CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    บ้าน

    “ถ้าหากว่าชีวิตคนเราเปรียบเหมือนนิยาย   ลงท้ายเรื่องแล้วทุกคนทุกคู่ก็น่าจะลงเอยด้วยความสุขความสมหวัง  หากแต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป  เพราะชีวิตกลับถูกกำหนดให้พบกับเรื่องราวหลายหลาก  ซึ่งหลายเรื่องก็ล้วนแล้วแต่เลวร้ายจนไม่อยากพบเจอ  หากแต่การหาทางหลีกหนียิ่งจนแต้มเกินกว่าจะคิดฝัน
    เช่นเดียวกับบ้านหลังน้อยหลังนี้  หากมองอย่าผิวเผินมันก็คงไม่ต่างอะไรไปจากกล่องสี่เหลี่ยม  ต่างกันเพียงแค่ในกล่องใบนี้นั้นถูกบรรจุไปด้วยชีวิตของคนครอบครัว “เหมะพัฒธะ” ถึงแม้มันจะเป็นเพียงบ้านหลังเล็ก   แต่บ้านหลังนี้กลับถูกรายล้อมและอัดแน่นด้วยความรักของเดชาและนัยนาที่มีต่อลูกซึ่งมีอาการทางสมองทั้งสองคน  หากความขาดแคลนจะทำให้หลายคนต้องทอดทิ้งสายเลือดของตัวเอง  เพื่อไปหาความมั่งมี  โดยทำเป็นลืมกับสิ่งเหล่านั้นที่ตัวเองคิดว่าเป็นตัวถ่วง   แต่มันไม่ได้ทำให้ทั้งคู่เป็นเหมือนคนเหล่านั้น   บางครั้งทั้งคู่จะต้องอดมื้อกินมื้อ  แต่สำหรับลูกๆทั้งสองคนกลับไม่เคยอด     มันเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่    แต่สำหรับคำว่าไม่พอ มันไม่สามารถทำให้บ้านหลังที่อบอุ่นนี้สั่นคลอนตามแรงเศรษฐกิจที่ทั่งโถมเข้าสู่บ้านหลังน้อยหลังนี้..
    เดชา และ นัยนา เหมะพัฒธะ ก็เหมือนกับชายหญิงอีกหลายคู่  ที่วาดฝันว่าอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น  มีลูกเล็ก ๆ ที่น่ารัก  อยู่ร่วมกันในบ้านหลังน้อยที่จะค่อย ๆ ขยับขยายออกไปตามฝัน   แต่แล้วโชคชะตาก็หยิบยื่นอย่างบีบบังคับให้รับความทุกขืยากและขาดแคลนทั้งหลายไว้  จนทุกอย่างพังทลาย...ไม่อาจเป็นได้ดังฝัน
    “ให้สมัยก่อนที่เรายังไม่ได้แต่งงานกัน  พี่และแฟนพี่นั้นเราทำงานทั้งคู่นั่นแหละ พี่ทำงานบริษัทประกัน  ส่วนพี่เดชาเขาทำงานอยู่โรงงานแก้ว”    นัยนานึกถึงความหลังที่เต็มไปด้วยสีชมพู  ก่อนที่ความมืดดำจะย่างกลายเข้ามาในชีวิต    
    “พอแต่งงานกัน ก็กลายเป็นว่าเราทั้งสองต้องกลายเป็นคนตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ”  หลายคนพูดเอาไว้ว่าหากโชคดีในความรักมักจะไม่สมหวังกับการงาน   “เรื่องของเรื่องมันก็คือว่า  ผมป่วยก่อน.....ป่วยเป็นฝี  มันขึ้นทับเส้นประสาท  ทำงานไม่ไหวเลยต้องลางานไปหาหมอ   หมอเขาเลยให้ผ่าเอาออกและต้องพักอยู่เกือบเดือน    พอไปทำงานก็ปรากฏว่า   ทางบริษัทเรียกเข้าไปคุยและก็เชิญเราออก  นี่ขนาดมีใบแพทย์นะยังทำกันได้ขนาดนี้เลย  แต่ก็ยังดียังได้เงินทดแทนมาบ้าง” นี่คือคำพูดของเดชาอดีตพนักงานโรงงานแก้วและพ่อของลูกๆทั้งสอง    บางครั้งเรื่องราวเหล่านี้เรามักจะโทษสังคมว่าเอาเปรียบแต่หากมองกันจริงๆแล้ว   คนในสังคมต่างหากที่เป้นตัวทำปฏิกิริยาให้สังคมต้องเป็นไปอย่างที่เราคิดไม่ถึง
    ในเรื่องร้ายๆมักจะมีเรื่องดีๆซ่อนอยู่  ทั้งคู่ได้ลูกชายที่น่ารักจ้ำม้ำ  ผู้ที่เกิดมาเป็นเหมือนดั่งสายใยเชื่อมโยงให้ทั้งคู่รักกันมากกว่าเดิม น้องโก้    เด็กชายตัวน้อยเติบโตมาพร้อมกับความรักที่พ่อและแม่ที่ทุ่มเทให้อย่างเต็มที  โดยหวังว่าวันหนึ่งเขาจะเติบโตมาเป็นคนดีของสังคมและดูแลทั้งสองคนเมื่อยามแก่เฒ่า แต่แล้วก็เหมือนชีวิตถูกซ้ำเติม  
    “เมื่อตอนน้องโก้อายุได้ขวบกว่าๆ  เขาชักแล้วก็หมดสติไป  เอาไปรักษาที่โรงพยาบาลทหารเรือ  หมอบอกว่าสมองขาดอากาศไปชั่วขณะ พอพื้นขึ้นมาก็กลายเป็นอย่างนี้  หากนานกว่านี้คงตองเป็นเจ้าชายนิทรา”  นัยนามองดูลูกชายผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับอาการทางสมอง  เขามีความสุขกับการที่ได้เปิดวิทยุเล็กๆที่มีคนให้มา    วิทยุสีแดงสดแนบติดอยู่กับหูของโก้   เขาร้องเพลงคลอเบาๆ แต่ความสนใจของโก้พุ่งมาที่เครื่องบันทึกเสียง “เดี๋ยว.....รายงาน....อากาศก่อนนะๆๆ”  โก้พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาโดยไม่ได้ละสายตาจากเครื่องบันทึกเสียง
    บางทีเราก็คิดว่าเรื่องร้าย ๆ ที่มาผ่านเข้ามามันคงจะผ่านไป   แต่บางที่เราก็คิดผิดหรืออาจจะพูดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป  
    “ส่วนน้องมุกน้องสาวของโก้   เขาเป็นออทิสติก  ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร  งานทั้งหมดก็เลยต้องตกมาอยู่กับพี่   บางทีเขาป่วยเข้าโรงพยาบาล  เราก็ต้องเอาเงินที่ได้เก็บไว้ตั้งแต่ครั้งที่พี่เดชาเขาโดนไล่ออก มารักษา...จนเดี๋ยวนี้ก็แทบไม่เหลือ” นัยนาพลั่งพลูออกมา  
    ทุกวันนี้มีทั้งนัยนาและเดชาไม่มีอาชีพที่แน่นอน   “ตอนนี้ผมก็รับจ้างบ้านครู ไปวันๆ  ยังโชคดีที่ครูช่วยเหลือ บางทีก็ได้ข้าวสารอาหารแห้งมากินมาใช้ในครอบครัว   ครูเขาให้ค่าจ้างเป็นวันละ150-200บาท   ก็ยังดีที่มีรายได้บ้าง”  ถึงแม้จะมีเสียงหัวเราะสอดแทรกมากับคำพูดของเดชา   มันคงเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเศร้าที่หลีกหนีไม่พ้น
    ถึงแม้สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่รายล้อมรอบ “ครอบครัวเหมะพัฒธะ” นั้นจะไม่ได้สวยหรู   แต่การที่มีความรักและความอบอุ่นให้แก่กันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และงดงาม   “ทุกวันนี้พี่ก็ต้องดูแลเขาทั้งสองคน   และไม่สามารถที่จะทิ้งไปไหนได้เลย  เพราะตอนนี้มุกเขาก็โตขึ้นทุกวัน   ปีนี้ก็ 9 ขวบเข้าไปแล้ว”   เดชาพูดแทรกขึ้นมาว่า“ทุกวันนี้ยิ่งต้องดูแลเขามากๆ  กลัวมากเลยตอนนี้   ไอ้พวกโรคจิตมันก็มาก  เรากลัวก็เลยไม่กล้าทิ้งเขาไปไหน   แต่ส่วนใหญ่แม่เขาจะคอยดูตอนผมไปทำงานที่บ้านครู”    เด็กหญิงนั่งเล่นกล่องขนมโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง   สายตาของเธอมองอย่างเป็นมิตรก่อนเธอจะยิ้มแล้วเอากล่องขนมกระแทกกับพื้นบ้าน  
    บ้านเล็กๆที่อบอวลไปด้วยความรักของพ่อและแม่ที่มีให้กับลูกรักทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยม  แม้จะไม่ปรกติ เฉกเช่นเด็กคนอื่น   เขาทั้งคู่ก็สามารถรับรู้ถึงความรักของพ่อและแม่ได้  ทุกครั้งอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน….

    จากคุณ : daxter - [ 17 มี.ค. 48 10:42:57 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป