CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    นักสู้(Gladiator) - ครึ่งแรก

    นักสู้(Gladiator)

    “แม็กซิมุส...แม็กซิมุซ...แม็กซิมุส” เสียงโห่ร้องผองโรมันก้องสนาม

    เลือดเหลวสีแดงเข้ม ยืดย้อยไหลโลมใบเหล็กบางเงาวับไปลาละที่ปลายดาบ แล้วหยดลงสู่ธรณี กล้ามเนื้อต้นแขนทั้งสองข้างของเขาเต้นกระตุกตุบๆเพราะเพิ่งเสร็จสิ้นการโรมรันพันตูกับคู่ต่อสู้ เม็ดเหงื่อผุดพรั่งออกมาทั่วสรรพางค์ ทรวงอกกว้างบึกบึนขยับเร็วด้วยหอบหายใจ ผงฝุ่นทรายกระจายกลืนเข้ากับเหงื่อเป็นคราบโคลนเลอะเทอะเปรอะร่าง…

    ทหารลิ่วล้อในหมวกเหล็กกรูเข้ามาลากศพนักสู้ผู้สูญสิ้นแล้วซึ่งลมหายใจและวิญญาณเหลือไว้แต่ศักดิ์ศรีให้คนกล่าวขวัญถึงความแกร่งกล้าและสามารถในเชิงสัปยุทธ์ แม้ว่าในส่ำเสียงโห่ร้อง นักสู้ผู้กล้าอย่างพวกเขาก็ไม่ต่างกับนักแสดงที่ร่ายรำล้อระเริงบนลานกว้างให้ผู้ชมหฤหรรษ์ด้วยศาสตราวุธเด็ดขาดและมีชีวิตเป็นเดิมพัน

    ...มีเพียงหนึ่งฝ่ายเท่านั้นที่จะเดินออกไปได้ด้วยการยอมรับจากมหาชน...

    ผมกดรีโมทคอนโทรลปิดดีวิดีเรื่อง “แกลดิเอเตอร์” ของริดลีย์ สกอตต์ เมื่อเครดิตของบริษัทผู้สร้างค้างอยู่บนจอโทรทัศน์ ผมดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ห้าครั้ง และซื้อดีวิดีมาดูที่บ้าน นับไม่ได้เหมือนกันว่าดูเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วแต่เกินร้อยแน่ๆ มิได้ชื่นชมผู้สร้าง...มิได้คลั่งไคล้รัสเซิล โครว์ นักแสดงชาวออสเตรเลียน...ออกจะไม่ชอบตัวละครนี้ด้วยซ้ำ เพราะอะไรก็ไม่รู้ มันบอกไม่ถูกเหมือนกัน ไม่ค่อยชอบโดยไม่มีเหตุผลก็ว่าได้

    ทุกครั้งที่ชม...มันเหมือนกับว่าตัวเองมีปฏิกิริยารู้สึกได้ถึงความเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บปวด และก็ความภาคภูมิใจของตัวละครต่างๆ เมื่อมีการเข่นฆ่านักสู้อีกฝ่าย ไม่ได้รู้สึกอิ่มเอมใจกับการสังหาร แต่เป็นเหมือนสัมผัสได้ถึงการหลุดพ้นมีชีวิตรอดอีกหนึ่งสนามแห่งความตายของนักสู้แต่ละคน

    แกลดิเอเตอร์เป็นนักสู้ที่เกณฑ์มาจากพวกทาส เชลยศึก นอกจากพวกเขาจะต้องต่อสู้กันเองโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันแล้ว ในบางครั้งก็ต้องต่อสู้กับสัตว์ป่าอีกด้วย ว่ากันว่า บางครั้งจักรพรรดิถึงกับลงไปต่อสู้เองด้วยซ้ำไป

    และเมื่อถึงท้ายเรื่อง ตัวเอกตายด้วยน้ำมือของจักรพรรดิหนุ่มขี้โกง ผมมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรที่เกินจริงไปมาก...มากจนบางครั้งอดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของแกลดิเอเตอร์ในประวัติศาสตร์จริงๆ ก็น่าแปลกนะ...ภาพมือของตัวเอกกวาดผ่านยอดหญ้าในความฝันเปิดเรื่องกับฝันสุดท้าย เป็นทุ่งเดียวกับที่ผมฝันเห็นบ่อยๆ มันไม่ใช่หญ้าที่ขึ้นในบ้านเรา แต่เป็นพันธุ์หญ้าเมืองหนาวที่มีใบหนา ตอแน่น เพื่อให้ทนทานต่ออากาศหนาวเย็น ใบของมันเหี่ยวแห้งลงไปอย่างช้าๆหลังจากที่ได้พยายามปรับสภาพตัวเองต่อสู้กับอากาศหนาวเย็นจนใบเป็นสีน้ำตาลเข้ม และจมอยู่ภายใต้กองหิมะแรก ฝังรากตัวเองอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว เพื่อรอวันงอกออกมาใหม่ เมื่อฟ้าใส ฝนฉ่ำ

    ต้นไม่ใหญ่ยืนสูงสิต้องลาลับจากโลกไปเมื่อไม่สามารถหล่อเลี้ยงดูแลลำตันขนาดใหญ่แม้ปลิดใบทิ้งแล้วก็ตาม คงมีบางพันธุ์ที่ดำเนินชีวิตสงบ...เพื่อรอการเกิดใหม่อย่างกอหญ้า

    ตายแล้วเกิด...เกิดแล้วตาย เป็นสามัญของสิ่งมีชีวิต การเวียนว่ายตายเกิดถูกรองรับด้วยความเชื่อ ตายแล้วดับสูญ ถูกอรรถาธิบายด้วย...นิพพาน

    แต่การรั้งรอดของเหล่าหญ้ากอเหล่านี้ แม้ไม่ตายดับอย่างสิ้นเชิง...แต่ก็ไม่งอกงามหรืออยู่คงทน...หากแต่รอการเกิดใหม่อีกครั้ง

    ปรัชญาแห่งการเอาชีวิตรอดอย่างธรรมชาติ...เล็กและทน จึงพ้นภัย ใหญ่ว่าใหญ่ กลับวายวาง ภาพของทุ่งหญ้าสีทองจะค้างคาตราตรึงอยู่ในใจทุกครั้งที่ดูจบ...

    อย่ากระนั้นเลย ถ้าหัวใจมันคร่ำครวญลึกซึ้งขนาดนั้น ก็ไปเที่ยวดูของจริงสักครั้งจะเป็นไรไป เงินทองพอหาได้อยู่น่า ค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก อาหารการกิน กะงบไม่เกินห้าหมื่น โบนัสก็ยังไม่ได้ใช้ทำอะไร ลองไปตามหาหัวใจสักครั้งก็ไม่เลวนะ เดี๋ยวตายวันตายพรุ่งก็เลยไม่ต้องเห็นกันพอดี เออ...นะ ทำไมเพิ่งจะมาคิดเอาตอนนี้ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ไม่มีอะไรสายเกินแกงอยู่แล้วสำหรับชีวิตเดี่ยวอย่างผม

    ผมใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมข้อมูลสำหรับวางแผนการเดินทางไปอิตาลี คิดเอง ตัดสินใจเอง ก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนซักเท่าไหร่ ตัวคนเดียวเที่ยวซำเหมา สรุปแผนเดินทางลงตัวปลายทางที่โรมและจบที่ฟลอเรนซ์ การบินไทยแพงไป ถ้าภาษาอังกฤษไม่มีปัญหา สายการบินอะไรก็ได้ที่ถูกตังค์หน่อยแต่ต้องไม่เป็นเป้าโจมตีทางอากาศของใครเท่านั้นพอ

    อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการเลี้ยงสมองให้อิ่มหมีพีมันกับเกร็ดความรู้ต่างๆที่เกี่ยวกับอิตาลี เน้นทั้งสองเมืองปลายทาง การท่องเที่ยวจะได้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด ไม่ใช่เป็นแค่การเปลี่ยนที่นอน หรือหาสถานที่ถ่ายรูปไกลๆ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภูมิอากาศ และภูมิประเทศ ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเชิงลึกทั้งสิ้น กับเวลาเพียงสองสัปดาห์ ก็เหมือนกับการขี่ม้าชมเมืองอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ไปเที่ยวแต่โรมอย่างเดียวแล้วข้ามฟลอเรนซ์ไป ก็เหมือนกับฝรั่งมาอยุธยาแล้วไม่ไปเชียงใหม่อะไรอย่างนั้น อันที่จริงก็ยังมีเวนิซอีกเมืองที่ใฝ่ฝัน แต่ต้องกัดฟันขอเป็นทริปหน้า เพราะไม่อยากวิ่งเที่ยวดมดอกไม้อย่างที่ว่า

    ............................................

    สนามบินฟิอูมิซิโน่หรือสนามบินลีโอนาร์โด ดา วินจิหรูหราด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เหมือนกับเมืองใหญ่ๆในยุโรป มีเพียงสถาปัตยกรรมริมทางยกระดับที่เชื่อมถนนภายนอกกับตัวอาคารผู้โดยสารเท่านั้นเองที่จุดประกายในก้าวแรกของคนที่บินข้ามโลกมาตามหาความปรารถนาอันแรงกล้า

    ผมนั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินเข้าโรม ใช้เวลาไม่นานนัก ก็มาโผล่กลางกรุงโรมอย่างสะดวกดายที่ แทร์มินี่ สเตชั่น ผมจองที่พักผ่านอินเตอร์เนตโดยให้ใกล้กับสถานีรถไฟมากที่สุด เช็คอินเข้าที่พักราคาย่อมเยาก็ไม่ให้เสียเวลา กางแผนที่วางแผนเที่ยวทันที

    โรมในชั่วโมงแรกๆจึงเป็นเมืองพลุกพล่านเมืองหนึ่ง โบราณสถาน สถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมสาธารณะปรากฎตามรายทางที่เดินไป...

    ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรจึงจะถ่ายทอดแปรอารมณ์และความรู้สึกได้ทั้งหมด

    สถาปัตยกรรมโบราณของอาคารบ้านเรือน ตลอดจนสถานที่เอกชนและราชการต่างๆ มันยิ่งใหญ่สวยงามมากเกินที่จะใช้ความรู้สึกแปลกตามาตัดสิน กลิ่นโรมมันฟุ้งเข้ามาในลมหายใจเลยก็ว่าได้

    ผมเดินเข้าไปสัมผัสหินทรายก้อนเขื่องๆที่ประดับประดาตามอาคาร เหมือนกระแสพิเศษซ่านเข้ามาตามปลายนิ้วและฝ่ามือผ่านเข้าไปทั่วร่าง...ด้วยสายตาและกลิ่นมันมีมนต์ขลังแห่งความเป็นประวัติศาสตร์ที่ยากยิ่งจะบรรยาย

    ผมพับแผนที่ไว้ในเป้ ออกเดินจากที่พักมุ่งหน้าสู่บันไดสเปน แผนการที่วางไว้สำหรับอาคารสถานที่เด่นๆที่ได้อ่านจากคู่มือท่องเที่ยวถูกพับเก็บไว้ ผมจะเดินเก็บเอาทุกอย่างที่ผมอยากจะเก็บ จะหยุดเมื่ออยากหยุด จะถ่ายภาพเมื่ออยากถ่าย จะสเก็ตช์ภาพเมื่ออยากสเก็ตช์ จะเขียนบทกวีเมื่ออยากเขียน...

    เสื้อกันหนาวที่เตรียมมาถูกนำมาพันเอวเอาไว้ คนเมืองร้อนจะมาเมืองหนาว ตำราเขาว่าไว้ สิบแปดองศาเซลเซียสสำหรับช่วงนี้ ก็คงถือว่าเย็นสำหรับคนจากเส้นศูนย์สูตร แต่แสงแดดโรมเจิดจ้าจนทำให้ผมเหงื่อแตก แผ่นหลังคันยิบๆราวกับมดเป็นพันๆตัวมารุมกัด...

    ผมไปหยุดทานอาหารกลางวันที่บันไดสเปน ก็นั่งกับชาวบ้านบนขั้นบันไดนั่นแหละ มีดนตรีเปิดหมวกให้ดูฟรีๆด้วย แปลกที่ผมไม่มีความรู้สึกที่ดีกับที่นี่ อาจจะเป็นเพราะผมไม่ชอบที่ตัวเอกจากเรื่องแกลดิเอเตอร์ได้รับฉายาว่านักสู้จากสเปน หรืออีกนัยหนึ่งผมไม่ชอบการเรียกขานชื่อเผ่าพันธุ์อื่นในแผ่นดินโรมราวกับเป็นเจ้าของแผ่นดิน...

    “When you are in Rome, do like Roman.”

    อาหารกลางวันของผมง่ายและถูกตังค์ พิซซ่าร้อนๆขนาดเล็กครึ่งแผ่นก็เหลือเฟือ ร้านที่ซื้อก็เป็นร้านริมถนนเล็กๆแต่อร่อยยิ่งกว่าพิซซ่าธุรกิจตามเมืองใหญ่ทั่วโลก อาจจะเป็นเรื่องของบรรยากาศด้วยกระมัง

    สถานที่แห่งนี้ผมไม่ค่อยมีความรู้สึกอะไรกับมันมากมาย ร้านสินค้าแฟชั่นอย่างแชนเนล คริสเตียน ดิออร์ ฯลฯ เรียงรายล่อนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก แต่คนหาของเก่าอย่างผมคงไม่ต้องเจอกันก็ได้

    ผมเดินไปตามถนนปูด้วยอิฐก้อนโตๆ ทุกก้าวย่าง สามารถจินตนาการได้ถึงเม็ดเหงื่อ หยดเลือด และหยาดน้ำตาของบรรดาทาสและชเลยศึกที่ต้องมาปูถนนในอาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่ในอดีต...

    ผมมองนาฬิกาข้อมือ แล้วหยิบเอาแผนที่มาเปิดหาทางสู่คอลอสเซี่ยม(Colosseum) ซึ่งบ้านเราเรียกเป็นโคลีเซี่ยมไปโน่น เกือบสี่โมงเย็นแล้ว เราใช้เวลากับรายทางมาก ถ้าไม่รีบเร่งก็จะไปถึงคอลอสเซี่ยมสนามต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่ตั้งใจข้ามฟ้าข้ามทะเลมาเยือนเย็นจนเกินไป ทางเดินขึ้นๆลงๆลัดเลาะไปตามบ้านเรือนเก่าสลับกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เมื่อพ้นโค้งของถนนเดกลี แอนนีบาลดี จากจุดที่ยืนอยู่ ภาพอาคารรูปทรงกระบอกสูงกว่า 50 เมตรมีช่องโค้งคล้ายซุ้มประตูโดยรอบ สูงที่ส่วนบนโครงสร้างด้านขวาพังทลายไปกว่าครึ่ง ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ต่อหน้า มันยิ่งใหญ่สง่างามจริงๆ ทุกขุมขนบนร่างกายกรูเกรียวครั้งแล้วครั้งเล่า ผมเดินตรงเข้าไปอย่างช้าๆ และต้องเปลี่ยนมุมเงยหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเข้าไปใกล้

    ให้ตายเถอะ...ขณะที่สายตาจับจ้องแอมฟิเธียเตอร์ขนาดมหึมาที่จุผู้คชมได้ถึง 50,000 คน ผมแว่วยินเสียงเกือกม้ากระทบหินปูทางกุบกับกุบกับดังลั่นอยู่ทั่วไปทั้งๆที่ยังไม่เห็นรถม้าที่จัดไว้สำหรับนักท่องเที่ยววิ่งผ่านมาสักคัน นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่ผ่านไปผ่านมาและหยุดยืนๆนั่งกระจายอยู่ทั่วบริเวณไม่ได้พูดจาหรือส่งเสียงอะไร แต่ผมกลับแว่วได้ยินเสียงพูดจาระงมด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ เสียงดังอื้ออึงราวกับมีมหกรรมหรือเทศกาลอะไรสักอย่าง มันช่างขัดกับทัศนียภาพที่เห็นโดยสิ้นเชิง

    ช่างเถอะ...ผมคงหูแว่วไปเพราะดูหนังบ่อยจนสร้างจินตนาการขึ้นเอง ผมยังเดินเข้าไปใกล้จนรู้สึกว่าใกล้เกินไป ใกล้จนต้องแหงนมองคอตั้งบ่า เพื่อที่จะให้เห็นผิวหินทรายที่สึกกร่อนผุพังไปตามกาลเวลา ใจกลับไม่กล้าเข้าไปสัมผัสผิวด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
    (ยังมีต่อ)

    จากคุณ : คนรักลูก - [ 20 มี.ค. 48 00:29:45 A:202.183.134.194 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป