี
ผมทำอะไรผิดมากมายนักหรือไง
ทำไม?
เธอถึงได้รังเกียจผมขนาดนั้นนะ
แต่ถึงยังไงผมก็ไม่โกรธเธอหรอก ผมให้อภัยเธอเสมอ และนั่นเองที่ทำให้ผมพยายามเข้าใจเธอ(โดยไม่มีคำอธิบาย)มาตลอด นับตั้งแต่วันนั้น
จนกระทั่งถึงวันนี้ วันครบรอบหนึ่งปีเต็มที่เธอจากผมไป มันนานพอแล้วที่ผมจำต้องทนพยายามเข้าใจเธอ(โดยไม่มีคำอธิบาย) และคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะกลับไปขอคืนความทรงจำเก่า ๆ ระหว่างผมกับเธอ
วันเวลาอันขมขื่นและแสนยาวนานกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว วันนี้ผมจะไปพบเธอเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เธอจากผมไปและเราจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง ในวันที่มีความหมายดี ๆ อย่างวันนี้
และเมื่อพูดถึงวันนี้ ก็ยิ่งทำให้ผมนึกถึงวันนี้เมื่อหลายปีก่อน สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับเธอ
สุนิสา
เธอเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม แต่อยู่คนละคณะกัน ตอนที่เธอเข้ามาเป็นน้องใหม่นั้น ผมเรียนอยู่ปี 3 แล้ว
เธอมีชื่อเล่นว่า ลูกหยี และเธอก็มีตาที่หยีสมชื่อจริงๆ แต่ถึงยังไงเธอก็ยังดูโดดเด่นกว่ารุ่นน้องคนอื่น ๆ ในสายตาของผมอยู่ดี เพราะถึงแม้เธอจะเป็นผู้หญิงที่แลดูน่ารักน่าทะนุถนอมมากกว่าที่จะใช้คำว่าสวยก็ตาม แต่ด้วยหน้าตาที่ใสบริสุทธิ์ ประกอบกับรูปร่างที่ดูกะทัดรัด แถมเธอยังเป็นคนนิสัยน่ารักอีกต่างหาก ก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอมีเสน่ห์ดึงดูดต่อเพศตรงข้ามได้มากที่สุดในตอนนั้น
โดยเฉพาะผม
รุ่นพี่ที่อยู่คณะเดียวกันและต่างคณะ ก็ตามจีบเธอกันทั้งนั้น ผมก็เคยคิดจะร่วมวงกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพอ เลยได้แค่แอบมองเธออยู่ห่างๆ
แต่จะด้วยความบังเอิญหรือด้วยอะไรก็ตามที ในที่สุดผมก็สามารถเอาชนะใจเธอ และได้เธอมาเป็นแฟนของผมจนได้
บ้านของเราอยู่ซอยเดียวกัน เราสองคนจึงพบกันทุกวันที่ป้ายรถเมล์ ผมแอบมองเธอมานานแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ผมได้พบเธอ ซึ่งเธอเองก็คงพอรู้อยู่บ้าง เพราะผมเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่ค่อยเป็น
พี่คะ
รถเมล์มาแล้วค่ะ
เธอจะร้องเตือนผมเสมอ เมื่อรถเมล์สายที่เราสองคนกำลังรอ แล่นใกล้เข้ามา
อุ๊ย!
แหก เฮ้ย!
ไม่ใช่
รถมาแล้วหรือครับ
ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ แล้วรีบหันกลับไปมองทางที่รถเมล์วิ่งมาอย่างลุกลี้ลุกลน จนเธออดอมยิ้มในท่าทางเปิ่น ๆ ของผมไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ผมรอรถเมล์ผมจะแอบมองเธอเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งเธอจะอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับรถเมล์ที่กำลังแล่นเข้ามาก็ตาม พูดง่าย ๆ ก็คือผมแอบมองเธอแบบโจ๋งครึ่มเลยก็ว่าได้ ก็บอกแล้วไงว่าผมเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่ค่อยเป็น
ดังนั้นเวลาที่ผมแอบมองเธอ มันจึงง่ายมากที่เธอจะรู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองเธออยู่ และตรงนี้นั่นเองที่เป็นเสน่ห์ของผม เธอบอกว่าผมดูจริงใจดี คิดอะไรก็ทำอย่างนั้น ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรแอบแฝง จนทำให้เธอเริ่มชอบผม
และหลังจากนั้นไม่นานเราสองคนก็กลายเป็นแฟนกัน
อ่านต่อ...ตอน 2
จากคุณ :
โปรโตซัว อิน เลิฟ
- [
15 ก.พ. 48 17:21:14
A:202.176.109.172 X:
]