CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ********__________เมืองแม่พระ_________*********

    เมืองแม่พระ……………………………..โดย song982
    *****************************************************************“



              ถามจริงๆ เถิดพี่ชาย   บ้านเมืองพี่เค้านับถือผีหรือนับถือพระกันแน่”

    น้องชายของเธอถามขึ้นขณะรับอาสานั่งจ้องเขาอย่างไม่กระพริบตา แถมยังบังคับให้มองแต่หน้ามัน ห้ามหันไปทางอื่น  เพราะพี่สาวและแม่ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

    “ก็บอกแล้วไงว่านับถือพระ  นับถือพระพุทธศาสนากันทั้งนั้น”

    เมื่อเห็นเด็กชายทำท่าไม่เชื่อ จึงจับเหรียญที่คล้องอยู่มาพลิกให้ดู

    “นี่ไง…ถ้านับถือศาสนาอื่น ใครเขาจะให้เอาพระเครื่องมาห้อยคอ…นี่พระปางเลย์ไลย์เข้าป่าเข้าดงดีทางเมตตาเขี้ยวงาไม่ขบกัด”  แล้วก็พลิกอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านที่ใช้แขวนออกหน้าให้ดู  “นี่รูปหลวงพ่อแคล้ว ดีนักทางแคล้วคลาดรอดพ้นภยันตราย…ไม่งั้นคงไม่รอดตายมาให้เอ็งนั่งซักนั่งถามอยู่นี่หรอก”

    คนตั้งใจฟังส่ายหัวดิก แถมยังแสดงสีหน้าเหมือนกำลังปลงสังเวชอะไรบางอย่าง  

    “แล้วท่องนะโมได้ไหม…ธัมมจักกัปปวัตนสูตรล่ะ…ท่องได้แปลได้ไหม”  มันยิ่งถามเหมือนคาดคั้น

    “เฮ่ย!…อย่ามาลองภูมิกันหน่อยเลย  นะโมน่ะใครๆ ก็ท่องได้..ธรรมจักรอะไรนั่นเอ็งไปเอามาจากไหนเรื่องของพระของเจ้าเขา  อย่างเราๆ มันต้องชินบัญชร…คาถาสารพัดนึก”

    คนถามเลยยิ่งเกาหัวแกรก  แล้วย้ำคำถาม “…แล้ว…แปลได้ไหม…”

    “แค่ท่องได้ก็แทบแย่…ยังจะให้แปลอีกหรือ”  เขาแย้ง

    “ก็พี่ชายบอกนับถือพระนับถือพุทธแล้วทำไมแปลนะโมไม่ได้  เอารูปใครก็ไม่รู้มาแขวนคอบอกว่าช่วยคุ้มครองต่างต่างนานา”  มันยื่นนิ้วมาเขี่ยๆ พระเครื่องที่ห้อยคอ  “เลี่ยมทองซะด้วยนะ….”

    “เอ๊ะ!…ไอ้นี่ ไม่เคยเห็นพระหรือไงวะ  ก็ไหนบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองแม่พระ”

    “ ที่นี่เค้าไม่ยกเอาอิฐหินดินทรายแร่โลหะอะไรมายึดถือบูชาเป็นที่พึ่งหรอก…เค้ายึดพระธรรมเป็นสรณะกันทั้งนั้น…พี่ชายนี่สงสัยจะงมงายมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนซะหละมั้ง…ก็ไหนว่าอยู่กรุงเทพๆ…ชิ”

    น้ำเสียงนั้นแกล้งทำเป็นโมโหมากกว่าจะจริงจัง   จนเหลือบไปเห็นผู้เป็นแม่เดินเข้ามาใกล้ หางเสียงจึงอ่อนลงอีกมาก  

    “อย่าไปถือสามันเลยจ๊ะ  เจ้าศีลมันล้นอย่างนี้เอง…มีอย่างที่ไหนมานั่งสงสัยในพระธรรมคำสอน…”

    “วินัยสงฆ์ต่างหาก…”  เจ้าศีลรีบแก้

    “นั่นแหละ…หาข้ออ้างไปเรื่อย..นี่ก็อิดๆ ออดๆ ว่ายังไม่อยากจะบวชเลยรอบนักษัตรมาจะชนปีอยู่รอมร่อ   เขาว่ายังไม่เข้าใจหัวข้อธรรมที่ทรงแสดงปฐมเทศนาไว้ที่ป่าอิสิฯ  กลัวจะอายเพื่อนๆ ถ้ายังขบมรรคแปดไม่แตก“  

    ผู้พูดเป็นสตรีวัยใกล้ชรา  แม้ริ้วรอยแห่งวัยจะบอกชัดว่าผ่านการตรากตรำมาหนักหนาขนาดไหน  แต่สีหน้าและแววตาที่ทอทอดออกมานั้นช่างแจ่มใส  จนทำให้พลอยรู้สึกอิ่มใจไปด้วยทุกครั้งที่สบสายตา  แต่สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นเขาเข้าใจได้เพียงบางส่วน  อาการมองหน้าเจ้าเด็กน้อยสลับไปมากับหน้าผู้เป็นแม่จึงถูกตัดบทด้วยเสียงนุ่มกังวานอีกครั้ง

    “ถ้าพ่อหนุ่มพอลุกไหวแล้ว ป้าว่าออกไปใส่บาตรกันดีกว่าจ้ะ  วันนี้วันสุดท้ายก่อนท่านจะเข้ากรรมทำพิธีนวกสมโภช…ป้าไม่มีเสื้อผ้าผู้ชายตัวใหญ่ๆ เสียด้วย  เสื้อตัวในสีขาวนั่นแก้วเขาซักแล้วก็อังไฟไว้จนแห้ง เหลือแต่กางเกง….ป้าว่าเธอนุ่งผ้าโจงนี่ก็แล้วกันนะ”

    หญิงเจ้าของเรือนยังคงไว้ด้วยอัธยาศัยไมตรีเหมือนน้ำคำตั้งแต่แรกที่เขาฟื้นตื่น   ยื่นผ้าขาวพับหนึ่งพร้อมกับเสื้อยืดสีขาวที่เขาสวมติดตัวมาให้

    “ศีลพาพี่ชายเขาไปอาบน้ำเสียก่อน..เราก็อาบพร้อมเขาด้วยเลยนะ  ผลัดเสื้อผลัดผ้าเสร็จก็ตามออกไปที่ถนน”  คำบอกกล่าวรวบรัดชัดเจน  

    ไอ้ศีลต้องคุมเขาไปถึงที่อาบน้ำ…


    “แค่ใส่บาตรทำไมต้องทำเป็นพิธีการใหญ่โตด้วยล่ะศีล”  

    “เราก็ทำอย่างนี้กันทุกวัน  จะทำบุญตักบาตรก็ต้องชำระกายชำระใจให้บริสุทธิ์เสียก่อน…หรือว่าคนบ้านพี่ชายเขาไม่ทำกันอย่างนี้….”  เด็กชายพูดเรื่อยๆ คำย้อนถามก็ไม่เชิงกระทบกระเทียบกระไรนัก

    “แล้วพ่อของศีลล่ะ…เอ่อ…ไม่มาตักบาตรด้วยกันหรอกหรือ”  เขาเคยขยับจะถามหลายครั้งว่าผู้ที่ควรจะเป็นนายบ้านหายไปไหน  

    “พ่อคืออะไร….พวกเราเป็นพุทธบุตร  เกิดมาใต้ร่มพระพุทธศาสนา  มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่ปรึกษา”   น้ำเสียงนั้นไม่ได้เจือแววโป้ปดอะไรไว้เลย

    “อ้าว…ไม่มีพ่อจะเกิดมาได้ยังไง”  ถึงเขาจะสงสัยขนาดไหน ว่าคนบ้านนี้เลี้ยงดูกันมายังไง ก็ยังได้แต่เพียงตั้งคำถามเรียบๆ  โดยทำลืมความกระหายใคร่รู้นั้นไว้ชั่วคราว

    “ก็พิธีนวกสมโภชไงเล่า…นี่พี่ชายไม่รู้อะไรเลยหรือ…ถามจริงๆ  พี่ชายนับถือพระแน่หรือ”

    “เอาเถอะๆ…แค่อาบน้ำผลัดผ้าใช่ไหม…เอ็งออกไปรอข้างนอกก่อน”

    เขารุนหัวเด็กชายวัยใกล้จะรุ่นให้ออกมายืนหลังบังตา  เมื่อเห็นว่าเจ้าศีลทำท่าจะถอดเสื้อถอดกางเกงอาบพร้อมกัน

    “ทำไมต้องรอด้วยเล่า…เดี๋ยวแม่ก็ดุเอาหรอก  แม่ให้มาอาบน้ำพร้อมกับพี่ชาย”

