CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    -------------------- เลี้ยงหมาไหมแม่? --------------------


    เลี้ยงหมาไหมแม่?
    โดย song982



                               นางจินดาเป็นแม่ค้าขายปลาดุกย่างน้ำปลาหวานยอดสะเดาในตลาดนี้มานาน  ถ้าจะนับกันให้ถ้วนถี่ก็จะชนขวบปีที่สิบห้าอยู่อีกไม่กี่วัน  ด้วยรสมือและน้ำคำคะขานั้นเองที่ทำให้ลูกค้าไม่เคยห่างหาย  หากจะพิศดูให้ดีรูปร่างและหน้าตาก็คงจะเป็นเครื่องช่วยเรียกลูกค้าได้อีกส่วนหนึ่ง  เพราะภายใต้ร่องรอยแห่งตรากตรำนั่น เงาร่างของคนเคยสวยยังคงประทับเฝ้าแฝงอยู่ไม่รู้คลาย

    นางสาวจิตดีผู้เป็นลูก เพิ่งทำบัตรประชาชนมาได้ไม่ถึงสามเดือน  เธอเป็นคนรักเรียนพอๆ กับรักอาชีพของผู้เป็นมารดา หัดการงานของแม่มาได้แต่น้อย  เมื่อยังเล็กกว่านี้ก็ช่วยหุงหาดูแลห้องหับ พอโตขึ้นจนรู้ความและชำนาญพอ ก็ช่วยแม่ทำปลาหมักปลา เคี่ยวน้ำปลา ซอยพริกซอยหอม กระทั่งลวกสะเดาให้กรุบกรอบกำลังดีก็ทำได้  สองปีหลังนางจินดาจึงได้ผ่อนแรงลงไปอีกมาก  

    ตลอดมาสองแม่ลูกไม่เคยพูดเรื่องของพ่อ  เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่เคยซักถามหรือทำท่าว่าจะเป็นปมด้อยนางก็เฉยเสีย  ยินดีที่ลูกเป็นคนรู้อยู่และไม่เห็นว่าการที่จิตดีไม่เคยเรียกร้องร่ำหาผู้เป็นพ่อนั้นเป็นเรื่องผิดปกติ

    จิตดีใกล้เป็นสาวเต็มที ตอนที่แม่เข้ามาเปรยๆ เรื่องของพ่อ  ว่าครอบครัวลองขาดพ่อบ้านเสียคนหนึ่ง ก็เหมือนขาดหัวเรือใหญ่  ถึงแม่จะคอยเป็นหางเสือคัดท้ายซ้ายขวาได้ดีอย่างไร มันก็เหมือนกับพายเรือทวนน้ำ ทั้งหนักแรงหนักใจ หมดแรงเมื่อไรทั้งชีวิตก็คงไหลลงไปตามกระแสกรรม

    วันนั้นลูกสาวกำลังเลือกกุ้งแห้งตัวใหญ่พิเศษไว้โรยหน้าน้ำปลาหวาน  เธอไม่ได้ออกความคิดเห็นเรื่องพ่อ เรื่องเรือ หรือว่าเรื่องหางเสือ  เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองหน้าแม่แล้วเอ่ยปากขอคำปรึกษาอย่างเคย

    “เลี้ยงหมาสักตัวดีไหมล่ะแม่  ตอนฉันไปโรงเรียน เที่ยงๆ แม่ไม่อยู่บ้านจะได้ไม่ต้องคอยห่วงคอยระแวง”

    นางจินดาร้องเพ้ยคำหนึ่ง ไม่รู้เพราะถูกขัดคอเรื่องที่ตนกำลังตะล่อมพูด หรือว่าถูกขัดใจเรื่องที่ลูกสาวยังไม่เลิกความคิดที่เคยพร่ำขอมานาน

    “แค่สองปากสองท้องยังแทบเอาตัวไม่รอด  ยังจะริหาหมามาเลี้ยงให้มันมาอดๆ อยากๆ เป็นบาปเป็นกรรม  ห้องก็เล็กแคบเท่ารูหนู….เออ…ถ้ามีหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างครัวอื่นเขาก็จะว่าไปอีกอย่าง….”

    ผู้เป็นแม่คัดท้ายคำพูดกลับมาสู่ต้นเรื่องที่สนทนาจนได้  แต่ลูกสาวก็เสออกไปกลับปลาดุกซึ่งวางย่างไว้บนเตาหน้าบ้าน  นางจินดาเลื่อนกระจาดกุ้งแห้งมาเลือกต่อ กำลังจะคิดว่าอาการนิ่งเฉยของจิตดีเป็นการยินยอมพร้อมใจ  เสียงลูกสาวก็ตะโกนลั่น

    “ไอ้แมวบ้า!!….มาขโมยปลาอีกแล้ว…แม่!..แม่!…ไอ้คอดมันพาพวกมาคาบปลาไปอีกแล้ว!!!”

    แล้วยุทธการไล่ล่าประจำวันก็เวียนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงก่นด่าเจ้าของแมวอยู่ปาวๆ


    ตั้งแต่นั้น น้าเติมบุญก็เริ่มแวะเวียนเข้ามาให้จิตดีได้เห็นหน้า  เขาเป็นรุ่นน้องนางจินดาอยู่เกือบรอบ  ผู้ที่ชักชวนให้เข้ามาสนิทสนมถึงขั้นกินข้าวเย็นหรือบางครั้งก็ตื่นมากินข้าวเช้าด้วยกันนั้น  แม้แม่บอกกับลูกสาวถึงความดีอันมีเป็นคุณูปการจนสุดจะสาธยาย   จิตดีก็ยังเฉยอยู่เพราะถือว่าเป็นความสุขของแม่ พลอยดีใจที่เห็นแม่ยิ้มชื่นได้อีกครั้ง  สภาพในบ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกจากกลอนประตูห้องส่วนตัวของจิตดีซึ่งแม่หาซื้อมาให้ติดแทนอันเก่าที่ผุกร่อน  กับเตียงสปริงหลังใหญ่ในห้องนอนของนางจินดาเอง  

    นางไม่ได้ยัดเยียดคำว่า “พ่อ”  ให้จิตดีเรียกขานเขา  เพียงแต่ขอให้ลูกสาวเคารพและเกรงใจผู้ร่วมชายคาคนใหม่ตามสมควร  

    วันที่เติมบุญย้ายเข้ามาอยู่เป็นเรื่องเป็นราว  นางจินดาก็ซื้อต่างหูห่วงทองคำคู่เล็กๆ ให้ลูกสาวด้วย

    แรกๆ นางจินดาและนายเติมบุญก็เอาหูทวนลมเสียจากคำนินทา  ชายหนุ่มทำท่าว่าจะช่วยการทำมาค้าขายได้แข็งแรงดี  จนเมื่อคำค่อนแคะกระแซะกระเซ้าของลูกค้าสาวน้อยสาวใหญ่ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ไม่ยอมสร่างซา นางจินดาจึงให้สามีเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน  คอยช่วยเหลือทำผักทำปลากับจิตดี  

    แต่ด้วยความเคยชินที่เคยจัดเคยทำอะไรๆ ตามลำพังมานาน  การเข้ามาช่วยจัดหาและเป็นลูกมือของน้าเติมบุญ ทำให้จิตดีรู้สึกเก้ๆ กังๆ เหมือนมีแขนขายื่นออกมาให้เกินความจำเป็น  หนักเข้าจึงเพียงมอบตำแหน่งมือย่างพ่วงด้วยยามเฝ้าปลาที่หน้าบ้านให้เท่านั้น

    นายเติมบุญทำหน้าที่ของตนด้วยความแข็งขันทั้งกลางคืนกลางวัน ทุกวันเขาจะออกไปช่วยนางจินดาเก็บร้านช่วยเข็นรถมาจอดแอบไว้ใต้ถุนแฟลต  จิตดีจะใช้ช่วงเวลานั้นอาบน้ำชำระร่างกายทำกิจธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่คนทั้งคู่จะกลับถึงบ้าน

    นางจินดาดูมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและรักสวยรักงามขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก  จิตดีเองก็มีสุขภาพจิตดีขึ้นเพราะไม่ต้องคอยห่วงพะวงกลัวพวกพลพรรคแมวโซทั้งหลายจะมาฉกฉวยปลาดุกย่างตัวอวบอีกต่อไป  สภาพแฟลตของการเคหะแห่งชาติยังช่วยเก็บสุ้มเสียงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี  จิตดีจึงมีเวลาเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องมากขึ้น    

    พักหลังนายเติมบุญมักบ่นว่าปวดเมื่อยตามไขข้อและเส้นสาย  นางจินดาไม่ได้ตำหนิจิตดีแต่อย่างใดเมื่อลูกสาวปฏิเสธไม่ยอมช่วยนวดเฟ้น  เช่นเดียวกับไม่ได้บ่นว่าหรือน้อยอกน้อยใจที่ต้องจัดการเก็บของเข้าบ้านด้วยตัวคนเดียวเหมือนอย่างครั้งไม่เคยมีเขา

    เมื่อดูท่าว่าสมาชิกใหม่สมัครใจจะอยู่โยงเฝ้าบ้านมากกว่า  จิตดีจึงปล่อยให้พ่อเลี้ยงหนุ่มนั่งละเลียดอารมณ์กับฟองเบียร์ตามสบาย  ส่วนตนเองก็ออกไปช่วยแม่ขายของและเก็บร้าน  ทุกวันนายเติมบุญจะยิ้มรื่นคอยเปิดประตูรับ ป้อนน้ำคำให้ภรรยาผู้เป็นสุดที่รักได้คลายหายเหนื่อย  และเอ่ยชื่นชมในความขยันขันแข็งเป็นแม่เหย้าแม่เรือนของจิตดีอยู่เนืองๆ

    แม้สองแม่ลูกจะไม่ได้ระแวงในความบริสุทธิ์ใจของชายหนุ่ม  แต่ก็ต่างเฝ้าระมัดระวังกันอยู่ในที  นางจินดาเริ่มซื้อหาเสื้อผ้าทั้งชั้นนอกชั้นในมาให้ลูกสาวบ่อยๆ แต่ละชุดแต่ละชิ้นนั้นก็เป็นที่พอใจของจิตดี  ด้วยเหตุนี้ทั้งสามจึงอยู่ร่วมบ้านกันมาได้อย่างเป็นปกติสุข  มีเพียงบางคืนที่เติมบุญตึงได้ที่ ก็จะออกความเห็นเกี่ยวกับการแต่งกายที่มิดชิดชวนอบอ้าวอึดอัดของลูกเลี้ยงวัยสาวขบเผาะสักคราวหนึ่ง

    แต่แล้วในวันหนึ่ง  แมวเจ้ากรรมก็มาขโมยปลาย่างไปเสียได้  บางส่วนตกเกลื่อนอยู่บนพื้น  ที่ยังค้างเตาก็เริ่มไหม้  เพราะถ่านในเตาไม่ได้โรยขี้เถ้าอย่างที่ควร  จิตดีไม่รู้จะโทษใครได้  ยิ่งเห็นเติมบุญรีบวิ่งกลับขึ้นมาพร้อมถุงใส่ขวดเบียร์ในมือ ก็ยิ่งคร้านจะพูดอะไรอีก  จนคนที่ยืนหอบต้องเป็นฝ่ายออกปาก

    “ไอ้คอดอีกหละมั้งเนี่ย…ไม่รู้เจ้าของมันเลี้ยงยังไงให้อดยากนัก….”  

    เขาบ่นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายคำขณะที่กำลังใช้จีบต่อจีบของฝาขวดงัดง้างกันจนเปิดดื่มได้ขวดหนึ่ง

    “…..เลี้ยงหมาสักตัวไหมจิตดี  เอาไว้ให้มันไล่ขบไอ้แมวเวรตะไรนั่นไงล่ะ”

    “ดีสิน้า…ฉันน่ะพูดกับแม่มานานแล้ว  แต่แม่ไม่เคยยอม  บอกว่าแค่สองปากท้องยังจะเลี้ยงไม่รอด…”

    ไม่ทันที่จิตดีจะพูดจบ เต็มบุญก็ชิงตวาดเสียงขึ้นเสียก่อน

    “นี่เอ็งหาว่าข้ามาเกาะแม่เอ็งกินอย่างนั้นเรอะวะ!!!”  เขากร่างเข้ามาถึงตัว ดีที่ในมือจิตดีมีไม้เสียบปลาดุกอยู่กำใหญ่  ไฟโมโหจึงดับลงด้วยแววความรักตัวกลัวเจ็บ  ลูกเลี้ยงไม่ได้เงื้อง่าอันใดด้วยซ้ำตอนหันมาประจันหน้า  แต่ก็ทำให้พ่อเลี้ยงผงะถอยหลังไปได้ตอนยกมือไหว้และกล่าวคำขออภัย

    สองวันถัดนางจินดาก็เปรยขึ้นในวงข้าวมื้อค่ำ

    “ขาประจำเขามาว่าปลาเราไม่สะอาด มีกรวดทรายปนอยู่ในเนื้อด้วย….”

    จิตดีจึงเล่าถึงต้นสายปลายเหตุ  เว้นไว้แต่ตอนเติมบุญทิ้งปลาลงไปซื้อเบียร์

    “ช่างเถอะ…วันหน้าวันหลังก็ระวังๆ หน่อยก็แล้วกัน  จะมีกรวดมีทรายจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้  พอแม่คืนเงินแล้วแถมปลาใหม่ไปให้สองตัวกับน้ำปลาหวานสะเดาอีกชุด ก็เห็นยิ้มรื่นหน้าบานกลับไป….เอ!…หรือว่าเราจะหาหมาเล็กๆ มาเลี้ยงสักตัว…เอาไว้ให้เห่าไล่แมวตะกระพวกนั้นก็ยังดี…”

    พูดได้แค่นั้นวงข้าวก็แตกกระจาย เพราะเติมบุญใช้ขาที่ขัดสมาธิกวาดจานข้าวชามแกง ก่อนจะปึงปังเข้าห้องปิดประตูไป  สองคนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันไปมาก่อนผู้เป็นแม่จะพยักให้ลูกสาวเก็บล้างทำความสะอาด ส่วนตนเองก็ขอตัวเข้าห้องไปปรับความเข้าใจกับสามีเลือดร้อน


    ตั้งแต่นั้นนางจินดาก็ต้องเฝ้าประคบประหงมนายเติมบุญราวกับเป็นลูกชายคนเล็ก  ชายหนุ่มไม่ใส่ใจไยดีกับอะไรๆ ในบ้านอีกเลย  นอกจากการกรอกน้ำเมาเข้าปากกับเรื่องอยู่เรื่องกินส่วนตัวแล้ว  หน้าที่ที่เหลืออยู่หลังประตูห้องนอนนั่นก็เป็นเรื่องเดียวที่ถือว่าเขาจะต้องรับผิดชอบ

    แม้จะเห็นกันทุกวัน จิตดีก็ไม่เคยออกปากไหว้วานเขาให้ช่วยดูแลอะไรอีก  เธอตั้งใจทำหน้าที่ของตัวอย่างไม่ให้มีข้อบกพร่อง พูดคุยกันเท่าที่จำเป็น และพยายามคงความเคารพนบนอบเขาด้วยสีหน้าอันเป็นปรกติ

    หลังจากเรื่องราวคราวนั้น ก็ดูเหมือนว่าปลาย่างจะหายได้ทุกวัน  วันละตัวสองตัว เฉพาะแต่ตัวที่สุกแล้วเสียด้วย  จนจิตดีต้องหันหน้าไปปรึกษากับผู้เป็นแม่อีกครั้ง แต่นางจินดากลับทำเสียงเขียวใส่ลูกสาว

    “ก็น้าเติมเขาไม่ชอบหมา…เอ็งจะมาเซ้าซี้หาอะไร!”

    พักหลังวันไหนที่เติมบุญหายหน้าไปกินเหล้าที่ห้องอื่น  จิตดีจะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะแม้จะไม่มีวี่แววไอ้คอดกับพลพรรคแมวของมัน  ปลาย่างก็ยังหายไปทีละหลายๆ ตัว อย่างไร้ร่องรอย  นางจินดานั้นแม้ไม่ได้ตำหนิลูกสาวตรงๆ แต่สีหน้าท่าทางเวลารู้เรื่องปลาหายนั้นก็แสดงออกมาให้เข้าใจได้ไม่ยาก

    เติมบุญเป็นคนเดียวที่ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้  บางวันที่อารมณ์ดีๆ ก็เอ่ยปากขอกับลูกเลี้ยงตรงๆ

    “ขอปลาให้น้าสักสองตัวสิจิตดี…รู้ไหม ปลาดุกย่างนี่แกล้มเหล้าได้สะเด็ดนัก”

    อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง จิตดีก็พร้อมจะทำให้หรือจัดหาให้ได้ทั้งนั้น เพราะตอนนี้เสียงของพ่อเลี้ยงหนุ่มกำลังเป็นเสียงสำคัญในบ้าน  ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้มามีส่วนร่วมอะไรในการทำมาหาได้อีกเลย

    เมื่อเธอเริ่มระแคะระคายว่าตัวขโมยปลานั้นไม่ใช่หมาแมวที่ไหน แต่เป็นตัวเติมบุญเองที่แอบเอามันไปเป็นสินซื้อน้ำใจ เพื่อนร่วมแฟลตซึ่งมีน้องเมียน้ำใจงาม  คอยช่วยเหลือปรนนิบัติพัดวีเพื่อนร่วมวงเหล้าของพี่เขย จิตดีเคยตามไปเห็นกระทั่งตอนที่สามีของแม่อยู่ในห้องนั้นกับหญิงสาวตามลำพัง  จนตระกองกอดกันเข้าไปในห้องนอนของฝ่ายหญิง

    แต่จิตดีก็ยังเฉยอยู่เหมือนไม่เคยรู้เคยเห็นอะไร  นางจินดาจะสั่งสอนเธออยู่เสมอว่า ไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้าโดยเฉพาะในระยะหลังมานี้    จิตดีเชื่อฟังผู้เป็นแม่มาตลอด  เมื่อไม่เคยไปคุยกับใครถึงเรื่องในบ้านตน จึงตีสีหน้าได้สนิทสบายเวลาไม่อยากจะนำเรื่องภายนอกเข้ามาในบ้าน

    นายเติมบุญเองก็ยังทำหน้าที่เดียวที่เหลือของตนได้อย่างไม่หายหกตกหล่น..หากว่าไม่เมาเกินไปนัก  สีหน้าของผู้เป็นแม่ซึ่งเหมือนเคยมีเลือดสาวกำลังสูบฉีด กลับมาปรากฏแววหมองคล้ำและครุ่นคิด  จิตดีไม่ได้ก้าวก่ายซักถามสิ่งไรจากผู้เป็นแม่  นอกจากคะยั้นคะยอเรื่องการหาหมามาเลี้ยงหนักข้อขึ้น

    ความเปลี่ยนแปลงในทางดื้อรั้นของจิตดีเกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงหมานี้  อยู่ในสายตาของเติมบุญโดยตลอด  เขานึกกระหยิ่มใจว่าอาจจะได้มีข้อต่อรองดีๆ กับนวลเนื้อสาวของจิตดีก็คราวนี้  เพราะนางจินดามักจะยกเอาความไม่ชอบหมาของเขามาอ้างแก่ลูกสาวเสมอๆ

    “อยากเลี้ยงหมาจริงๆ หรือจิตดี”  

    ชายหนุ่มถามขึ้นในวันหนึ่ง ขณะจิ้มหนังปลากับน้ำปลาหวาน  ใส่ปากเคี้ยวแล้วตามด้วยยอดสะเดามัน  กระเดือกกลืนอย่างถูกปากก่อนจะกระดกของชอบเพื่อล้างคอ

    “น้าช่วยพูดกับแม่ให้เอาไหม  แต่จิตดีต้องมากินเบียร์เป็นเพื่อนน้านะ”

    เธอยิ้มให้กับข้อเสนอ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอื่นว่าจะรับคำทำตาม  

    จนอีกสองวันถัดมา  จิตดีกลับมาถึงห้องพร้อมกับกล่องใส่ลูกหมาตัวกำลังซน  เธอเอาเข้าไปอวดพ่อเลี้ยงหนุ่ม พร้อมกับขอร้องให้เขาช่วยพูดกับแม่  นายเติมบุญซึ่งนั่งดื่มเบียร์คนเดียวหมดไปแล้วสองขวด จึงรีบทวงข้อเสนอทันที

    “งั้น…เอามันไปแอบไว้ที่ระเบียงก่อน…แล้ว..จิตดีมากินกะน้า…มา  มามะ..”

    “คงขมน่าดูหละมั้งน้าเติม…ฉันขอลงไปซื้อน้ำส้มมาเจือดีกว่านะ…จะได้กินเป็นเพื่อนน้าเติมได้นานๆ”

    “เออ…เออ  สาวๆ ไม่เคยๆ อย่างเอ็งผสมน้ำหวานเสียหน่อย จะได้เมาเร็วๆ…เอ๊ย..จะได้กินง่ายๆ…ไปๆ รีบไปรีบมาล่ะ…อย่าให้น้านั่งเหงาอยู่คนเดียว…..”

    แผนร้ายของคนกำลังคิดจะเป็นพระยาเทครัวดูจะสะดวกง่ายดาย ยิ่งกว่าหมูวิ่งมาชนปังตอ   เติมบุญสร่างเมาไปกว่าครึ่ง เพราะไม่ได้จิบอีกเลยตั้งแต่ลูกเลี้ยงของตัวลงไปจนกลับขึ้นมาพร้อมกระป๋องน้ำอัดลมในมือ

    “ทำไมไปนานนัก…มา..มาๆ  น้ารินให้เอง  กินใหม่ๆ ต้องเอาบางๆ หน่อยมันจะได้ไม่บาดคอ…”

    แต่เขาก็ยังทำเสียงอ้อแอ้เหมือนขี้เมาไร้พิษสง  นายเติมบุญเปิดกระป๋องน้ำอัดลมรสส้มผสมกับเบียร์ค่อนแก้ว  ปากทำเป็นพึมพำเบาๆ

    “…วันนี้จิตดีจะเป็นนางเอกของน้า…ต้องนี่น้ำสมน้ำนางเอก….หรือ…หรือว่า  จิตดีกำลังอยากเป็นนางเอกของน้า เลยซื้อน้ำแฟนต้านี่มา….ใช่ไหมจ๊ะ”

    แววตาเชื่อมชุ่มส่งความนัยโจ่งแจ้งไปยังดวงตาคู่สวย  หญิงสาวรับแก้วมาละเลียดจิบรสชาติอันขมขื่นนั้นช้าๆ  มันซ่านลิ้นและขมบาดคอ  อึกแรกของจิตดี ทำให้เธอมั่นใจได้เลยว่าคงเมาได้สมจริงสมจังน่าดู  

    แก้วแรกผ่านไปไวกว่าที่เติมบุญคิด  เขารีบขยับเข้ามานั่งเคียง บรรจงชงส่งให้อีกแก้ว เมื่อเห็นว่าจิตดีไม่ถือสาที่มือไม้ได้สัมผัสกัน  เขาก็ถึงกับประคองมือถือแก้วของหญิงสาวขึ้นป้อน  รู้ดีว่าของเมายามเข้ากับของหวาน จะทั้งกินง่ายและเมาเร็ว  ดวงหน้าที่แดงซ่านกับระไอสาวที่ผ่าวร้อนนั้นก็แสดงให้เห็นอยู่อย่างชัดแจ้ง

    จิตดีเมาพับไปหลังจากเขาป้อนแก้วที่สามเข้าปาก  เติมบุญทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างสมคะเน  ใจเต้นรัวเป็นกลองเพล  ไม่คิดมาก่อนว่าการลิ้มเนื้อสาวจะทำได้ง่ายดายปานนี้  เขารีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วก้มลงจุมพิตดอมดมไปตามเรียวแขนและซอกคอ  หญิงสาวบิดขาและขยับหลบนิดหนึ่ง ตอนที่เขาลูบล้วงไล่ขึ้นมาตามต้นขาหนั่นแน่น  

    ขณะจะปลดดุมเสื้อเพื่อฟอนฟัดเรือนอกเต่งงาม    ประตูห้องก็เปิดผางออกพร้อมกับนางจินดาซึ่งยืนชี้มีดสับถ่านอันเขื่องใส่หน้าสามีหนุ่ม

    “ทำไมน้องเติมถึงทำกับพี่อย่างนี้  ใครจะพูดอย่างไรๆ พี่ไม่เคยเชื่อ  กับลูกแท้ๆ ของพี่ พี่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อ…แล้วนี่อะไร  น้องเติมทำอะไรไม่นึกถึงน้ำใจพี่บ้างเลย  ไปซะเถอะเติม..ไปซะตั้งแต่ยังเดินออกไปได้ดีๆ…”

    น้ำเสียงราบเรียบนั้นเย็นชา ปราศจากเยื่อใยและความปรานี  

    นายเติมบุญหน้าซีดเผือด  ตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก จนเมื่อจิตดีทำท่าว่าพลิกฟื้น ตื่นขึ้นมาจัดเสื้อผ้าเข้าที  เขาก็รีบผลักไสความเลวของตนให้กับหญิงสาว

    “ลูกสาวพี่มันมายั่วผม…มันหลอกมอมเหล้าผม  มันคงแอบเห็นผมกับพี่มีอะไรกัน  เลยอยาก….”

    ยังพูดไม่ทันจบ มีดสับถ่านอันนั้นก็บินเฉี่ยวหัวไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด  เขากลิ้งตัวหลบจนใบหน้าไปกระทบกับแข้งของหญิงสาว   เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกที  ก็เห็นมีดโต้ทำปลาอยู่ในมือนางจินดาอีกเล่มอย่างน่าอัศจรรย์

    “ไอ้……………….” คำก่นด่าถึงโคตรตระกูลชุดนี้ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงพูดคุยธรรมดา  ลงท้ายที่ว่า “ลูกสาวพี่ พี่เลี้ยงของพี่มากับมือ  ทำไมจะไม่รู้ว่าเป็นคนยังไง…ไป…น้องเติมรีบออกไปเสียจากบ้านนี้  ก่อนที่มีดในมือนี่จะปลิวไปฝังอยู่กลางแสกหน้า”

    คราวนี้นายเติมบุญไม่รีรออะไรอีก รีบคว้าเสื้อผ้าแล้วพุ่งตัวลอดคมมีดออกประตูไปในอึดใจเดียว  นางจินดาทิ้งมีดแล้วรี่เข้ามาประคองลูกสาวขึ้นหนุนตัก  น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลริน  พร่ำขอโทษที่ไม่ยอมเชื่อจิตดีตั้งแต่แรก  จนต้องให้ลูกสาวต้องมาเปลืองตัวเพื่อพิสูจน์ความจริง   แล้วผู้เป็นแม่ก็กอดจูบลูบหัวหูจนจิตดีได้สติเต็มที่  

    อ้อมกอดของแม่ยังอบอุ่นไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับรอยยิ้มของลูกที่ทำให้ทั้งโลกของแม่สดใส   สองแม่ลูกกอดกันกลม  เฝ้าลูบหลังไหล่กันอยู่อีกนานจนจิตดีเอ่ยขึ้นเบาๆ

    “เลี้ยงหมาไหมแม่?….เลี้ยงมันเถิดนะแม่…ฉันเอามาแล้ว…นั่นไง…ไอ้ดวง…”

    ลูกหมาขนสีน้ำตาลแดงดอกขาวตะกุยมุ้งลวดเข้ามาจนได้  

    มันระริกกระดิกหูหางเข้ามาเลียขาของนางจินดาอย่างประจบประแจง  

    ************************

     



    แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 48 02:56:58

    แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 48 02:29:47

    จากคุณ : SONG982 - [ 26 ก.พ. 48 02:28:01 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป