ถ้าหากว่าชีวิตคนเราเปรียบเหมือนนิยาย ลงท้ายเรื่องแล้วทุกคนทุกคู่ก็น่าจะลงเอยด้วยความสุขความสมหวัง หากแต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป เพราะชีวิตกลับถูกกำหนดให้พบกับเรื่องราวหลายหลาก ซึ่งหลายเรื่องก็ล้วนแล้วแต่เลวร้ายจนไม่อยากพบเจอ หากแต่การหาทางหลีกหนียิ่งจนแต้มเกินกว่าจะคิดฝัน
เช่นเดียวกับบ้านหลังน้อยหลังนี้ หากมองอย่าผิวเผินมันก็คงไม่ต่างอะไรไปจากกล่องสี่เหลี่ยม ต่างกันเพียงแค่ในกล่องใบนี้นั้นถูกบรรจุไปด้วยชีวิตของคนครอบครัว เหมะพัฒธะ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงบ้านหลังเล็ก แต่บ้านหลังนี้กลับถูกรายล้อมและอัดแน่นด้วยความรักของเดชาและนัยนาที่มีต่อลูกซึ่งมีอาการทางสมองทั้งสองคน หากความขาดแคลนจะทำให้หลายคนต้องทอดทิ้งสายเลือดของตัวเอง เพื่อไปหาความมั่งมี โดยทำเป็นลืมกับสิ่งเหล่านั้นที่ตัวเองคิดว่าเป็นตัวถ่วง แต่มันไม่ได้ทำให้ทั้งคู่เป็นเหมือนคนเหล่านั้น บางครั้งทั้งคู่จะต้องอดมื้อกินมื้อ แต่สำหรับลูกๆทั้งสองคนกลับไม่เคยอด มันเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่ แต่สำหรับคำว่าไม่พอ มันไม่สามารถทำให้บ้านหลังที่อบอุ่นนี้สั่นคลอนตามแรงเศรษฐกิจที่ทั่งโถมเข้าสู่บ้านหลังน้อยหลังนี้..
เดชา และ นัยนา เหมะพัฒธะ ก็เหมือนกับชายหญิงอีกหลายคู่ ที่วาดฝันว่าอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกเล็ก ๆ ที่น่ารัก อยู่ร่วมกันในบ้านหลังน้อยที่จะค่อย ๆ ขยับขยายออกไปตามฝัน แต่แล้วโชคชะตาก็หยิบยื่นอย่างบีบบังคับให้รับความทุกขืยากและขาดแคลนทั้งหลายไว้ จนทุกอย่างพังทลาย...ไม่อาจเป็นได้ดังฝัน
ให้สมัยก่อนที่เรายังไม่ได้แต่งงานกัน พี่และแฟนพี่นั้นเราทำงานทั้งคู่นั่นแหละ พี่ทำงานบริษัทประกัน ส่วนพี่เดชาเขาทำงานอยู่โรงงานแก้ว นัยนานึกถึงความหลังที่เต็มไปด้วยสีชมพู ก่อนที่ความมืดดำจะย่างกลายเข้ามาในชีวิต
พอแต่งงานกัน ก็กลายเป็นว่าเราทั้งสองต้องกลายเป็นคนตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ หลายคนพูดเอาไว้ว่าหากโชคดีในความรักมักจะไม่สมหวังกับการงาน เรื่องของเรื่องมันก็คือว่า ผมป่วยก่อน.....ป่วยเป็นฝี มันขึ้นทับเส้นประสาท ทำงานไม่ไหวเลยต้องลางานไปหาหมอ หมอเขาเลยให้ผ่าเอาออกและต้องพักอยู่เกือบเดือน พอไปทำงานก็ปรากฏว่า ทางบริษัทเรียกเข้าไปคุยและก็เชิญเราออก นี่ขนาดมีใบแพทย์นะยังทำกันได้ขนาดนี้เลย แต่ก็ยังดียังได้เงินทดแทนมาบ้าง นี่คือคำพูดของเดชาอดีตพนักงานโรงงานแก้วและพ่อของลูกๆทั้งสอง บางครั้งเรื่องราวเหล่านี้เรามักจะโทษสังคมว่าเอาเปรียบแต่หากมองกันจริงๆแล้ว คนในสังคมต่างหากที่เป้นตัวทำปฏิกิริยาให้สังคมต้องเป็นไปอย่างที่เราคิดไม่ถึง
ในเรื่องร้ายๆมักจะมีเรื่องดีๆซ่อนอยู่ ทั้งคู่ได้ลูกชายที่น่ารักจ้ำม้ำ ผู้ที่เกิดมาเป็นเหมือนดั่งสายใยเชื่อมโยงให้ทั้งคู่รักกันมากกว่าเดิม น้องโก้ เด็กชายตัวน้อยเติบโตมาพร้อมกับความรักที่พ่อและแม่ที่ทุ่มเทให้อย่างเต็มที โดยหวังว่าวันหนึ่งเขาจะเติบโตมาเป็นคนดีของสังคมและดูแลทั้งสองคนเมื่อยามแก่เฒ่า แต่แล้วก็เหมือนชีวิตถูกซ้ำเติม
เมื่อตอนน้องโก้อายุได้ขวบกว่าๆ เขาชักแล้วก็หมดสติไป เอาไปรักษาที่โรงพยาบาลทหารเรือ หมอบอกว่าสมองขาดอากาศไปชั่วขณะ พอพื้นขึ้นมาก็กลายเป็นอย่างนี้ หากนานกว่านี้คงตองเป็นเจ้าชายนิทรา นัยนามองดูลูกชายผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับอาการทางสมอง เขามีความสุขกับการที่ได้เปิดวิทยุเล็กๆที่มีคนให้มา วิทยุสีแดงสดแนบติดอยู่กับหูของโก้ เขาร้องเพลงคลอเบาๆ แต่ความสนใจของโก้พุ่งมาที่เครื่องบันทึกเสียง เดี๋ยว.....รายงาน....อากาศก่อนนะๆๆ โก้พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาโดยไม่ได้ละสายตาจากเครื่องบันทึกเสียง
บางทีเราก็คิดว่าเรื่องร้าย ๆ ที่มาผ่านเข้ามามันคงจะผ่านไป แต่บางที่เราก็คิดผิดหรืออาจจะพูดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป
ส่วนน้องมุกน้องสาวของโก้ เขาเป็นออทิสติก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร งานทั้งหมดก็เลยต้องตกมาอยู่กับพี่ บางทีเขาป่วยเข้าโรงพยาบาล เราก็ต้องเอาเงินที่ได้เก็บไว้ตั้งแต่ครั้งที่พี่เดชาเขาโดนไล่ออก มารักษา...จนเดี๋ยวนี้ก็แทบไม่เหลือ นัยนาพลั่งพลูออกมา
ทุกวันนี้มีทั้งนัยนาและเดชาไม่มีอาชีพที่แน่นอน ตอนนี้ผมก็รับจ้างบ้านครู ไปวันๆ ยังโชคดีที่ครูช่วยเหลือ บางทีก็ได้ข้าวสารอาหารแห้งมากินมาใช้ในครอบครัว ครูเขาให้ค่าจ้างเป็นวันละ150-200บาท ก็ยังดีที่มีรายได้บ้าง ถึงแม้จะมีเสียงหัวเราะสอดแทรกมากับคำพูดของเดชา มันคงเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเศร้าที่หลีกหนีไม่พ้น
ถึงแม้สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่รายล้อมรอบ ครอบครัวเหมะพัฒธะ นั้นจะไม่ได้สวยหรู แต่การที่มีความรักและความอบอุ่นให้แก่กันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และงดงาม ทุกวันนี้พี่ก็ต้องดูแลเขาทั้งสองคน และไม่สามารถที่จะทิ้งไปไหนได้เลย เพราะตอนนี้มุกเขาก็โตขึ้นทุกวัน ปีนี้ก็ 9 ขวบเข้าไปแล้ว เดชาพูดแทรกขึ้นมาว่าทุกวันนี้ยิ่งต้องดูแลเขามากๆ กลัวมากเลยตอนนี้ ไอ้พวกโรคจิตมันก็มาก เรากลัวก็เลยไม่กล้าทิ้งเขาไปไหน แต่ส่วนใหญ่แม่เขาจะคอยดูตอนผมไปทำงานที่บ้านครู เด็กหญิงนั่งเล่นกล่องขนมโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง สายตาของเธอมองอย่างเป็นมิตรก่อนเธอจะยิ้มแล้วเอากล่องขนมกระแทกกับพื้นบ้าน
บ้านเล็กๆที่อบอวลไปด้วยความรักของพ่อและแม่ที่มีให้กับลูกรักทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะไม่ปรกติ เฉกเช่นเด็กคนอื่น เขาทั้งคู่ก็สามารถรับรู้ถึงความรักของพ่อและแม่ได้ ทุกครั้งอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
.
จากคุณ :
daxter
- [
17 มี.ค. 48 10:42:57
]