    “ก็มันไม่มีผ้าอาบน้ำ...ต้องแก้ผ้าอาบจะอาบพร้อมกันได้ยังไง”

    “ใครเขานุ่งผ้าอาบกันบ้างล่ะนอกจากพวกพระ…พี่ชายนี่แปลกคน”

    “เออ…อาบก็อาบ…คบเด็กสร้างบ้านก็หยั่งงี้”  

    เขาขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป  จึงค่อยๆ ถอดกางเกงพาดไว้ให้พ้นน้ำ


    เจ้าศีลยังไม่พูดอะไรอีกเลยเมื่อตอนที่ใส่บาตรเณรรูปสุดท้าย  แถวพระซึ่งเว้นระยะห่างกันพอสมควรทำให้พี่สาวมีเวลาพอจะหันมาถามต้นสายปลายเหตุ

    “เป็นอะไรไม่พูดไม่จา…”  หญิงสาววัยอ่อนกว่าเขาไม่มากนักถามน้องชายอย่างล้อๆ
    มันเงยหน้ามองหน้าพี่สาว แล้วก็เลยไปสบตากับเขา ก่อนจะก้มหน้างุด  พึมพำท่องบ่นอะไรเบาๆ

    “อ้อ…เช้าๆ เห็นผ้าเหลืองเข้าหน่อยละก้อ ทำเป็นท่องขานนาคอยากจะบวชข้ามขั้นจนเนื้อเต้น  พอตกบ่ายหละปุเลงๆ เข้ารกเข้าพงลืมหมดหิริโอตตัปปะปาณาติปาตา…”  

    ผู้เป็นพี่สาวแม้รูปหน้าจะสวยเหมือนวาด  แต่น้ำเสียงกลับไม่กังวานใสเหมือนแม่ แววตาก็เจือความหมองหม่นจนเขาจับสังเกตได้  การพูดเล่นหัวกับน้องชายก็คล้ายกำลังกลบเกลือนความรู้สึกของตนเองมากกว่าจะตั้งใจตักเตือนจริงจัง

    น้องชายหน้าแดงถึงใบหู ขยับตัวออกไปชิดกับผู้เป็นแม่  ท่าทางเหมือนกลัวเกรงอะไรในตัวเขาขึ้นมาฉับพลัน  สตรีสูงวัยลูบหัวลูกชายเบาๆ พร้อมเรียกขวัญ  แล้วเงยหน้าขึ้นมากล่าวขอโทษชายหนุ่มผู้มาเยือนอย่างเกรงใจ

    “ศีลมันขาดๆ เกินๆ อย่างนี้เอง อย่าไปถือสาเลยนะ  นี่ก็อยากให้เขาบวชเณรแต่เนิ่นๆ เลยเกณฑ์มาพรรษาหนึ่งแล้วก็ยังไม่ยอม  ป้าหวังจะเกาะชายผ้าเหลืองเหมือนอย่างลูกชายคนอื่นเขาบ้างก็ต้องคอยง้อคอยโอ๋  แค่ไม่ได้คนโตเป็นลูกชายนี่ก็บาปนักหนา..เขายังจะมาทำท่าเหมือนจะบวชพระไม่ได้เสียอีก”

    ถ้อยคำที่เอ่ยทำให้ทั้งกลุ่มนิ่งเงียบลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ผู้พูดเงียบไปราวกับกำลังปลงใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิด  พี่สาวยิ่งสีหน้าสลดลงคล้ายกับเชื่อว่าตนเองเป็นตัวบาปอย่างที่ผู้เป็นแม่กล่าวหาจริงๆ ส่วนน้องชายก็ไม่พูดไม่จาอะไร เสไปชะเง้อชะแง้ดูแถวพระที่กำลังเดินเข้ามาใกล้  เขาจึงยิ่งรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก

    ตอนแรกที่ก้าวเข้ามาสมทบ อารมณ์ครึกครื้นที่เจ้าศีลทำท่าตกอกตกใจตอนอาบน้ำด้วยกันยังไม่คลาย  ความอิ่มเอิบเบิกบานยิ่งแผ่ซ่านเมื่อเห็นว่าตลอดแนวถนนนั้นเนืองแน่นพรั่งพร้อมไปด้วยผู้คน ทั้งเด็กหญิงเด็กชาย  หญิงสาวและสตรีสูงวัย  แต่ละคนแต่ละครัวต่างนุ่งขาวห่มขาวยืนรอพระด้วยความสงบสำรวม พูดคุยกันแต่เพียงเบาๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

    แต่เมื่อกวาดสายตาไปทั่วถนนที่ทอดยาวจนลิบตานั้น  กลับไม่พบกับผู้ชายคนอื่นอีกเลย นอกจากเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับเจ้าศีลหรือไม่ก็อ่อนกว่า  จะคิดไปว่านี่เป็นเมืองลับแลในตำนานก็ไม่ใช่ เพราะลูกเด็กเล็กแดงหญิงชายก็มีเพียบพร้อม  ผู้หญิงที่เห็นทั้งหมดก็ไม่ได้มีใครมีท่าทีพึงใจในรูปร่างหน้าตาของเขาเลยสักคน  บางคนยังเมินหนีด้วยซ้ำ

    เขาได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ  แค่ป้าศรีกรุณาให้ที่พักที่กินกับคนหลงป่าไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้านี่ก็บุญนักหนาอยู่แล้ว  ตั้งใจไว้ว่าเมื่อสืบถามทิศทางดูให้แน่ แล้วก็จะบุกป่าฝ่าดงหาทางกลับไปที่ค่ายเอาเอง  ป่านนี้พวกนั้นคงเป็นห่วง  เดินสำรวจถ้ำโบราณอยู่ด้วยกันดีๆ  เขาดันผลุบหายลงไปในโพรงอะไรนั่นเสียเฉยๆ  กว่าจะกระเสือกกระสนมาสลบไสลที่หลังบ้านของทั้งสามคนที่กำลังตักบาตรอยู่ด้วยกันนี่ก็แทบเอาชีวิตไม่รอด


    “อ้าว!….พระพรเลยไปแล้ว  ทำไมแก้วไม่ใส่บาตรกับท่านล่ะลูก…แม่ไม่เห็นใครเหมาะสมไปกว่าท่านอีกแล้วนะ  หรือว่าแก้วอาราธนารูปอื่นไว้แล้ว”  ป้าศรีถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจนัก

    แก้วส่ายหน้าน้อยๆ แล้วก็ยืนนิ่งในขณะที่เจ้าศีลยืนยิ้มกริ่ม   จนผู้เป็นแม่คงเอะใจฉวยแผ่นกระดาษขนาดฝ่ามือในมือลูกสาวมาดู  ก่อนจะหันไปทำตาเขียวใส่ลูกชาย

    “ทำไมทำอะไรอย่างนี้ล่ะศีล…กว่าช่างเขียนเขาจะเขียนให้เหมือน พี่เราต้องนั่งให้เขาวาดเป็นวันๆ แล้วมาต่อมาเติมอย่างนี้จะเอาไปใช้อะไรได้….ทำไมซนไม่เข้าเรื่องอย่างนี้หือ!”  

    หางเสียงนั้นไม่ได้ตวัดขึ้นสูงอยู่ที่คนกำลังโกรธควรเป็น   ลูกชายหน้าสลดลงเพียงนิดหนึ่ง ส่วนลูกสาวก็เริ่มปั้นข้าวใส่ในบาตรพระแถวถัดไปด้วยหน้านิ่งๆ   กว่าข้าวจะหมดขันเขาก็ต้องยืนรอยืนไหว้อยู่จนเกือบเมื่อย  ดูเหมือนว่าบรรดาแถวของพระที่ทยอยเดินมานั้นจะไม่มีที่สิ้นสุด  

    “ถึงร้อยแปดไหมศีล…”  ป้าศรีถามลูกชาย  เพราะตนเองเสียสมาธิไปตั้งแต่เรื่องไม่ได้ใส่บาตรรูปวาดกับพระหนุ่มที่หมายตา

    “แค่ร้อยหก..พี่แก้วเค้าใส่ให้พระพรตั้งปั้นเบ้อเริ่ม”   เจ้าศีลทำท่าประกอบ

    “งั้นก็ช่างเถิด….ตกลงว่าแก้วจะรับเป็นโยมอุปัฏฐากพระพรท่านตลอดช่วงนวกสมโภชใช่ไหม  แม่จะได้ตามไปนิมนต์ท่านไว้เสียก่อน  เรามันไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดต้องติดสลาก  พระพรท่านก็คงไม่ขัด…ถึงว่าเมื่อกี้ทำไมหยุดอยู่หลายอึดใจ  ท่านเป็นสงฆ์จะมาเลือกนั่นเลือกนี่อะไรได้…มันไม่งาม”

    “ฉันไม่อยากอุปัฏฐากใครเลยนะแม่  ยิ่งให้ติดบัตรหมายให้ท่านจับสลากเลือกเอานั้นยิ่งน่าขยะแขยง…ฉันว่า….”  หญิงสาวนิ่งไปนิดหนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำอธิบาย  แต่ผู้เป็นแม่ก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

    “แก้วเอ๋ย…การที่เจ้าเกิดมาเป็นลูกคนโต  มันก็เป็นบาปเป็นกรรมอยู่แล้วนะลูก  ทำไมถึงยังคิดอะไรอกุศลอัปมงคลอย่างนี้อีกเล่า  บุญกิริยาอะไรจะยิ่งใหญ่เท่าการได้ให้กำเนิดพุทธบุตรจากครรภ์ของเราเอง  อานิสงส์นั้นยิ่งใหญ่ขนาดเราไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้วนะลูกนะ”

    ลูกสาวเริ่มรินน้ำตา ก้มหน้าหลบสายตาเพื่อนบ้าน ขณะป้าศรียื่นคำขาด

    “ไม่รู้หละ…ตอนแม่ตามไปรับศีลรับพรที่วัด แม่จะกระซิบนิมนต์ท่านไว้  แล้วจะได้ถามหาท่านที่ยึดทางธุดงค์เป็นกิจว่ามีช่องทางเลาะลัดตัดป่าไปหมู่อื่นเมืองอื่นได้บ้างไหม  สายๆ แม่กลับมาก็เตรียมข้าวตูข้าวตังให้พ่อหนุ่มนี่เสียให้พร้อม  หลังเพลจะได้ฝากฝังให้ติดสอยห้อยตามท่านไปด้วยเลย”  อย่าว่าแต่ผู้พูดเลยที่ไม่เคยรับแขกแปลกหน้า ผู้คนทั้งเมืองนี้ก็เหมือนกัน  เพราะเมืองนี้เป็นเมืองปิด มีทั้งหน้าผา ป่าทึบ และธารน้ำลึกเชี่ยวกรากขวางกั้น  เวลาใครแปลกหน้าเข้ามาก็ต้องหันไปปรึกษาท่านพระคุณเจ้าเจ้าวัด  ว่าท่านเห็นควรจะจัดการอย่างไร

    ทั้งหมดยืนสำรวมกายรอจนแถวพระทั้งหมดค่อยทยอยผ่านเข้าในกำแพงสูงใหญ่โน่นไป แล้วป้าศรีจึงค่อยเข้าขบวนกลุ่มหญิงชรากลุ่มใหญ่เดินตามไปห่างๆ  

    “ท่านมาจากไหนกันเยอะแยะ…ตอนออกจากวัดนั่นไม่ได้ออกทางนี้หรือ”

    เขาถามขึ้นลอยๆ ตอนเดินกลับเข้าบ้าน  แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบ  

    เมื่อกลับมาถึงบ้านจนทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา  กินข้าวกินปลาเสร็จสรรพ   ผู้เป็นพี่สาวจึงเอ่ยถามเป็นครั้งแรก ที่ได้ตั้งใจพูดจากันตรงๆ

    “ที่ที่พี่ชายมา...ที่ว่านับถือพระพุทธศาสนาเขามีพิธีนวกสมโภชเหมือนอย่างที่นี่ไหมจ๊ะ”

    เธอเลียนคำเรียกขานจากน้องชาย และเลียนการลงหางเสียงมาจากแม่ได้หวานสนิท

    “ผมยังไม่รู้เลยว่า นะ-วะ-กะ-สม-โภช  ที่ว่านี่คืออะไร  ท่าทางจะเป็นพิธีสำคัญมาก”

    เขาทอดเสียงชื่อเรียกพิธีช้าชัดกว่าปกติ พยายามแปลให้ได้เพราะแต่ละคำมันคุ้นหู ความหมายมันติดอยู่แค่ริมฝีปากแต่ก็ยังแปลออกมาชัดๆ ไม่ได้

    ผลของคำถามทำให้ใบหน้าของหญิงสาวกลับแดงซ่านขึ้นมาจนเห็นได้ชัด  ผู้เป็นน้องชายเลยชิงอธิบายแทนชัดถ้อยชัดคำ คงลืมเรื่องที่เพิงอาบน้ำไปแล้ว

    “นวกสมโภชเป็นประเพณีสำคัญที่จะสืบทอดบวรพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ได้ในเมืองนี้  พวกพระใหม่ไม่เกินห้าพรรษาจะไปเข้ากรรมในศาลาปิดเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนกับพวกอุปัฏฐากที่หมายนิมนต์หรือจับสลากได้  เพราะช่วงเดือนนี้เป็นเวลาสวรรค์เปิดหลังจากที่เทวดาตามมาส่งสมเด็จท่านลงจากการโปรดพุทธมารดา  ก็จะยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์อีกเจ็ดวัน  เลยกำหนดให้เป็นเวลาเข้ากรรมอัญเชิญเทวดาจุติมาในครรภ์เพื่อปฏิสนธิเป็นพุทธบุตร…”

    เจ้าศีลอธิบายได้ไม่ติดขัด  เหมือนกับว่าเรื่องพวกนี้เป็นปกติวิสัยของคนที่นี่ เป็นส่วนหนึ่งที่มันจะต้องเรียนรู้และเข้าใจให้ได้   แต่เขาถึงกับตื่นตะลึง  ความสงสัยนานับประการคลี่คลายได้กระจ่างแจ้ง   ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเหมือนเพิ่งได้ยินเรื่องบาปสุดหยาบช้าชนิดต้องตกนรกใต้ภพอเวจี  เขาเผลอยกพระเครื่องที่ห้อยคอขึ้นจบหมายให้พระท่านบันดาลให้เรื่องที่ได้ฟังนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

    “แล้วศีลข้อสาม หายไปไหน…ส่วนข้อแรกของสงฆ์ เสพเมถุนก็ต้องอาบัติปาราชิกเลยเชียวนะนั่น”

    เขาถามกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาพาลจะไหลออกมาเสียให้ได้

    “พี่ชายเอาที่ไหนมาพูด…อย่ามาตู่พระวินัยหน่อยเลย…นี่น่ะต้นฉบับตั้งแต่การสังคายนาสมัยพระมหากัสปะเป็นประธานเชียวนา”   เจ้าศีลยืนยัน  

    “อ้อ…เอ็งเลยไม่รู้จักพระเครื่องพระบูชางั้นซีนะ…สงสัยในโบสถ์ใหญ่โตมโหฬารนั่น จะเป็นหินแกะรูปดอกบัวเจ็ดดอก  ธรรมจักรบนพระแท่น กับมหาสถูปเจดีย์อย่างนั้นน่ะสินะ”  

    ความรู้สึกแปลกแยกเอ่อท้นเข้ามาท่วมในหัวใจเขาอย่างช่วยไม่ได้   คำพระที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดูเหมือนจะขัดแย้งกับความเชื่อและบรรทัดฐานของคนที่นี่อย่างตรงกันข้าม   เขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกเวทนา  ใครหนอช่างบิดเบือนพระธรรมคำสอนได้เลวร้ายถึงขนาดนี้  แต่ว่ามันก็น่าหฤหรรษ์ไม่ใช่น้อยหรอกนะกับการละเล่นหมู่มากอย่างนั้น  เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นให้ห่างหายไปโดยเร็ว

    “ในโบสถ์มีแต่พุทธอาสน์กับธรรมจักร  สถูปอยู่หลังโบสถ์ ดอกบัวสลักอยู่หน้าวิหาร”

    เด็กชายไม่เชิงยอมรับว่าเขาก็เป็นพุทธศาสนิกชนเช่นเดียวกับตน  แม้จะแน่ใจแล้วว่าพี่ชายก็รู้จักสัญลักษณ์สำคัญของพระพุทธศาสนาเหมือนกัน คือดอกบัวแทนการประสูติ พระพุทธอาสน์แทนการตรัสรู้ พระธรรมจักรแทนพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ และพระสถูปแทนการปรินิพพาน

    “ฉันว่าที่คัดลอกกันมาจะต้องผิดพลาด ตรงไหนสักแห่ง”

    แก้วเพิ่งพูดกับเขาเป็นประโยคที่สอง

    “ฉันก็สงสัย ช่วยกันอ่านทวนหาเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เห็นพิรุธอะไร”  คราวนี้เจ้าศีลมีน้ำเสียงขึงขังจริงจังกว่าปกติ  “เลยตกลงกับพี่แก้วเขาไว้ว่า จะยังไม่ยอมปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐากหรือบวชเข้าไปอยู่ในอะไรที่เรายังไม่แน่ใจว่าเป็นคุณที่เที่ยงแท้….จนกว่า….จนกว่า…”  

    “จนกว่าเราจะได้พระไตรปิฎกฉบับอื่นมาตรวจทานสอบเทียบกันดูก่อน….จะอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ทำไมล่ะศีล พูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว”   พี่สาวช่วยน้องชายต่อประโยคสำคัญ  แล้วหันไปค้อนให้ทีหนึ่ง

    “ก็…เอ่อ…พี่ชายเขาจะช่วยเราได้หรือ  พี่แน่ใจหรือว่าเล่มของพี่ชายจะ….เฮ้อ!!~”

    เจ้าศีลละสายตามาจับตรงพระเครื่องที่คอเขาอีกครั้ง  แล้วส่ายหน้าอย่างหมดหวัง   ส่วนเขาก็กระดากใจเกินไปที่จะกล้ายืนยันว่า  พระพุทธศาสนาที่ตัวเองนับถือกันมาตามประเพณีนั่นเป็นทางแห่งพุทธะแท้ๆ

    สองพี่น้องหันไปซุบซิบปรึกษาอะไรกันเบาๆ ก่อนจะมาพูดเกือบจะพร้อมกัน

    “ให้เราไปด้วยได้ไหมพี่ชาย!”

    เขาถึงกับสะดุ้งโหยงตีสีหน้าไม่ถูก  จะเข้าตำรากินบนเรือนขี้รดบนหลังคาก็คราวนี้

    “มะ…มะ…ไม่…ดะ…ดะ..ได้”

    กระทั่งคำที่ตอบออกไปก็ยังฟังไม่เป็นภาษา ไม่รู้ว่าตอบรับหรือปฏิเสธ  ใจหนึ่งก็อยากจะช่วยปลดพันธนการอันโสมมนี้ให้หลุดจากกายของหญิงสาว  แต่ใจหนึ่งก็คิดไปถึงเรื่องของความถูกต้องและสมเหตุสมผล  ถึงแม้ พิธีนวกสมโภช จะเป็นพิธีอันเลวร้ายในความเชื่อความเข้าใจของเขา  แต่ในสังคมนี้ในบ้านเมืองนี้ ก็ด้วยเพราะขนบธรรมเนียมอย่างนี้พวกเขาจึงสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อๆ กันมาได้  เรื่องว่าใครอยากจะอยู่ใครอยากจะไปจึงไม่น่าจะใช่เรื่องของส่วนบุคคลอีกต่อไป

    “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะแก้ว…ศีล”  

    เขาพยายามรวบรวมสติเพื่อกลั่นกรองความคิด  แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงที่กลางกระหม่อม

    “พ่อหนุ่มๆ  เร็วเข้าเถิด…พระคุณเจ้าท่านไม่รอเพล  ท่านแบกกลดสะพายย่ามออกไปเป็นแถวแล้ว  ถ้าออกไปไม่ทันเพลนี้เธอต้องบวชนะ….ท่านสังฆราชาบอกมาแล้วว่าถ้าไม่ไปก็ต้องบวช…บวชก่อนงานนวกสมโภช”   ป้าศรีผู้เป็นแม่ของสองพี่น้องที่กำลังคบคิดกันแหกขนบรีบกระหืดกระหอบเข้ามาบอกด้วยความหวังดีเต็มที่  “พระใหม่…จะได้จับ….สลากก่อนด้วยนะ..”

    ทั้งสามคนสบตากันวูบด้วยสีหน้าตระหนก

    เขายกมือขึ้นทาบอก ขยับพระเครื่องให้แนบชิดกับหัวใจที่เต้นโครมคราม  สมองหมุนติ้วเวียนถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่กล้าหาคำตอบ….

    ….ถ้าไปตอนนี้  แล้วสองพี่น้องนี่หายไปด้วย  จะรอดไปได้ถึงไหน….

    ….ถ้าไม่ไปตอนนี้…เขา…เขาจะได้เข้าร่วมพิธีนวกสมโภชด้วยจริงๆ น่ะหรือ……


    ***************



    แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 48 03:53:50

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 48 09:21:48

    จากคุณ : SONG982 - [ 17 ก.พ. 48 09:19:12 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป