CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    แก้ว.....กลางนา (ตอนเดียวจบ)

    แก้วรีบหลบวูบไปก่อนที่พ่อของผมจะโผล่มาบริเวณหลังบ้าน

    เธอคงไม่อยากเจอใครในเวลานี้  เวลาที่เด็กทุกคนควรจะอยู่ที่บ้านของตัวเอง อ่านหนังสือหรือทำการบ้าน

    แก้วเป็นเด็กหญิงอายุประมาณสิบกว่าขวบต้นๆ  ซึ่งก็อยู่ในวัยเดียวกับผมเอง เราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกัน เรียนอยู่ห้องเดียวกัน แม้ว่าบ้านจะอยู่คนละฟากของหมู่บ้าน แต่ด้วยความที่มีนิสัยหลายๆ อย่างคล้ายๆ กัน ทำให้เราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากที่สุด

    พ่อของผมมองพื้นดินใต้ต้นมะม่วงอย่างสงสัย ซึ่งมีของเล่นแบบเด็กๆ หลายชิ้นวางอยู่ ตะเกียงดวงเล็กๆ ตั้งอยู่บนแคร่ให้แสงสลัววับแวมใต้ร่มเงามืดและเงาเมฆ

    “ผมเอามาเล่นเองครับ.....”

    ผมรีบบอก แต่ไม่ได้บอกว่าแก้วเธอมาชวนไปจับแมงจินูน และถ้าพ่อรู้ความจริงก็คงไม่ยอมให้ผมไปแน่ๆเพราะว่ามืดแล้ว บ้านนอกคอกนาแค่ทุ่มกว่าๆก็ดูมืดและเงียบสงัด พอถึงสองทุ่มกว่าแทบทุกบ้านก็จะดับไฟนอนกันแล้ว พวกเรานอนเร็วเพราะต้องการเอาแรงไว้เผชิญหน้ากับวันรุ่งขึ้น

    พ่อมองหน้าผม แต่ไม่ได้พูดอะไร บางทีพ่ออาจจะขี้เกียจพูดเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการทำไร่ทำนามาทั้งวัน

    หน้านี้เป็นหน้าแมงจินูน  สัตว์ตัวเล็กๆ ที่ออกมาจับอยู่ตามต้นไม้  วิธการจับก็ง่ายมาก แค่ถือตะเกียงและกระป๋องน้ำออกไป หาต้นไม้ริมหมู่บ้านต้นเหมาะๆ แล้วออกแรงเขย่า สัตว์ที่น่าสงสารแต่น่ากินก็จะร่วงลงมาให้เราเก็บใส่ในกระป๋องน้ำ ความหิวและความยากจนบวกกับความเป็นเด็กทำให้เราไม่นึกถึงบาปบุญคุณโทษเท่าไรนัก  และมีหลายครั้งที่เราต้องเจอคู่แข่งหลายกลุ่มที่ออกล่าแมงจินูนเหมือนกัน

    พอได้แมงจินูนมาในปริมาณที่พอเพียง ผมก็จะให้แก้วจัดการเอาไปคั่วเป็นอาหารเมื่อเที่ยงที่โรงเรียน รสมันจากแมงจินูนความเค็มของเกลือที่โรยลงตอนคั่ว และกลิ่นหอมที่เกิดจากการคั่วด้วยหม้อเก่าๆ  ทำให้เรากินข้าวมื้อเที่ยงกันอย่างอร่อย ไม่ได้อิจฉาเพื่อนฐานะดีที่ไม่เคยห่อข้าว หากแวะเข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียน

    ผมกับแก้วเคยไปยืนดูพวกเพื่อนเหล่านั้นกินอาหารจากจานสวยๆ และส่งกลิ่นหอม แต่ก็ไม่ได้นึกอิจฉาตาร้อนอะไร  บางวันเด็กๆยากจนอย่างพวกเราจะโชคดีได้น้ำแข็งมากินฟรีๆ น้ำแข็งที่เทออกจากรถขายไอติมของครูท่านหนึ่ง ภรรยาของครูท่านนั้นเป็นคนขาย วันไหนขายหมดจะล้างรถขายไอติมโดยการเทน้ำแข็งออกจากรถเข็น  นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะวิ่งเข้าไปแย่งก้อนน้ำแข็ง ซึ่งเทลงบนพื้นดิน แต่เอามาล้างเศษดินออกก็กินได้แล้ว

    แก้วเป็นคนไม่ค่อยพูด ตัวเล็กๆ และค่อนข้างผอม เธออาศัยอยู่กับยายท้ายหมู่บ้าน พ่อแม่ไปทำงานในกรุงเทพ นานๆ ทีจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง ส่วนผมเองก็ไม่ค่อยพูดเหมือนกัน พวกเรารู้จักกันตั้งแต่อายุ6 – 7 ขวบ จากการที่ผมตอนเด็กๆ มักออกไปปีนต้นไม้แถวทุ่งนาซึ่งห่างหมู่บ้านไม่มากนัก ก็ไม่ได้ต้องการจะกินผลไม้ชนิดใดเป็นพิเศษ หากเป็นความสนุกและซุกซนตามประสาเด็กมากกว่า

    แก้วถือเสียมถือข้องออกไปหาหอยตามผืนนาที่แห้งแล้งในหน้าร้อน และเธอนั่นเองเป็นคนสอนให้ผมรู้จักการเอาเสียมงัดพื้นดีนที่แตกระแหงหาหอยซึ่งซุกตัวหลบร้อนอยู่ใต้พื้นดิน เธอแหงนหน้ามองผมที่กำลังเอกเขนกอยู่บนต้นมะไฟซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น  เธอไม่ได้ร้องขอ แต่ผมโยนลงไปให้เธอเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ

    ผมยังจำภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มอมแมม ในเสื้อผ้าเก่าๆสีซีดๆ  แต่คล่องแคล่วในการทำมาหากิน ได้ติดตาติดใจจนทุกวันนี้

    ในขณะที่นักเรียนๆ ส่วนหนึ่งอยู่ในโรงอาหารตอนเที่ยง   บางคนจะกระจายกันอยู่รอบๆ สระน้ำข้างอาคาร เปิดห่อข้าวออกมากินกันตามประสา บางครั้งบางคนก็จะมีมื้อเที่ยงที่พิเศษ โดยการวิ่งไปซื้อส้มตำมาจากโรงอาหารมาเสริมบารมีให้กับอาหารมื้อนั้นแม้ค้าจะห่อด้วยใบตองเป็นห่อเล็กๆ คล้ายๆ ห้อหมก และราคาก็ไม่แพง เหมาะกับนักเรียนส่วนใหญ่

    ผมกับแก้วเลือกเอาใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟากหนึ่งของสนามฟุตบอล  กินไปและมักจะนั่งคุยกัน หรือดูเด็กผู้ชายเตะฟุตบอลกันกลางแดดร้อนๆ จนเสียงระฆังหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้น  นักเรียนต่างมุ่งหน้าสู่ห้องเรียนของตนเอง ไม่มีที่ให้ไปแบบสูบบุหรี่หรือเล่นการพนัน เพราะว่าโรงเรียนอยู่ในพื้นที่โล่งแบบบ้านนอกคอกนา ถ้าใครคิดจะหนีเรียน ก็จะมองเห็นทั้งหมู่บ้าน

    “แก้วอยากไปเรียนในเมือง”

    เธอเคยบอกอย่างนั้น นัยน์ตามีแววมุ่งมั่นและฝันไกล

    “แก้วอยากเรียนในโรงเรียนดีๆ จะได้ความรู้มากๆ โตขึ้นจะทำงานมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆๆ”

    ความคิดแบบนั้นก็เป็นความคิดแบบเด็กๆ ไม่ได้หมายถึงความทะเยอทะยาน อะไรมากมาย  วัยเด็กก็ย่อมมีความฝันแบบเด้กๆ

    “เรียนที่นี่ไม่ดีเหรอแก้ว..”

    ผมถามเรื่อยๆ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับคำพูดแบบนั้นของเพื่อนต่างเพศคนแรก

    “มันก็ดีนะ...แต่ไม่รู้สิ แก้วอยากไปในเมือง “

    “กลับมาก็จะกลายเป็นเด็กในไห...กินปลาร้าไม่ได้ แต่งหน้าทาแดงแดงแจ๋”

    แก้วหัวเราะให้กับคำพูดของผม แน่นอนเธอไม่มีวันเป็นเช่นนั้นแน่   เธอไม่ใช่คนที่จะได้ดีแล้วลืมตัวแบบนั้น หลายคนในชนบทที่มีฐานะมักจะส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือในเมือง แต่สังเกตว่าหลายคนเรียนไม่จบ บางคนกลายเป็นคนติดยาหรืออันธพาลไปเลยก็มี ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

    “แก้วอยากหาเงินมาสร้างบ้านให้คุณยาย”

    แก้วเคยวาดภาพฝันไว้อย่างนั้นจริงๆ
    ถ้าจะว่ากันตรง ๆ ฐานะของเธอดุจะแย่กว่าครอบครัวของผมเสียด้วยซ้ำ พ่อแม่ที่ไปทำงานในกรุงก้คงไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่หลายคนคิดและอยากจะไป คนเรียนจบป. 4 งานในกรุงก็คงไม่พ้นการใช้แรงกายเป็นพื้นฐาน

    ผลการเรียนของแก้วอยู่ในระดับดี ไม่เคยต่ำกว่าอันดับที่สี่ของห้อง ในขณะที่ผมมักจะได้อันดับค่อนไปทางท้ายๆ  แก้วเป็นที่รักของเอนและคุณครุ อันเนื่องมาจากนิสัยที่มีน้ำใจและความสุขุมเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แม้แต่นักเรียนที่เกเรที่สุดในโรงเรียนก็ไม่กล้ามาตอแยกับแก้ว

    แต่ด้วยความที่เรามักเป็นเงาของกันและกัน ทำให้ถูกล้อว่าเป็นแฟนกัน ตามธรรมดาคู่ไหนโดนล้อแบบนั้นมักจะอายจนบางคู่แทบไม่กล้าคุยกันแต่หน้าเพื่อนๆ แต่ผมกับแก้วไม่อยู่ในกฎมาตรฐานนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความเป็นเพื่อนของเราได้  และฟงแฟนอะไรที่ว่าพวกเราก็ยังไม่เข้าใจสักนิด เรื่องความรักแบบผู้ใหญ่ตอนนั้นพวกเราไม่รู้ไม่เข้าถึง รู้แค่ว่าเราเป็นเพื่อนกันและจะเป็นตลอดไป

    วันหยุดถ้าผมไม่ไปขลุกอยู่ที่บ้านของแก้ว ไปช่วยยายกวาดบ้านถูพื้นเท่าที่จะทำได้ แก้วก้จะเป็นฝ่ายมาหาที่บ้านพร้อมกับมาช่วยกวาดลานหน้าบ้านถูบ้านซักผ้าเป็นการแลกเปลี่ยนมิตรภาพ คนทั้งหมู่บ้านพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่าคู่นี้โตขึ้นต้องอยู่ด้วยกันแน่ๆ ไม่มีปัญหาเรื่องความไม่เข้ากันของผู้ใหญ่ ทุกอย่างดูราบรื่นเหลือเกิน แต่อย่างว่าล่ะครับ ผมกับแก้วไม่เคยคิดอะไรไกลไปกว่าความเป็นเพื่อน

    โตขึ้นถ้าเธอแต่งงานจะเลือกผู้หญิงแบบไหน”

    แก้วเคยถามแบบนั้น จำได้ว่าผมยิ้มและยึดอกตอบอย่างภาคภูมิใจในความคิดของตัวเองว่า

    “แน่นอนแก้ว แฟนฉันต้องสวยๆๆรวยๆๆใจดีเรียนเก่งเหมือนแก้ว แต่สวยกว่าแก้ว.แล้วเธอล่ะจะมีแฟนแบบไหน”

    “แน่นอนเหมือนกันว่า แฟนแก้วต้องหล่อๆสูงๆรวยๆ ใจดี”

    “แบบนี้เราก็เป็นแฟนกันไม่ได้สิ”

    แล้วพวกเราก็หัวเราะให้กับคำพูดแบบนั้น  ไม่มีอะไรติดใจหรือค้างคาใจ คำพูดแบบนั้นไม่มีอะไรให้น่าจดจำหรือเก็บเอาไปคิด เพราะพวกเราต่างรู้นิสัยกันจนเกินกว่าจะถือสากับคำพูดสมเพลมพัด

    “เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปนะ”

    “แน่นอนแก้ว....”

    นี่เป็นคำพุดที่ผมไม่เคยลืมเลย

    +++++++++


    แสงตะกียงสั่นไฟวูบวาบตามสายลม พ่อของผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งและมองออกไปยังเงาไม้หลังบ้าน สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ แต่ผมกลับรู้สึกร้อนวูบไปทั้งแผ่นหลัง กลัวพ่อจะเจอแก้วที่เพิ่งหลบออกไป

    “ไปกันได้แล้ว”

    ในที่สุดพ่อก็พูดสั้นๆ หันหลังเดินกลับไป คงจะไปจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น

    ผมยืนรออยู่ครู่หนึ่ง พยายามมองหาแก้วในความมืด แต่ตอนนี้เหลือเพียงความมืดเท่านั้น

    “ฉันต้องไปก่อนนะแก้ว”

    ผมพูดเบาๆ หันหน้ามองหลัง เกรงว่าพ่อจะได้ยิน

    “ฉันต้องไปกับพ่อ ไปงานศพของเธอ แล้วกลับมาค่อยคุยกันใหม่นะแก้ว”

    หูเหมือนได้ยินเสียงของแก้วตอบมาเบาๆ ปนกับสายลมที่พัดแรงขึ้นทุกที  ดวงจันทร์หลบเข้าเงาเมฆ  เงาไม้ไหวสะบัดดูไปเหมือนภูติผีกำลังเริงร่า เสียงหมาหอนโหยหวนเยือกเย็นดังมาจากท้ายหมู่บ้านฟังดูเยือกเย็นและวังเวง อย่างน่าขนลุก  แสงไฟวับแวมจากตะเกียงเป็นพิเศษในคืนนี้ คืนซึ่งมีงานศพของแก้ว... ผู้ซึ่งตายไปจากโรคไข้เลือดออกอย่างไม่คาดฝัน  โรคที่สมัยนี้ดูธรรมดาเหลือเกิน.....


    ++

    จบครับ

    แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 48 19:08:07

    แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 48 19:05:39

    แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 48 15:32:58

    แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 48 15:24:07

    แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 48 15:23:19

    จากคุณ : GTW - [ 4 มี.ค. 48 15:19:59 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป