คนไทย.....ยังมีน้ำใจ
คืนนั้นผมเดินออกมาจากวงเหล้า ที่อพาร์ทเม็นท์ของเพื่อนแถบบางกะปิ ในเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่ง ด้วยเงินในกระเป๋าที่เหลืออยู่เพียงยี่สิบบาท เพราะกำลังอยู่
ในภาวะยากจน ที่จริงแล้วเมื่อเพื่อนเขาโทรศัพท์มาจิก ผมไปกินเหล้า และคุยปรึกษาธุระบางประการนั้น ผมกะจะนอนค้างบ้านเขาด้วยซ้ำ เนื่องจากผมพักอยู่ไกลจาก อพาร์ทเม็นท์ที่พักของเขามาก กับไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเจ้าของบ้านอยู่คนเดียว และตัวผมเองก็เคยไปนอนให้สร่างอยู่ที่นั่น สองสามครั้งมาแล้ว แต่คราวนี้เขาดันพาแฟนมาให้ผมรู้จักโดยที่ไม่บอกล่วงหน้า กะว่าจะให้เพื่อน เซอร์ไพรส์ ว่านั้นเถอะ
ฉะนั้น พอถึงเวลาอันสมควรผมก็เลยต้องเผ่น โดยไม่บอกให้เพื่อนรู้สักคำ ว่ามีเงินเหลืออยู่เพียงยี่สิบบาท คิดว่ารถเมล์วิ่งตลอดคืน สี่ต่อก็คงถึงบ้าน
บ้านของผมอยู่ ถนนราชวิถี ประมาณใกล้สะพานกรุงธน จึงหายห่วงได้เลยว่า ไกลจากบางกะปิหลายโยชน์ ผมเดินออกจากซอยบ้านเพื่อนมารอรถเมล์บนถนนลาดพร้าว แล้วก็โบกรถสายอะไรก็จำไม่ได้แล้วที่ผ่านมา เพราะต้องคว้าไว้ก่อน ตอนนี้จะตีสองอยู่แล้วนี่
รถเมล์ที่มีเบอร์เลขสามตัวคันนั้น พาผมออกจากลาดพร้าว เลี้ยวซ้ายที่แยกรัชดาภิเษก และไปสุดสายที่ห้วยขวาง ทิ้งให้ผมลงมายืนเคว้งคว้างอยู่แถวนั้น
ผมตั้งสติคิดว่าเราควรจะไปเริ่มต้นที่ไหนดี แล้วก็นึกออกว่า น่าจะเป็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่จะไปอย่างไรยังไม่รู้ ไม่เป็นไรอยู่ในกรุงเทพแท้ ๆ ไม่ได้อยู่ใน ป่านี่หว่า หนทางอยู่ที่ปาก กลัวอะไร
เมื่อเดินย่ำต๊อกสวนทางกับรถ ที่มาปล่อยเอาไว้ได้สักห้านาที ผมก็พบชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่เพิ่งเสร็จธุระ จากการหันหน้าเข้าพิงรั้วข้างวงเหล้าแถวนั้น ดูพี่
แกหน้าตาใจดี ก็เลยเดินเข้าไปถาม
" ขอโทษครับ รถเมล์ไปอนุสาวรีย์ชัย ฯ สายอะไรครับ "
แกหันมามองผมแล้วว่า
" เจ็ดสิบสี่ไง วิ่งตลอดคืน "
" ขึ้นตรงไหนครับนี่ "
แกก็สาธยายพร้อมกับชี้ให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปท่ารถอยู่หลายประโยค พอสบตาเห็นผมทำตาปริบ ๆ แกก็เลยหัวเราะหึ ๆ
" ไปไม่ถูกเรอะ "
" ครับ " ผมสารภาพโดยดี
" งั้นตามมานี่ "
ว่าแล้วก็เดินดุ่ม ๆ นำหน้าผมไปอย่างเร็วทีเดียวคงจะกลัวกลับมาช้าแล้วเหล้าหมดกระมัง
แป๊บเดียวก็ถึงท่ารถเมล์เล็กสายเจ็ดสิบสี่ พอถึงปั๊บแกก็หยุดกึก แล้วแหกปากตะโกนไปยังวงหมากรุก ของคนในเครื่องแบบสีน้ำเงิน ประมาณ ๖ - ๗ คน ที่
กำลังล้อมวงกันอยู่แถวนั้น
" เฮ้ย...คันไหนออกวะ "
ผมเสียขวัญขยับจะวิ่งเสียแล้ว เพราะมีคนลุกขึ้นยืนจากวงหมากรุกนั้น แต่ก็ตอบพี่คนนั้นด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยกันว่า
" คันนี้เฮีย "
เขาชี้ไปที่รถสีเขียวคันหนึ่ง ซึ่งจอดเรียงกันอยู่ในบริเวณ นั้น
" เออ....." พี่คนที่พาผมมา แกว่า
"......ฝากเพื่อนกูคนนึงด้วย เขาจะไปลงสาวรีย์"
แล้วก็หันมาพยักหน้ากับผม
" ส่งแค่นี้นะ "
สัญชาตญาณสั่งให้ผมยกมือไหว้แกโดยอัตโนมัติ
" ขอบคุณมากครับ "
แกยิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วก็หมุนตัวเดินกลับไปอย่างง่าย ๆ
ผมมองตามแกไป ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก....
# # # # #
จับที่นั่งเดี่ยวตรงด้านซ้ายข้างประตูหน้า เอาเข่ายันราวเหล็กกั้นข้างหน้าแล้ว ผมก็หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทาง ตอนนั้นก็ร่วมตีสองครึ่งเข้าไปแล้ว เผอิญวันนั้นผู้คนพร้อมใจ จะไปไหนกันตอนดึกก็ไม่ทราบ รถมินิสบัสสายเจ็ดสิบสี่ในเวลานั้นจึงค่อนข้างแน่น จนกระทั่งกระเป๋าต้องมาสถิตอยู่ที่บันไดโดยตลอด
มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทางเป็นชาวอ็อฟฟิศ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกลัดกระดุมข้อมือ ยืนสบาย ๆ บนบันไดรถ พิงราวตรงที่ผมวางขาของผมอยู่ พอดีนายกระเป๋าแกลงเดินบนถนนจากประตูหลัง มาประตูหน้าในเวลารถติด โหนขึ้นมาพิงประตู หันหน้าไปทางท้ายรถ ทั้งสองจึงหันหน้าเข้าหากัน สองมือนั้นก็ง่วนอยู่กับกระบอกตั๋ว
พอไฟเขียวรถออกอย่างค่อนข้างกระชาก ด้วยสปีดของมินิบัส ในเวลาเกือบตีสามโดยปกติ หนุ่มอ๊อฟฟิศคนนั้นถูกแรงหน่วงดึงมายันอยู่กับหัวเข่าของผม ที่โผล่พ้นช่องบันได และรถก็บึ่งออกไปด้วยความเร็ว
เชื่อไหมครับ เขาทำในสิ่งที่ผมคิดไม่ถึง คือยันตัวอย่างมั่นคงกับหัวเข่าของผม แล้วเอื้อมมือไปจับราวอีกด้านหนึ่งของบันได ในลักษณะขวางประตู ถ้าไม่ได้เขา
นายกระเป๋าที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่นั้น ก็คงจะร่วงลงบนถนนไปแล้ว
พอรถจอดป้าย เขาก็เอามือออก ผมเห็นนายกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาแล้วพึมพำ
" ขอบคุณครับพี่ "
จากคุณ :
พจนารถ
- [
22 มี.ค. 48 05:56:14
A:61.90.14.48 X:
]