CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    =[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 74 โภชนจักร (ส่วนท้าย)

    "ยุทธจักรเป็นสถานที่อันโหดร้าย" เป็นคำพูดที่สืบทอดกันมายาวนานนับร้อยๆ ปี ไม่ว่าชราหรือทารกล้วนแต่ทราบดีว่า การก้าวเข้าสู่ยุทธจักรเฉกเช่นขี่หลังเสือ เวลาขึ้นขี่แม้นยากลำบากก็จริง แต่การกลับลงมากลับเป็นเรื่องราวที่ยากลำบากยิ่งกว่านับพันเท่าทีเดียว! ดังนั้นหากท่านไม่เก่งกล้าสามารถ หรือมีฝีมืออย่างแท้จริง ก็จงเจียมเนื้อเจียมตัวอย่าคิดหมายทะเยอทะยานเป็นชาวยุทธ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยใช่เหตุ!

    ฉันใดก็ฉันนั้น โภชนจักรก็เป็นสถานที่เปี่ยมด้วยการชิงดีชิงเด่น และ เล่ห์กลร้ายกาจ เหล่ามารดาต่างสอนบุตรของนางว่าถ้าไม่แน่จริงก็อย่าคิดเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยประกอบอาชีพคนครัว เพราะมันเป็นตำแหน่งสำหรับผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้น!

    มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า "พ่อครัวซึ่งพ่ายแพ้ในการประลองอาหารย่อมไม่ต่างกับถูกดาบฟาดฟัน ถูกสังหารทั้งเป็น เขาจะต้องสูญเสียทั้งชื่อเสียง ศักดิ์ศรี และลาภสักการะที่เคยได้!"

    ...สำหรับผู้แพ้แล้ว มันมิใช่เพียงการพ่ายแพ้ธรรมดา มันหมายถึงชีวิต หมายถึงวิญญาณ และเลือดเนื้อ!!!! ลูกศิษย์จะเสื่อมศรัทธา ...ลูกค้าจะตีจาก ...ลูกเมียจะอับอาย

    นับเป็นรสชาติอันสุดบรรยายอย่างแท้จริง!! ยังจะร้ายกาจกว่าความตายเสียอีก!!!!

    เวลานี้ทั่วลานประลองต่างระงมไปด้วยเสียงครวญครางแห่งความเจ็บปวด และสิ้นหวังของเหล่าพ่อครัวผู้พ่ายศึกพวกมันมิเพียงตกรอบ ยังสูญสิ้นทุกอย่าง ต่างพากันลงนอนกลิ้งเกลือกกับพื้น จมอยู่ในกองน้ำตาและเลือด (จากแผลมีดบาดระหว่างทำอาหาร) ผู้ที่เหลือยืนหยัดอยู่ในสังเวียนอันทรหดนี้ได้มีเพียงยอดฝีมือแปดคนซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเอกอุที่แท้ นั่นคือ...

    ... ... ...

    ผู้พันซานเต๋อ

    ฉายาเซียนในหมู่เซียน ย่อมมิได้มาเพราะโชคช่วย  ประมุของค์การ ค.อ.ซ. ที่อภิบาลผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยการทอดไก่บริจาค หลังจากเอาชนะสามมารบริโภคคือม่านตัวหนัน เช็กเต๋อกิ่ว กับ ปิดซาหัด แล้ว ผู้พันซานเต๋อก็ขึ้นสู่ตำแหน่งยอดยุทธอันดับหนึ่งแห่งโภชนจักรปัจจุบันโดยปราศจากข้อกังขา

    ซาเสี่ยว

    พ่อครัวนิรนามซึ่งไม่มีใครทราบหัวนอนปลายเท้า หากดูจากผลงานที่บะหมี่สามัญของเขาสามารถพิชิตอากิยามะจาง และหลิวคุนชิงแล้ว ต้องนับว่าซาเสี่ยวไม่ใช่ชนชั้นธรรมดาสามัญเลย บางทีเขาอาจเป็นยอดฝีมือเร้นตัวงำประกายที่หาได้ทั่วไปในโภชนจักร

    มิกกีเหมา

    สุดยอดพ่อครัวแห่งนานกิง ผู้มีเอกลักษณ์อยู่ที่ใบหน้าอันกลมมน และใบหูกาง อันกว้างเสียจนหากดูหน้าเขาเผินๆ จะเห็นเหมือนวงกลมสามวงซ้อนกัน มิกกีเหมาผู้นี้สำเร็จวิชาการจับหนูมาทำอาหาร ยังนับว่าร้ายกาจไร้เทียมทานในถิ่นของเขา

    มินนีเหมา

    ภรรยาของมิกกีเหมาที่ฝีมือตลอดจนใบหน้าคล้ายสามีอย่างกับแกะ จะต่างกันบ้างก็ที่มินนีเหมามีขนตางอนกว่าเล็กน้อย

    ตัวหนันดัก

    ยอดนักประกอบอาหารประเภทเป็ดแห่งปักกิ่ง ซึ่งมีหนวดเคราขาวโพลน ปากยาวยื่น นิสัยขี้โวยวาย ชวนทะเลาะ ผู้คนต่างกล่าวว่าชะรอยที่ตัวหนันดักปากยื่นเหมือนเป็ดอาจเป็นเพราะบาปกรรมที่เขาเชือดเป็ดมากเกินไป

    กุ๊บฝี

    พ่อครัวตัวสูงชะลูด นิสัยเซ่อซ่า แห่งมณฑลหยุนหนาน สิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือการจับสุนัขมาทำอาหาร

    ซามัก

    ยอดพ่อครัวฝีมือดีจากดินแดนอ้ายลาว ผู้มีจมูกคล้ายลูกชมพู่ เขาอาศัยอิทธิพลที่พอมีอยู่บ้าง ตระเวนกินอาหารตามเหลาใกล้บ้านทั่วทุกแห่ง แล้วก่นด่ารสชาติเพื่อจะได้มิต้องเสียเงิน จนได้รับฉายาว่า ‘ชิมไป ตำหนิไป’ สุดยอดวิชาของซามักคือการจับแมวมาทำอาหาร

    อาบูดาบี้

    พ่อครัวตัวดำแห่งกาฬทวีป มีเสียงเล่าลือว่าฝีมือทำอาหารของเขาก็อย่างนั้นๆ แหละ แต่ที่ชนะผ่านเข้ารอบมาเพราะกรรมการต่างกลัวในวัตถุดิบที่เขานำมาปรุง ...ใช่ แล้ววิชาที่อาบูดาบี้ถนัดที่สุดคือการจับคนมาทำอาหารนั่นเอง!

    ... ... ...

    รายชื่อพร้อมคำแนะนำของผู้แข่งขันรอบแปดคนทั้งหมดถูกส่งไปถึงมือหลี่เฉินเชียงโดยตรง เพื่อให้เขาพอทราบว่าจะได้รับประทานอาหารชนิดใด

    หากเมื่อหลี่เฉินเชียงอ่านรายชื่อจบก็ถึงกับขมวดคิ้ว จึงเรียกซิเหวินคังมากล่าวบริภาษ “เพ่ย... นี่มันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

    “อะไรหรือขอรับประมุข?” ซิเหวินคังถามด้วยหน้าซื่อ

    “จุดประสงค์ในการจัดประลองครั้งนี้ของเราคือการคัดเลือกยอดพ่อครัว เพื่อจ้างให้มาทำหน้าที่คิดรายการอาหารใหม่ๆ แก่โรงเตี้ยมพวกเรา แต่ทำไมดูจากประวัติของผู้เข้าแข่งทั้งแปดนี่ ส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำอาหารที่คนธรรมดากินกันเลย”

    เมื่อซิเหวินคังร้องอ้อเป็นเชิงถาม หลี่เฉินเชียงก็ตบโต๊ะตวาดดังๆ ว่า “อย่างมิกกีเหมากับมินนีเหมาที่ทำหนูนี่คนธรรมดาเขากินกันที่ไหน!?”

    “ประมุขคิดมากไปแล้ว ปัจจุบันตามมณฑลทางตะวันตกที่อดอยากก็ยังปรากฏผู้คนกินหนูอยู่ทั่วไป” ซิเหวินคังประสานมือชี้แจง

    “แล้วไอ้อาบูดาบี้นี่ล่ะ มันเป็นมนุษย์กินคน หลุดมาจากป่าไหน!!!” หลี่เฉินเชียงกัดฟันกรอด “อีกอย่างข้าไม่มีวันยอมกินหนูหรือแมวที่พวกนี้ทำจนครบแปดจานเด็ดขาด!!!”

    ซิเหวินคังยิ้มกริ่มจึงว่า “ข้อนั้นมิต้องห่วงบัดนี้ผู้เข้าแข่งขันเหลือเพียงสามคนแล้ว”

    “หืม สามคน?” หลี่เฉินเชียงเลิกคิ้ว

    “ใช่ขอรับ สามคน...”

    “มันมีแปดไม่ใช่หรือ?”

    ซินเหวินคังประสานมือกล่าวว่า “ถูกต้อง ทว่าเมื่อครู่อาบูดาบี้เกิดหิวเลยจับ มิกกีเหมา มินนีเหมา ตัวหนันดัก กุ๊บฝี กับ ซามัก รับประทานสิ้นแล้ว...”

    “ไล่มันออกไป!!!!!!!!!!!! ก่อนที่ข้าจะให้มันนำเจ้าไปประกอบอาหาร!!!!!!!!!!!!!!” หลี่เฉินเชียงตวาดลั่น

    ด้วยเหตุนี้ผู้แข่งขันในศึกชิงเจ้าแห่งโภชนจักรจึงเหลือเพียงสองคนคือซาเสี่ยวกับผู้พันซานเต๋อ

    ผู้พันซานเต๋อจ้องหน้าซาเสี่ยวอย่างระแวงและลำพอง เชื่อว่าเพียงเอาชนะเด็กหนุ่มปิดหน้าคนนี้ก็จะสามารถรับครองตำแหน่งเจ้าโภชนจักรอย่างเต็มภาคภูมิ

    อย่างไรก็ตามเขาย่อมทราบดีว่าโภชนจักรเต็มไปด้วยยอดฝีมือเร้นกาย จึงไม่กล้าประมาทฝ่ายตรงข้าม

    “เราควรใช้ท่าไม้ตายของเราเลย” ผู้พันซานเต๋อคิดพลางเดินไปหาซาเสี่ยว คารวะอย่างมีมารยาทผู้ดีแล้วกล่าวว่า
    “สหายน้อยผู้นี้เอาชนะอากิยามะ กับ หลิวคุนชิง มีฝีมือเป็นที่ประจักษ์ ไม่ทราบพอจะบอกความเป็นมาได้หรือไม่?”

    ซาเสี่ยวประสานมือตอบกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนสามัญยากไร้ เผอิญโชคดีได้รู้จักกับยอดฝีมือโภชนจักรผู้หนึ่งจึงรับสืบทอดวิชาทำบะหมี่ปูหมูแดงมาด้วย คุณความดีใดๆ ที่ข้าพเจ้ามีวันนี้ ขอให้ยกแต่อาจารย์ข้าพเจ้าเถิด”

    “อ้อ” ผู้พันซานเต๋อขมวดคิ้ว “พอจะบอกชื่อของอาจารย์ท่านได้หรือไม่...”

    “อาจารย์ของข้าแซ่เซียว ชื่อเสี่ยวนึ้ง แต่ก่อนเคยเปิดกิจการขายบะหมี่เกี้ยวปูหมูแดงอยู่ ณ เมืองหยางโจว”

    “เซียวสี่นึ้งหรือ!!!” ผู้พันซานเต๋อ ตาโต อ้าปากค้าง “ท่านหมายถึง โคตรเซียนเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเรียบง่าย เจ้าของบะหมี่ทองคำผู้นั้น!!!!!!!”

    เด็กหนุ่มกระแอมเบาๆ “อืม ข้าพึ่งเข้าผาดโผนโภชนจักรได้ไม่นาน ก็พึ่งทราบว่าท่านผู้เฒ่ามีฉายายาวขนาดนี้นี่แหละ”

    ผู้พันซานเต๋อแอบปาดเหงื่อเพราะเซียวสี่นึ้งนั้น แม้มองจากคนภายนอกจะเหมือนลุงขายบะหมี่ธรรมดา แต่ในโภชนจักร เขาเป็นยอดบุรุษไร้ผู้เปรียบ ซึ่งเคยครองความเป็นหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อคิดได้เช่นนั้นผู้พันซานเต๋อก็ทรุดเข่าลงหลั่งน้ำตาทันที

    ซาเสี่ยวเห็นอีกฝ่ายอยู่ดีๆ ก็ร่ำไห้เกิดเป็นห่วงจึงเข้าไปประคองกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเป็นอันใด?”

    “ฮือฮือ กระซิกๆ ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะทราบว่าการแข่งขันครั้งนี้ ตนเองไม่มีทางเอาชนะท่านแล้ว” ผู้พันซานเต๋อร้องอย่างมารยา
    “ก็... การแข่งครั้งนี้ข้าเพียงใช้ไก่เลี้ยงในบ้านทำเป็นอาหาร แต่เจ้าใช้ทั้งปูทั้งหมูแดงนับเป็นวัตถุดิบที่เหนือกว่าข้าชัดๆ ดูหรือปูก็จับยากกว่าไก่ หมูก็ตัวใหญ่กว่าไก่”

    การร้องไห้นี้ทำให้ซาเสี่ยวลำบากใจนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนนับถือจะมาร้องขอชัยชนะด้วยเหตุผลข้างๆ คูๆ เช่นนี้ แต่ความเป็นคนใจดีทำให้ซาเสี่ยวรู้สึกสงสาร และว่า “เอาเถิด ถ้าผู้อาวุโสเห็นว่าข้าเอาเปรียบ อย่างนั้นในการแข่งขันต่อไป ข้าจะใช้เพียงเส้นหมี่เป็นวัตถุดิบ”

    “จริงๆนะ!!” ผู้พันซานเต๋อจับขอบเสื้อเสี่ยวซาร้อง

    “จริงสิ” เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ จึงมองอีกฝ่ายลุกขึ้นขอบอกขอบใจตนยกใหญ่

    ซาเสี่ยวไม่สนใจคำขอบคุณเหล่านั้นแล้ว เขาหันไปทางหมู่โต๊ะของเหล่ากรรมการ
    บัดนี้หลี่เฉินเชียงปรากฏตัวขึ้น พร้อมๆ กับเจ้าสาวซึ่งคลุมหน้าแต่งกายด้วยชุดแดงซึ่งคงเป็นเหวินเหม่ยชิง

    เด็กหนุ่มค่อยพบว่าโต๊ะด้านในสุดทั้งสามตัวได้มีผู้คนนั่งอยู่จนครบถ้วนทุกโต๊ะ โดยโต๊ะตัวกลางเป็นแม่สื่อ เจ้าสาว และหลี่เฉินเชียงเอง ส่วนตัวขวามือเป็นของเจ้าเมืองหยางโจว

    ส่วนโต๊ะสุดท้ายขวามือนั่งอยู่ด้วยบุคคลเพียงคนเดียว ซึ่งทำให้ซาเสี่ยวต้องสะท้านใจอย่างรุนแรง

    เป็น ...ฮั่นตง

    มันในเวลานี้อยู่ในสภาพที่เลวร้าย ราวกับผู้ป่วยเป็นโรคผีตายซาก ท่าทางเหม่อลอยอยู่โดยตลอด

    ... ... ...

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 48 19:56:09

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 17 ก.พ. 48 19:41:57 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป