CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ความหวังสุดท้ายของยายจุก (ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ)

    สี่ห้าเดือนหรือไม่ก็ร่วมปี ทัพถึงจะกลับมาให้ยายจุกเห็นหน้าครั้งหนึ่ง หัวนอนปลายเท้าก็ไม่รู้ว่ามันเอาไปซุกไว้ที่ไหน มาทีถ้าไม่เพราะเพื่อ “รีดเลือดปู” จากนาง ก็กลับมาในสภาพซมซาน ตัวเหม็นหึ่งเหมือนไปหลงป่าปีนเขามาสองสามอาทิตย์ ครั้นถามไถ่เอาความมันก็ไม่เคยปริปากเล่าอะไรให้ฟัง นอกจากตอบมาห้วนๆ ว่า จะรู้ไปทำไม เรื่องของฉัน
    หากโผล่มาคราวนี้ ลูกชายของนางแต่งตัวดีเป็นพิเศษ ใบหน้ายิ้มแย้ม จนผู้เป็นแม่ต้องยื่นหน้าเข้าไปถามให้แน่ใจว่า เอ็งใช่ไอ้ทัพลูกฉันรึเปล่า เพราะทุกครั้งมันไม่เคยมาในสารรูปนี้ อีกฝ่ายหัวเราะกึกๆ ตอบว่า ก็ฉันนั่นแหละไอ้ทัพขนานแท้
    “ฉันถูกล็อตเตอรี่ ได้โชคมาหลายแสน” มันบอกพลางวางถุงใส่ของกินของใช้ที่ติดมือมาลงไว้มุมตู้เก่าๆ “นี่ของฝากนิดหน่อย แม่ดูเอาเองละกัน”
    “อือ... ขอบคุณพระคุณเจ้าที่ให้ลาภเอ็ง...” นางบอกเรียบเรื่อย ไม่ออกอาการใดๆ ทางสีหน้า “มีเงินมีทองเสียทีข้าก็ดีใจ รีบหาทางตั้งเนื้อตั้งตัวซะ อายุก็สามสิบกว่าเข้าไปแล้วไม่ใช่รึ”
    ท้ายเสียงเหมือนตำหนิลูกชายกลายๆ ฝ่ายทัพที่ปีนี้เข้าสามสิบห้าแล้วหัวเราะ ทำเหมือนไม่ได้ยิน
    “นี่เงินสามพัน ฉันให้แม่ไว้จ่ายค่าเช่าที่ค้างไว้ ส่วนที่เหลือแม่ก็เก็บไว้ใช้”
    ไม่ว่าเปล่า มันควักแบงก์สีแดงออกมานับแล้วยื่นจำนวนหนึ่งมาตรงหน้าแม่ ยายจุกมองหน้าลูกชาย ดวงตาหมองฉายแววคาดหวังบางอย่าง ครั้นได้สำเหนียกว่า อย่างน้อยเจ้าทัพก็แสดงความกตัญญูต่อแม่มันแล้วในวันนี้ จึงได้ยอมรับไว้

    “ฉันจะเอาเจ้าเอี้ยงไปอยู่ด้วย” ทัพยืดคอสำรวจหาบุคคลที่สาม “แล้วนี่มันไปไหนเสียล่ะ”
    พอฟัง สีหน้ายายจุกเผือดลงถนัด เอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อยว่า
    “งวดที่แล้วก็เอามันไปปล่อยทิ้งปล่อยขว้างจนปางตาย แล้วนี่เอ็งยังจะเอามันไปอีกรึ”
    โรคประจำตัวก็สูบกินเรี่ยวแรงของยายจุกไปทุกวัน งานหลักที่พอให้แกมีรายได้เจือจานชีวิต คือเก็บถุงพลาสติกมาล้างแล้วพับขาย ได้เงินสิบยี่สิบบาท คนแก่ก็อาศัยเจียดเงินจำนวนนั้นไป “กรึ๊บ” เติม “แรง” เข้าไป เหมือนรถยนต์ที่อาศัยน้ำมันเป็นเชื้อเพลิง
    คราวนั้น เจ้าทัพบอกว่ามันได้งานเป็นลูกจ้างท่าทรายย่านฝั่งธน นายจ้างให้ที่อยู่ที่พักพร้อมสรรพ ยายจุกที่แบกภาระเลี้ยงหลานมาก็ลำบากเอาเรื่อง ได้โอกาสจึงเอ่ยปากให้มันเอาลูกไปอยู่ด้วย ครั้นไม่นาน มันก็อุ้มกลับมาคืน อ้างว่าไม่มีเวลาดูแล ฝ่ายยายจุกจับตัวหลานเท่านั้นก็ใจหายวาบ ตัวมันร้อนเป็นไฟ เห็นสารรูปเจ้าเอี้ยงผ่ายผอมมอมแมมขนาดนั้น คนแก่ก็น้ำตาพราก นึกเสียใจว่ากูไม่น่าเห็นแก่ตัว ให้คนไม่รู้จักรับผิดชอบอย่างเจ้าทัพเอาเด็กไปดูแลเลย

    “ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ ฉันตอนนั้นกับฉันตอนนี้มันต่างกันลิบลับ” ทัพบอก
    “ใจคอเอ็งจะให้ข้าอยู่คนเดียวอย่างนั้นหรือ” ยายจุกครวญ
    “เมื่อก่อนแม่ก็อยู่คนเดียวมาตลอดอยู่แล้วนี่”
    เมื่อก่อนก็ไม่เพราะเอ็งหรอกรึเอาแม่มาทิ้งไว้ แล้วก็หายหน้าไป ปล่อยแม่อยู่ตามบุญตามกรรมตั้งสิบกว่าปี ยายจุกตัดพ้อในใจ ยังดีที่หลายปีมานี้ได้เจ้าเอี้ยงมาเป็นเพื่อน
    คนแก่พอรู้ว่าจะถูกพรากหลานที่เลี้ยงมันมาจนโตออกจากอก ก็ใจหาย
    แกจำได้ว่า หกปีก่อนมีหญิงสาวคนหนึ่งอุ้มเด็กตัวนิดเดียวมายืนเรียกลูกชายนางอยู่หน้าบ้าน ไอ้ทัพมันเคยอยู่บ้านเสียเมื่อไหร่ ยายจุกกำลังพับถุงอยู่ในบ้าน นางชะเง้อดูแล้วร้องบอกหล่อนไปตามนั้น แต่แทนที่จะแล้วกันไป หล่อนพอรู้ว่าที่นั่งอยู่นี่เป็นแม่ของชายซึ่งตนกำลังตามหา ก็ปึงปังเข้ามา ปลงเด็กลงตรงหน้าคนแก่ แล้วสะบัดหน้าเดินตัวปลิวออกไป ไม่ถามไถ่สั่งความสักคำ เห็นเด็กมันเพิ่งจะหัดคลาน ชื่อเสียงเรียงนามก็ไม่บอกไม่กล่าว ครั้นจะเรียกไว้ก็ไม่ทัน คำตอบต่อข้อสงสัยของนางกลับเป็นเสียงร้องไห้จ้าลั่นบ้าน
    ต่อเมื่อมาไล่เรียงเอากับลูกชายในอีกอาทิตย์ถัดมา ถึงได้ความว่า มันเกิดไปมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น เรื่องมันเกิดขึ้นง่ายๆ หล่อนเมา เขาเมา อารมณ์ร้อนร่านชั่ววูบเพราะขาดสติยับยั้งของทั้งสอง เปิดทางให้อีกชีวิตหนึ่งโผล่ออกมาเผชิญโลก
    “เรื่องอะไรฉันต้องรับผิดชอบ ก็มันใจง่ายให้ฉันเองนี่นา” มันว่า ทำตาขวางมองเด็กที่มันเองก็เพิ่งจะรู้เอาเดี๋ยวนั้นว่าเป็นลูกชาย “ไม่รู้ปล่อยให้เกิดมาทำไม รีดทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง”
    คนเป็นแม่ได้ยินแล้วส่วยหน้า ลูบหัว “หลาน” อย่างเวทนา
    มันพอๆ กับพ่อมัน... เชื้อไม่ทิ้งแถว... ยายจุกพ้อในใจ

    นึกแปลกใจเหมือนกัน... วันนี้มันเกิดคิดเป็นกุศลขึ้นมายังไง ถึงจะเอาลูกไปอยู่ด้วย จะเพราะมีเงินมีทองแล้วคิดเผื่อแผ่ครอบครัวก็หาใช่สันดานมัน หรือมีหลวงพ่อวัดไหนเทศน์สั่งสอนกลับใจมัน...

    “ต่อไปนี้แม่ไม่ต้องทำงานแล้วนะ ฉันจะส่งเงินมาให้เอง” ให้ความหวังมาทั้งที่นายจุกเองยังไม่ได้ยินมันบอกสักคำว่า ได้งานการทำจนพอลืมตาอ้าปากได้แล้ว
    รอจนเจ้าเอี้ยงกลับถึงบ้าน ทัพก็รวบๆ เสื้อผ้าสองสามชุดของลูกชายยัดเข้ากระเป๋านักเรียน แล้วหิ้วแขนออกจากบ้าน
    “ไปไหน” เอี้ยงแหงนหน้าถาม
    “จะพาไปกินขนมอร่อยๆ ไปซื้อของเล่นไงลูก” มันโกหกลูกชาย ก่อนจะหันกลับมามองหน้าแม่
    “เหล้าน่ะ...เพลาๆ บ้างนะ”
    จะเตือนเพราะเป็นห่วงหรืออะไรก็แล้วแต่ ยายจุกยังอิ่มเอมใจกับคำของมัน แต่ไม่แสดงกิริยารับปาก เพราะรู้อยู่ว่าตนเองทำไม่ได้อย่างที่มันบอก

    ความจริงอายุยายจุกเพิ่งจะห้าสิบห้า แต่ก็เพราะฤทธิ์เหล้ามันแผดเผา สังขารร่างกายของนางจึงดูหง่อม ผิวพรรณเหี่ยวยานกร้านซีดคล้ายคนแก่วัยเจ็ดสิบแปดสิบ ...ยายจุกกินมันเป็นเรื่องปกติมาแต่ยังสาว... มันเริ่มต้นเมื่อนางสาวจุกหนีบ้านช่องไปเข้าคณะรำวง เพราะหลงเล่ห์รักของเจ้าหนุ่มนักดนตรี ซึ่งก็คือพ่อของเจ้าทัพในเวลาต่อมา
    จนป่านนี้แล้ว ยายจุกนึกมายังแค้นใจนัก... แรกๆ มันก็พร่ำบอกแต่ว่ารักนักรักหนา พอสาวเจ้าจุกหอบเสื้อหอบผ้าตามมันไป ยอมให้ทุกอย่างจนไม่มีอะไรให้แล้ว มันก็หมดความสนใจต่อนาง ตระเวนไปถิ่นไหน ก็หว่านรักฝากเสน่ห์ไว้ทั่วไป ผลสุดท้ายมันก็ตายเพราะเรื่องนี้ วันที่เห็นมันนอนจมกองเลือด นางไม่หลั่งน้ำตาให้แม้สักหยด
    พอวัยสาวเริ่มโรยรา นางก็ไม่มีความหมายต่อคณะรำวง จะขึ้นเวทีก็ไม่สะดุดตาต้องใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่อีกแล้ว ส่วนเลือดเนื้อเชื้อไขของนางก็พอๆ กับพ่อมันราวกับถอดแบบสันดานมายังไงยังงั้น นึกมายายจุกให้น้อยเนื้อต่ำใจ...นี่แหละนะ โบราณท่านบอก ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
    ตอนนั้นเจ้าทัพอายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด มันเองก็ชอบแต่จะมีเรื่องกับใครเขาไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าคณะ พอได้ยินแม่ออกปากว่าจะออกจากคณะ มันก็เห็นพ้องทันที
    แต่ครั้นพาแม่มาเช่าบ้านโกโรโกโสนี่อยู่ได้ไม่ถึงสามวัน มันก็หายหน้าไปพร้อมกับเงินก้อนสุดท้ายที่ยายจุกซุกไว้ใต้ที่นอน...

    ----------------------

    จากคุณ : จักร มเหศวร - [ 3 มี.ค. 48 18:37:47 A:203.107.159.210 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป