CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ข้าวเหนียวปั้นนั้น

    ประกายดาวเป็นคนแรกที่เยื้องกายขึ้นรถขาเข้ากรุงเทพฯ นานแล้วสินะที่เธอห่างสังคมเมืองและเธอจะกลับไปหามันอีกครั้ง สัมภาระของเธอดูเหมือนมีแค่กระเป๋าใบเดียวกับกล่องหนังสือเท่านั้น มันมีเท่าวันแรกที่เธอมาที่นี่ สิ่งที่เปลี่ยนไปบ้างอาจเป็นแววตาและสีผิวที่คล้ำเพราะแดดผ่าวของภูมิประเทศเขตที่ราบสูง ดวงตาของเธอยังคงเหม่อมองภาพเคลื่อนไหวของมนุษย์ร่วมโลกผ่านกระจกร้าวของรถทัวร์ เธอเห็นแม่ค้าเร่ขายของ คนขับสามล้อ พวกขายล๊อตตารี่ จนถึงขอทานร่างพิการ ภาพของคนนั่งกอดกระเป๋าหลับที่เก้าอี้รอผู้โดยสารนั่น ทำให้เธอคิดไปว่าพวกเขาหลับฝันถึงสิ่งใดกันหนอ ในช่วงว่างจากเทศกาลผู้คนบางตาเสนอในบขส. แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการหยุดเดินทาง หญิงสาวท้องแก่หอบข้าวของพะรุงพะรังขึ้นรถมาพร้อมคนขายข้าวเหนียวไก่ย่าง
    “ข้าวเหนียวไก่ย่างไหมครับ”
    คนขายอายุรุ่นราวคราวพ่อมองเธอด้วยแววตาอ้อนวอน
    “ไม่ค่ะ”

    เธอปฏิเสธเขาอย่างนุ่มนวล แต่ยังมองที่ถุงข้าวเหนียวนั่นไม่วางตา มันเหมือนจุดประกายความคิดบางอย่างของเธอให้ผุดซ้อนขึ้นมา อดีตบางเสี้ยวของเธอถูกตรึงเอาไว้ด้วยข้าวเหนียวเพียงปั้นเดียว เธอไม่เคยลืมข้าวเหนียวปั้นนั้น มันเป็นปั้นที่ต่างจากข้าวเหนียวทั้งปวง นั่นเป็นเพราะข้าวเหนียวปั้นนั้นไม่อาจย่อยสลายให้หมดไปของกระเพาะ บางอย่างที่เกี่ยวกับมันตกค้างในหัวใจของเธอ และข้าวเหนียวปั้นนั้นอีกนั่นแหละที่ทำให้เธอลังเลใจต่อการตัดสินใจของชีวิต แต่เธอก็จำใจต้องแยกจากมาอย่างอาวรณ์ เธอไม่สามารถอธิบายให้แม่รู้ถึงคุณค่าของปั้นข้าวเหนียวนั้นได้หรอก แม่คงคิดว่าเธอฟุ้งซ่านเกินไปและเร่งให้เธอกลับบ้าน

    ใครจะไปเชื่อว่าเธอถูกอิทธิพลของข้าวเหนียวเพียงปั้นเดียวดึงจิตวิญญาณเอาไว้ ประกายดาวเหม่อมองไปยังขอบเมืองที่เธอจากมา หวังพบขุนเขาที่เธอเคยอยู่แต่สายตามิอาจพบ เธอหลับตาลงเพื่อย้อนภาพกาลเก่าอีกครั้ง

    ประกายดาวเกิดในกรุงเทพฯ พ่อแม่ของเธอเป็นครู ในวัยเด็กเธอจึงฝันที่จะเป็นครูอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอถูกปลูกฝังในเรื่องของการอ่านตั้งแต่เด็ก เพื่อนคนแรกของเธออาจเป็นหนังสือ การอ่านทำให้โลกแห่งจินตนาการเธอเปิดกว้าง เธอเรียนรู้ชีวิตของผู้คนผ่านตัวละคร พบเห็นความเจ็บปวด ความเสียสละ การแก่งแย่ง จนไปถึงความยากไร้ เธอหวังว่าตัวเองจะเป็นผีเสื้อที่บินผ่านตึกสูงไปสู่ป่ากว้างได้ในสักวัน

    หัวใจของเธออ่อนโยนต่อเสียงหยาดน้ำค้างที่กวีพร่ำพรรณนา หวังเห็นตานกที่อยู่นอกกรงขังของสวนสัตว์
    ยามว่างของวันจึงไปขลุกอยู่ส่วนสาธารณะแต่ก็อีกนั่นแหละต้นไม้ที่เกิดในที่นี่ มันไม่มีอิสรภาพแม้การหยัดยืนบนผืนดิน ตั้งแต่วันแรกของการหยั่งราก กิ่งและก้านก็ไร้เสรีที่จะทอดไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบน รูปทรงของมันถูกดัดแปลงจนกลายเป็นต้นไม้ประหลาดตา เธอหวังจะเห็นป่าไม้ที่อุดมไปด้วยเสรีใบ

    ความรักการอ่านของเธอมีผลต่อสายตาและตามมาด้วยแว่นตาหนาเตอะ แปลกที่ตาภายในของเธอมองเห็นภาพที่อยู่ไกลออกไปทุกขณะของการตัดแว่น

    พอจบปริญญาจากมหา’ลัย ประกายดาวมุ่งหวังจะเป็นครูในโรงเรียนห่างไกลความเจริญ เธออยากเอาเมล็ดผลทางความคิดที่ผลิบานระหว่างค้นพบ ไปสู่เด็กที่ไร้ทรัพย์แต่มีจิตวิญญาณแห่งความดีงาม ประกายดาวไม่ลังเลใจเลยที่จะสอบบรรจุไปโรงเรียนที่ไกลไฟฟ้าที่สุด ที่ซึ่งมีแสงตระเกียงเป็นอาภรณ์ประดับราตรี

    เธอไม่ฟังการทัดทานของพ่อแม่ที่แต้มความห่วงไยในทุกเรื่อง เพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว แต่อย่างไรเธอเชื่อมั่นว่าโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว คำทัดทานแผ่วลงเพราะอุดมการณ์ที่เธอปณิธานเอาไว้ ปีกผีเสื้อคล้ายงอกเงยขึ้นบนแผ่นหลังของเธอและบินตามหัวใจที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แววตาของพ่อแม่คล้ายตามติดเธอมาในหนทางที่นำไปสู่ภูสูง ที่ซึ่งขุนเขาและเมฆบรรจบกัน หากความเป็นครูมีอยู่เฉพาะสังคมเมืองใครกันหนอจะเหลียวแลเด็กด้อยโอกาสเหล่านั้น

    เป็นไปอย่างที่เธอฝัน โรงเรียนชั้นเดียวไม้ผุสังกะสีกร่อน เสาธงไม้ไผ่ สนามฟุตบอลสีแดงของดินฝุ่น และแววตาไร้เดียงสาของเด็กนักเรียนที่มีอยู่ไม่ถึงร้อย วันแรกที่เธอไปถึงได้รับการต้อนรับอย่างดีของแววตามากกว่างานรื่นเริงของเหล้ายา ครูใหญ่ผู้เป็นทั้งภารโรงด้วยแนะนำเธอต่อหน้าเสาธงให้นักเรียนได้รู้จัก แก้มเปื้อนขี้มูก หน้าตาหมองคล้ำซูบผอมนั่นยิ้มแก้มตุ่ยในชุดนักเรียนที่เก่าคร่ำขาดแหว่ง เท้าเปลือย

    หัวใจของเธอสะท้อนแทบร้องไห้เมื่อแนะนำตัวเองท่ามฝุ่นสีแดงคลุ้งผ่าน ทุกคนมองเธอตาไม่กระพริบและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เธอเชื่อว่าการตัดสินใจของตัวเองถูกต้องแล้ว

    ประกายดาวพบปัญหาอยู่บ้านในเรื่องอาหาร น้ำ บรรยากาศที่ต่างเดิม การดำรงอยู่ของกระเพาะไม่ได้ผูกพันกับตลาดสดหรือห้างสรรพสินค้าอย่างที่เคยเป็น แต่มันฝากไว้กับผักในแปลงเหี่ยวใบ หนองน้ำขอด ภูสูงที่มีแต่ต้นไผ่ขึ้นเต็มไปหมด แดดที่นี่จึงร้อนจนไส้เดือนไม่กล้าอยู่ แต่ปัญหาเหล่านี้ก็หมดไปเมื่อเธอเริ่มปรับสภาพให้เข้ากับสถานที่ได้ในที่สุด รวมทั้งผิวที่เคยขาวผ่องเปลี่ยนเป็นคล้ำเพราะลมแดด ผื่นที่เคยขึ้นเพราะอาบน้ำสีขุ่นจากบ่อโยกนานวันก็หายไป น้ำพริกปลาร้าที่เธอไม่เคยลิ้มลองก็อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อกับยอดไม้ป่าที่เด็กๆ เก็บมาฝาก

    เธอสอนตั้งแต่ ป.1-ป.6 ไม่ใช่เฉพาะวิชาที่เธอจบมา ที่นี่ทำให้เธอได้สอนเกือบทุกวิชาเพราะครูมีเพียงสี่คนเท่านั้น และเธออาจเป็นครูสาวคนเดียวของโรงเรียน นักเรียนจึงผูกพันกับเธออย่างเลี่ยงไม่ได้ และบางทีนักเรียนเหล่านั้นอาจคิดไปว่าเธอเป็นนางฟ้าของทุกคน

    หน้าที่ของประกายดาวไม่ต่างจากครูคนอื่นที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชา เธอสอนด้วยหัวใจรัก ความเหน็ดเหนื่อยที่ได้รับแปรค่าเป็นความอิ่มใจ เธอบรรยายความรู้สึกเหล่านั้นไม่ถูก คงไม่มีถ้อยคำใดสัมผัสสิ่งที่เธอเป็นอยู่ได้นอกจากตัวเธอเองที่รับรู้ นักเรียนที่เธอคุ้นเคยที่สุดคงจะเป็น ด.ญ.ปราณี นักเรียนชั้นป.3 เพราะวันแรกที่เธอมาเยือน ด.ญ.ปราณีจ้องมองเธอขณะทานข้าวกลางวัน ครั้งแรกไม่เอะใจ ในวันต่อมายังคงมายืนจ้องมองเธออีกเช่นเคย

    เธอไม่รู้หรอกว่าทำไมเด็กนักเรียนตัวน้อยร่างผอม หัวเป็นกระเซิงแถมมีเหาเป็นเพื่อน ยามยืนก็เกาหัวไปพลางถึงได้จดจ้องเธอแทบทุกวัน ดวงตาคู่นั้นทำให้เธอต้องคิดมากถึงมากที่สุด จนต้องนำไปปรึกษาครูใหญ่ ปมปริศนาทั้งปวงถูกคลี่คลายจากปากของครูใหญ่ ครอบครัวของ ด.ญ.ปราณี จนที่สุดภายในหมู่บ้านอันทุรกันดารนี้ แถมมีลูกหลายคนในแต่ละวันกระเพาะของปราณีอาจมีเพียงน้ำเปล่าและเหลื่อมเงาการกินของเพื่อนๆ

    จะมีรายได้เพียงเล็กน้อยจากการหาหน่อไม้ป่าบ้าง งานรับจ้างแทบไม่มีเพราะทุกคนไม่มีเงินจ้างเหมือนกัน ประกายดาวพึ่งรู้ตัวว่าได้ทำร้ายความรู้สึกแห่งหิวของ ด.ญ.ปราณีอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นบาปที่เธอไม่ตั้งใจจะกระทำแต่ผลแห่งบาปนั่นติดตรึงเธออยู่

    ทุกพักเที่ยงของกลางวันเธอจึงมี ด.ญ.ปราณีนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน เป็นภาพที่ทุกคนคุ้น และอีกเช่นกันในทุกเช้าที่เธอจะล้างหน้าอาบน้ำมักจะพบว่าโอ่งน้ำที่บ้านพักเต็มแทบทุกวัน ทีแรกเธอคิดไปว่านี่คือการค้นพบโอ่งวิเศษที่น้ำเต็มเองได้ แต่ความจริงก็ปรากฏเมื่อเช้าของวันหนึ่งเธอตื่นเช้ากว่าทุกวัน ภาพของเด็กนักเรียนตัวน้อยหาบน้ำไหล่เอียงกระเท่มาเทใส่ตุ่มบาดความรู้สึกของเธอเหลือเกิน

    น้ำที่เธอใช้อย่างประหยัดอยู่แล้วจำเป็นต้องใช้ให้ประหยัดกว่าเดิม ถึงเธอจะห้ามปรามว่าไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก แต่เด็กน้อยพูดแปร่งด้วยสำเนียงอีสานปนไทยนั่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    บางทีที่หน้าบ้านพักอาจมีหนอไม้ป่า ผักหลายชนิดที่หาเล็มได้ตามชายเขาจะมาวางเรียงซ้อนเป็นระเบียบ จะใครเสียอีกเล่านอกจาก ด.ญ.ปราณี

    ประกายดาวมีโอกาสไปเที่ยวบ้านของนักเรียนทุกคน และทุกครอบครัวก็ต้อนรับเธออบอุ่นด้วยไมตรีอันดีงาม บ้านของปราณีเป็นเพียงกระท่อมเก่าๆ และยังมีน้องอีกสามคนล้วนพุงโรก้นปอดเนื้อตัวมอมแมมกันทั้งนั้น ยิ่งทำให้ประกายดาวรักและเอ็นดูปราณีมากยิ่งขึ้น

    พอมีของฝากที่ส่งมาจากทางบ้าน เธอต้องแบ่งปันให้ปราณีอยู่เสมอ ส่วนขนมนมเนยก็จะแจกจ่ายเท่าที่มีให้กับนักเรียนได้กินกัน มันเป็นความหวานอร่อยและแปลกลิ้นที่เด็กๆ จะได้สัมผัส เพียงบางครั้งเท่านั้นหรอกในรอบเดือนหรือปีหนึ่งๆ แต่รสของมันจะฝังอยู่ในลิ้นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

    จดหมายจากทางบ้านไม่ได้ทำให้ประกายดาวสบายใจเอาเสียเลย พ่อแม่เร่งรัดให้เธอกลับออกมาจากขุนเขาแห่งความเงียบงันของอนาคตนั่นเสีย มีงานใหม่ที่รองรับเธอที่ดีกว่ารออยู่กรุงเทพฯ และคำลงท้ายด้วยความรักและห่วงไยนั่นทำให้เธอต้องนอนคิดหนักอยู่ทุกคืน มันเป็นฝันร้ายแห่งความกตัญญูที่เธอมิอาจเพิกเฉยได้ จากจดหมายฉบับแรกจนถึงจดหมายฉบับที่เธอพึ่งอ่านจบไปเมื่อชั่วครู่ เธอรู้ว่าแม่เขียนด้วยหมึกแห่งหยาดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจจากสิ่งที่ตัวเองรักเพื่อคนที่เธอรักและรักเธอกว่าผู้ใดในโลก

    เที่ยงของวันที่เธอใกล้จะอำลา ด.ญ.ปราณียิ้มแก้มตุ่ยตาเป็นประกายวาว พร้อมซุกมือทั้งสองข้างไว้ข้างหลัง
    “มีอะไรหรือจ๊ะ” เธอถามด้วยความรัก
    “หนูมีของมาฝากคุณครู”
    แล้วปราณีก็หยิบปั้นข้าวเหนียวที่เธอห่อมาจากบ้านส่งมอบให้ถึงแม้มันจะเย็นชื้นแต่เธอสัมผัสได้ถึงความอุ่นที่แฝงอยู่ภายในปั้นข้าวเหนียวนั่น
    “เธอทานข้าวหรือยัง”
    “ทานมาแล้วค่ะ ต่อไปหนูจะห่อข้าวเหนียวมาฝากคุณครูทุกวัน”

    ประกายดาวไม่ได้พูดอะไรเพราะเธอรู้ดีว่าอีกไม่กี่วันหรอกที่เธอจะกลับเมืองกรุงฯ และเธอก็ไม่กล้าพอจะสบแววตาของปราณี

    วันที่เธอจะจากลาแต้มไปด้วยหม่นแห่งความเศร้าของฤดูหนาวที่มาเยือนและถ้อยคำที่เธอจะพูด เธอกล่าวคำลาพร้อมน้ำตาที่ริมแก้ม เด็กๆ สะอื้นไห้เป็นระลอกเสียงคลอไปกับสายลมยามเช้า เสียงไผ่ที่ครวญคร่ำนั่นก็คล้ายไม่อยากให้เธอจากลา รถโดยสารจอดรอแล้ว เด็กๆ วิ่งกันตามหลังเป็นพรวนน้ำตานองหน้า

    ด.ญ.ปราณีจับชายเสื้อของเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อยขณะที่รถจะออก ประกายดาวร้องไห้และแกะมือน้อยๆ ของปราณีออกทีละนิ้วจนนิ้วสุดท้ายหลุดลอย… รถวิ่งไกลออกมา ภาพฝุ่นของถนนเป็นม่านกั้นบดบังใบหน้าของเด็กนักเรียนทุกคนเอาไว้และลับหายไปในทางคดโค้ง เหลือเพียงแต่รอยที่ประทับอยู่บนชายเสื้อเป็นเงาบางเบาของมือ ด.ญ.ตัวน้อย มันกดทับให้หัวใจเธอต้องคิดหนักและไร้ทางออกจากหับห้องแห่งใจหม่น

    ประกายดาวลืมตาขึ้น อีกไม่กี่นาทีรถจะออก แล้ววิ่งพาเธอไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ผู้โดยสารนั่งอยู่บางตา ประกายดาวกอดกระเป๋าแน่น มองตั๋วในมือ เมื่อคนเก็บตั๋วยืนรอทำท่าไม่พอใจต่อความเชื่องช้าของเธออยู่บ้าง เธอตัดสินใจแล้ว….ฉีกมันทิ้งและก้าวลงรถขณะที่จะออกพอดี…..

    จากคุณ : เดอะแหลม - [ 18 ก.พ. 48 09:33:37 A:203.156.48.99 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป