๕๒.
ผู้มาเยือนโปรดฟัง ต่อไปนี้คือบันทึกอารยธรรมของพวกเรา
ดวงดาวของเรามีชื่อว่า เทอร์ร่า อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของพวกเราชาวเทอร์ร่าเจริญรุ่งเรืองมาตลอดระยะเวลายาวนานหลายหมื่นปี พวกเราต่างภาคภูมิในในสติปัญญาและเทคโนโลยีของตนเองว่าเหนือล้ำกว่าผู้ใดในพิภพนี้
ทว่าวันหนึ่งความรุ่งโรจน์นั้นก็มาถึงจุดสิ้นสุด
ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่เริ่มเสื่อมโทรมลงอย่างเลวร้าย เกิดภัยพิบัติแผ่ขยายลุกลามไปทั่วแผ่นดิน ผลกระทบของมันทำให้ทุกเผ่าพันธุ์ล้มตายแทบสูญสิ้น เมื่อทุกสิ่งเข้าสู่ขั้นวิกฤต เหล่าผู้มีสติปัญญาระดับสูงของเทอร์ร่าประชุมกันเพื่อหาหนทางแก้ไข ผลสรุปของการประชุมครั้งนั้นคือการใช้มาตรการสุดท้ายกอบกู้สรรพชีวิตบนทวีปแม่ ทำให้บรรดารุกขชาติและสรรพสัตว์ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง
แต่น่าเสียดายที่ความหวังสุดท้ายนั้นจบลงอย่างล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ซ้ำร้ายกลับยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ฟันเฟืองของเทอร์ร่าหมุนไปสู่ทิศทางแห่งหายนะเร็วยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดพวกเราจึงตัดสินใจสะกดนิ่งให้ทุกสรรพสิ่งเข้าสู่ภาวะจำศีลเพื่อหยุดยั้งภัยพิบัติไว้เพียงเท่านั้น และได้มีการคัดเลือก ผู้เฝ้าดู ขึ้นมาจัดการดูแล
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายพันปี แม้กระทั่งบัดนี้เทอร์ร่ายังคงอยู่ในภาวะหลับใหลไม่อาจรู้ชะตากรรม ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้อารยธรรมของเราเสื่อมสลายไปพร้อมกับร่างเนื้อ และเฝ้ารอคอยเวลาที่เทอร์ร่าจะฟื้นคืนกลับมาดังเดิม
เมื่อนั้นเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ชั่วนิรันดร์จะมาถึง
เรื่องราวทั้งหมดจบลงเพียงเท่านั้น ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบสงัดตามเดิม แต่ทว่าร่างของคณะเดินทางทั้งสี่ยังคงนิ่งขึงไม่ไหวติง ไอเย็นที่ลอยอ้อยอิ่งแลดูคล้ายม่านหมอกบดบังสมองให้คลุมเครือคล้ายอยู่ในความฝัน ความเย็นเยียบของมันชำแรกผ่านอนูเนื้อซึมลึกถึงภายในจิตใจ
สิ่งที่ได้ประสบมานั้นอัศจรรย์พันลึกจนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง ใครเลยจะคาดคิดว่าสถานที่แห่งนี้คือโลกอีกมิติหนึ่งซึ่งแอบซ่อนอยู่ในดินแดนที่ถูกลืมเลือนมานานหลายศตวรรษ ใครเลยจะเชื่อว่าอารยธรรมที่ล่มสลายไปแล้วเมื่อหลายพันปีก่อนจะมีวิทยาการก้าวล้ำกว่าโลกในปัจจุบันหลายเท่า !
สรุปแล้วออยล์เวิร์ทก็คือพิพิธภัณฑ์ของชนเผ่าที่ล่มสลายไปแล้วนี่เอง น่าเสียดายนะที่พวกเราไม่ใช่คณะเดินทางสำรวจของนักโบราณคดี ไม่อย่างนั้นนี่อาจจะเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติก็ว่าได้ แอมารันท์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
เรื่องราวของคนพวกนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้ ที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือมีแต่ซีดานที่สามารถอ่านข้อความของพวกเขาเข้าใจ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ควีน่าทำหน้าสยองขวัญ จ้องหน้าอดีตโจรหนุ่มราวกับเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว
หมายความว่ายังไงน่ะหรือ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ ซีดานกอดอกครุ่นคิด แล้วก็ส่ายหน้า แต่ว่ามันจะยังไงก็ช่างเถอะ พรรคพวกของเราที่เหลือกำลังตกอยู่ในอันตราย เราไม่ควรจะเสียเวลาพะวงอยู่กับเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ตอนนี้เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยพวกเขาก่อน
แม้ทุกคนจะยังติดใจสงสัย แต่ก็เห็นพ้องกับคำพูดของเขา จึงเริ่มต้นออกเดินทางต่อไป โดยทิ้งปริศนามากมายไว้เบื้องหลัง
เนื่องจากบริเวณนั้นไม่มีห้องลับหรือหนทางอื่นอีก ทั้งหมดจึงต้องย้อนกลับไปยังปีกขวาของอาคารที่ยังไม่เข้าไปสำรวจ สุดทางแยกนั้นเป็นโดมโค้งเพดานสูงลิบลิ่วสุดสายตา ที่พื้นศิลาใจกลางห้องทำเป็นแอ่งกลมลึกลงไปโดยที่วาดวงเวทและมีแท่นโลหะห้อยลงมา ลักษณะเหมือนเครื่องฉายภาพในห้องแรกสุดที่พวกเขาพบไม่มีผิด และเมื่อซีดานก้าวไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเครื่องฉายภาพก็เริ่มทำงาน
ภาพของดาวเคราะห์สีแดงที่มีดวงจันทร์สีเดียวกันดวงหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันหมุนวนรอบตัวเองและหมุนวนซึ่งกันและกัน ก่อนจะขยับเลื่อนไปทางด้านซ้าย ในขณะที่ดาวเคราะห์และดวงจันทร์ที่เหมือนกันอีกชุดหนึ่งปรากฏขึ้นทางด้านขวา แต่ครั้งนี้มีสีฟ้าเยือกเย็น ซีดานรู้สึกสะกิดใจว่าภาพดวงดาวสีฟ้าสดใสนี้แลดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด
แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจยิ่งกว่าเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีต่อมา เมื่อดาวทั้งสองดวงซ้อนทับกันเป็นหนึ่งเดียว เกิดเป็นดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่มีดวงจันทร์สองดวง หนึ่งสีแดง อีกหนึ่งสีฟ้า เคียงคู่กันดั่งภาพสะท้อนในกระจกเงา
จันทร์สองดวง!
ชายหนุ่มเบิกตากว้างตะลึงค้าง ในเมื่อโลกที่เขาอยู่ก็มีดวงจันทร์สองดวง หนึ่งสีแดงกับอีกดวงหนึ่งสีฟ้าเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
หมายความว่าไกอากับเทอร์ร่าเชื่อมต่อกันอยู่อย่างนั้นหรือ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อถ้อยคำบันทึกระบุไว้ชัดเจนว่าเทอร์ร่าล่มสลายไปแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน
หากดาวเคราะห์สีแดงแทนเทอร์ร่า ดาวเคราะห์สีฟ้าแทนไกอา และในขณะนี้ดาวทั้งสองดวงกำลังซ้อนกันอยู่ดังที่ปรากฏในภาพมายา อะไรกำลังจะเกิดขึ้น
เรื่องนี้มีความหมายแอบแฝงอยู่เช่นนั้นหรือ !?
อีกไม่ช้าออร่าสีแดงแห่งเทอร์ร่าจะเปล่งประกายเจิดจรัสยิ่งกว่าครั้งใด
เมื่อนั้นเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ชั่วนิรันดร์จะมาถึง
เสียงหนึ่งสะท้อนก้องขึ้นในสมองราวกับว่ามันผุดวาบมาจากความทรงจำ เป็นเสียงของผู้ชายที่แหบพร่าทุ้มต่ำ ทว่ากระแสเสียงบอกชัดถึงความหยิ่งทะนงและภาคภูมิ
ชายหนุ่มทรุดฮวบลงกับพื้น ศีรษะปวดร้าวปานจะแตกแยกเป็นเสี่ยง ๆ
ซีดาน เป็นอะไรรึเปล่า? เฟรย่าจะเข้าไปช่วยประคอง แต่เจ้าตัวยันกายลุกขึ้นมาเองเสียก่อน
ข้า
ไม่เป็นอะไร
คำตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา เขาสะบัดศีรษะแรง ๆ หายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงปกติ เฟรย่า เจ้าเห็นภาพนี้แล้วคิดว่ายังไง?
จริงสินะ ข้ารู้สึกเหมือนกับกำลังมองภาพจำลองของแผ่นดินที่เราอยู่ไม่มีผิด หญิงสาวมองดูลูกกลมใสตรงหน้าแน่วนิ่งอย่างครุ่นคิด ข้าเคยคิดสงสัยนะ สงสัยว่าทำไมบนท้องฟ้าจึงต้องมีพระจันทร์สองดวง และทำไมจึงมีสีสันแตกต่างกัน ถ้าหากสิ่งที่ภาพนี้แสดงออกมาเป็นความจริง คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่
งั้นหรือ
เอ่ยเพียงเท่านั้นก็นิ่งเงียบไปอย่างผิดวิสัยคนช่างพูด
อัศวินมังกรสาวรู้สึกสังหรณ์ใจไม่สู้จะดีนัก มองดูเพื่อนหนุ่มด้วยรู้สึกเป็นกังวล ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในดินแดนลี้ลับแห่งนี้ พวกเธอต้องพบกับเรื่องราวที่เป็นปริศนามากมาย ถ้ามองแต่ภายนอกอาจจะเห็นว่าปริศนาเหล่านั้นเป็นเพียงร่องรอยของอารยธรรมโบราณที่รอให้ถูกค้นพบ ทว่าหากมองในอีกแง่มุมหนึ่งแล้วทุกอย่างคล้ายกับว่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับซีดานทั้งสิ้น
หรือว่าการที่คูจาให้ซีดานมายังออยเวิร์ทจะเป็นเพราะสาเหตุนี้
ทุกคน มาดูทางนี้สิ
ควีน่าส่งเสียงเรียก หันมากวักมือหยอย ๆ เขากำลังนั่งคุดคู้อยู่ข้างหน้าแท่นศิลาทรงกลมสีฟ้าสดอีกแท่นหนึ่ง ถัดออกไปเบื้องหน้าเขาเป็นช่องอุโมงค์ลึกลงสู่ความดำมืดของผืนพิภพเบื้องล่าง มืดสนิทจนไม่อาจมองเห็นว่าอุโมงค์นั้นสิ้นสุดลงที่ใด
ราวกับมีพรายกระซิบ ซีดานรู้สึกได้ทันทีว่าเส้นทางนี้จะนำไปสู่สิ่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ ครั้นเมื่อก้าวขึ้นไปบนแท่นนั้นก็สัมผัสถึงคลื่นพลังบางอย่างที่ตอบสนองกลับมา
...เหมือนกับอุโมงค์ที่ต้นอีฟา
ชายหนุ่มคิด ทั้งอุโมงค์และแท่นศิลาคล้ายกับที่เคยพบเมื่อคราวที่ไปสำรวจต้นอีฟาในทวีปด้านนอกมากทีเดียว ตอนนั้นแท่นศิลาทำหน้าที่เป็นเสมือนลิฟต์ และตอบสนองต่อเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
คิดมาถึงตรงนี้ก็ฉุกใจนึกขึ้นได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ทว่าก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว ประจุไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบจากแท่นศิลาสะท้อนวูบวาบไปทั่วอุโมงค์พร้อมกับที่ตัวแท่นยกตัวขึ้น เขารีบตะโกนเรียกพรรคพวกซึ่งกระโดดขึ้นมาได้ทันเวลาก่อนที่ ลิฟต์ จะเหวี่ยงตัวหมุนวนตามรอยบากข้างผนังลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ชั่วอึดใจต่อมาลิฟต์ก็พาผู้โดยสารลงมายังชั้นล่างสุดของอุโมงค์ แรกทีเดียวรอบข้างมืดสนิทไม่เห็นสิ่งใด แต่เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาในห้อง แสงไฟจากคบเพลิงที่ติดตั้งไว้สองข้างผนังสว่างวาบขึ้นเอง เผยให้เห็นแผ่นหินรูปสามเหลี่ยมกลับหัวตั้งตระหง่านอยู่ ณ ใจกลางของห้องนั้น และภายในช่องที่เจาะลึกเข้าไปเป็นร่องที่ส่วนฐานของสามเหลี่ยมยังมีศิลารูปสามเหลี่ยมอีกอันหนึ่งซ้อนอยู่
นี่น่ะเองคือศิลากุลุกที่คูจาพร่ำพรรณนาถึง มันเป็นแท่งหินรูปสามเหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือ ลักษณะคล้ายกับทำจากหินละลายหลอมรวมกับโลหะเงาวาวชนิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ตัวแท่งศิลาสลักลวดลายวงกลมสีแดงกับสามเหลี่ยมสีฟ้าซ้อนทับกันเหมือนกับวงเวทที่ปรากฏอยู่ทั่วไปภายในออยเวิร์ท เมื่อคิดดูอีกทีวงเวทดังกล่าวอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์บางอย่าง ซึ่งอาจจะหมายความถึงเทอร์ร่าก็เป็นได้
ซีดานเอื้อมมือจะดึงเอาแท่งศิลาออกมา แต่ก็ถูกสะท้อนกลับราวกับมีกระแสพลังบางอย่างกั้นขวางเอาไว้ ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งโถงห้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง เกิดกระแสลมหมุนพัดจนแทบยืนไม่ติด เมื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้งก็ต้องพบกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน
ร่างของอะไรบางอย่างที่แลดูคล้ายเรือเหาะรูปร่างอย่างนกชนิดหนึ่ง หากแต่เป็นนกที่สร้างจากโลหะเคลื่อนตัวออกมาจากความว่างเปล่าของอากาศธาตุตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้ มันลอยตัวหยุดนิ่งอยู่เหนือศีรษะเบื้องหน้าพวกเขา การเคลื่อนไหวเงียบกริบผิดกับขนาดร่างอันใหญ่โตของมันอย่างน่าแปลกใจ
ขณะที่ยังไม่มีใครทันตั้งตัว เรือเหาะ หันส่วนหัวมาทางผู้ล่วงล้ำปล่อยลำแสงสีแดงพุ่งตรงมาปะทะร่างของเฟรย่า แอมารันท์ และควีน่า ส่งผลให้ทั้งสามล้มฟุบลงไปนอนแน่นิ่งในชั่วพริบตา โดยที่ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง และเลือดหลั่งริน ทิ้งให้คนที่เหลือได้แต่ตะลึงงัน ด้วยไม่คาดคิดเลยว่า
พวกพ้องของตนจะต้องมาพลาดท่าเสียทีอย่างง่ายดายเช่นนี้ !
จากคุณ :
แมวใบตอง
- [
12 มี.ค. 48 18:31:02
]