CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    +++[[[Trick or treat!]]]+++ (1) (อีกรอบค่ะ)

    “นายจะกลัวมั้ย ถ้าพระอาทิตย์มันดับสูญน่ะ” คำถามนี้ของมานาเล่นเอาเพื่อนที่นั่งข้างๆถึงกับสำลักน้ำอัดลมที่กำลังดื่ม พวกเขากำลังนั่งอยู่บนเนินเขาดูพระอาทิตย์ตกดินกันอยู่ ณ ชนบทในประเทศไทย

    “แค่กๆ พูดอะไรของแกวะ” กิวเพื่อนที่นั่งข้างๆโวยวายขึ้นมา


    “ถ้ามันเป็นจริงล่ะ ไม่ได้พูดเล่นนะเฟ้ย คิดดูทุกวันนี้โลกเราก็เข้าสู่ ค.ศ. 50000 แล้ว นายจำไม่ได้หรอว่าคนในสมัยก่อนเค้าทำนายเอาไว้ว่าดวงอาทิตย์มีโอกาสดับอ่ะ” มานาพูดกับเพื่อนซี้ ซึ่งทำให้เพื่อนของเค้าทำหน้าตาครุ่นคิดซึ่งถ้าบางคนมองก็อาจจะไม่รู้ว่าเขาครุ่นคิดจริงๆรึเปล่าเพราะนายกิวขี้เล่นตลอดเวลา จนไม่รู้ว่าอันไหนคืออารมณ์ของเขาจริงๆ


    “ไม่หรอกมั้งงงงง พวกเราคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอก” กิวตอบ


    “หรอ” มานาตอบ พลางนั่งเหม่อมองแสงสุดท้ายของวันนั้นลับขอบฟ้าไป...




    ณ องค์การนาซ่าในสหรัฐอเมริกา ดร.พิเชษฐ์ คนไทยซึ่งถือสัญชาติอเมริกาซึ่งทำงานอยู่ที่นั่นกำลังตรวจภาพถ่ายดวงอาทิตย์ที่ได้จากภาพถ่ายดาวเทียม และภาพที่เขาเห็นก็ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก


    “ลอร่า ช่วยตาม ดร.ไนเจล มาหาผมที”

    “ได้ค่ะ ด็อกเตอร์” และดร.พิเชษฐ์ก็นั่งจ้องมองภาพถ่ายอย่างกระวนกระวายใจ “มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้วหรอเนี่ย”


    “มีอะไรหรอ ดร. พิเชษฐ์?”ดร.ไนเจล ซึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งพร้อมถ้วยกาแฟในมือกำลังมาหาเค้า


    “นายลองดูภาพถ่ายดาวเทียมนี่สิ” ดร.พิเชษฐ์เลื่อนภาพถ่ายบนโต๊ะไปให้ ดร.ไนเจล


    “ไหนขอดูหน่อยซิ....อืม...........................!?!?!?!?! God!!! ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่จริงใช่มั้ย” เขาถามพลางหันหน้าไปทาง ดร.พิเชษฐ์


    “จริง เราต้องเตรียมอพยพผู้คนทั้งโลกออกไปให้ทันก่อนจะถึงเวลา” ดร.พิเชษฐ์ตอบ


    “เรามีเวลาเท่าไหร่”


    “.... 2 อาทิตย์.... ติดต่อทำเนียบขาวด่วนเลย”



    ........................................................................





    “องค์การนาซ่าส่งข่าวมาค่ะ ท่านรองประธานาธิบดี” เบตตี้เลขาประจำทำเนียบเอาซองเอกสารมาให้


    “ข่าวด่วนอะไรงั้นเหรอ” เขาว่าพลางรับเอกสารมาดู และเบตตี้ก็เริ่มสาธยาย


    “เขาบอกว่า พบจุดดับบนดวงอาทิตย์มากขึ้นกว่าเดิม กินเกือบครึ่งดวงแล้ว และทำให้เกิดปรากฏการณ์แสงออร่าบริเวณขั้วโลกเหนือ ซึ่งมันมากมายผิดปกติและยังไม่เป็นทิศเป็นทาง และ....”


    “พอๆๆ คุณบอกเป็นภาษาสามัญชนให้ผมเข้าใจหน่อยได้มั้ยครับ คุณนักวิชาการ” คำพูดและท่าทางกวนประสาทของเขาทำให้เลขาคนเก่งค้อนให้เขายกใหญ่


    “ดวงอาทิตย์กำลังจะดับ เรามีเวลาอีก 2 อาทิตย์ ในการอพยพคนค่ะ”
    รองปธน.เครียดขึ้นมาทันที

    “เตรียมเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมโดยด่วนรึยัง และแจ้งท่านปธน.แล้วยัง”


    “เรียบร้อยแล้วค่ะ ดิฉันกำลังจะมาบอกท่านให้เข้าประชุมด่วนค่ะ ท่านปธน.กำลังขึ้นฮ.ตามมาค่ะ จะถึงอีก 15 นาที ท่านปธน.บอกให้ท่านเข้าประชุมก่อนค่ะ”


    “ตกลง รีบไปกันเถอะ”





    การประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียดและเกิดการถกเถียงกันยกใหญ่ ประเด็นหลักที่เถียงกันคงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจำอย่างไรถึงจะอพยพคนออกจากโลกนี้ได้หมด


    “ถึงแม้ปัจจุบันโลกเราจะมียานอวกาศพาณิชย์เป็นร้อยลำแล้วก็เหอะ แต่ไปไกลสุดก็ได้แค่ดาวยูเรนัสเท่านั้น” นายพลครอฟิลล์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์


    “จะต้องทำยังไงถึงจะอพยพคนได้หมดเล่า ในเมื่อถ้าดวงอาทิตย์มันระเบิด มันจะเกิดปฏิกิริยาฟิวชั่น ที่มันจะขยายตัวเป็นสิบเท่าของที่มันเป็นเพื่อดูดกลืนดาวเคราะห์เลยไปจนถึงดาวพลูโตแล้วค่อยยุบตัวระเบิดออกน่ะ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน” นายพลพูดต่อหลังจากการที่เขาได้ดูเอกสารที่เลขาได้แจกให้ได้ดูบ้างแล้ว


    “ใจเย็นๆก่อน นายพลครอฟิลล์ เดี๋ยวอีกสักพัก พวกที่องค์การนาซ่าจะมาถึง หวังว่าเขาคงจะมีทางออกดีๆให้เราบ้างล่ะน่า”


    “ท่านคะ!! นักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซ่ามาแล้วค่ะ”


    สิ้นเสียงเลขาวัยกลางคน คนทั้งสองก็กระหืดกระหอบมาถึงห้องประชุมที่มีบุคคลสำคัญนั่งรายล้อมอยู่เต็มไปหมด


    “นี่คือ ดร.พิเชษฐ์ นักดาราศาสตร์ที่เป็นคนพบถ่ายดาวเทียมและวิเคราะห์สถานการณ์ค่ะ และอีกคนคือ ดร.ไนเจล นักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ประจำนาซ่าค่ะ” คนทั้งสองทักทายคนทั้งห้องพอเป็นพิธีแล้วเริ่มประชุมกันอีกครั้ง...






    ....กรุงเทพฯ

    มานาและกิว สองเพื่อนซี้ได้กลับมาจากการไปค้างแรมในชนบท และเพิ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

    “แม่ฮะ!! กลับมาแล้วค้าบบ” มานาตะโกนเรียกแม่อย่างสุดเสียง


    “อะไรกันจ้าาา กลับมาก็เอ็ดตะโรเชียว” กฤตยาแม่ของมานาส่งเสียงออกมาจากครัว


    “มีข่าวจากพ่อบ้างมั้ยครับเนี่ย” มานาถามถึงพ่อของเขา ขณะที่เดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดูว่าพอจะมีอะไรที่โยนใส่ท้องได้บ้าง


    “เอ....เมื่อตะกี้เค้ามีโทรมานะ แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรเลยเห็นแต่บอกว่ามีเรื่องด่วน แล้วเค้าก็บอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่ เพราะต้องรีบไปเข้าประชุมที่ทำเนียบขาวน่ะจ่ะ”


    “หรอครับ งั้นผมขึ้นไปก่อนนะครับ” มานาเดินไปกอดแล้วหอมแก้มแม่ก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนห้องของเค้า

    มานาเป็นลูกของดร.พิเชษฐ์ ซึ่งทำงานอยู่ในองค์การนาซ่านั่นเอง มานาเป็นเด็กอัจฉริยะที่ชอบสร้างและประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มาตั้งแต่เด็กๆ ที่เค้าจำความได้เขาสามารถสร้างยานอวกาศสำหรับสองคนได้ตั้งแต่อายุแค่ 6 ขวบเท่านั้น ตอนนี้เขากำลังวุ่นอยู่กับการวาดแบบแปลนยานอวกาศรุ่นใหม่ ที่เขาออกแบบให้มันสามารถไปได้ไกลถึงสุดขอบหนึ่งของจักรวาลเลยทีเดียว และแน่นอนผลงานชิ้นนี้ต้องเป็นความลับอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้เขายังมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนสำคัญของเขา ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากนายกิว เพื่อนซี้ของเค้านั่นเอง นายคนนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา นอกอวกาศที่ถกเถียงกันเป็นการใหญ่ว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นจับตาเราหรือไม่ แน่นอน ในดาวเคราะห์เก้าดวงนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่เลยนอกจากดาวสีน้ำเงินแสนสวยของเรา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเลยออกไปจากนั้นล่ะ จะมีหรือไม่ ไม่ต้องรอข้อพิสูจน์ นายกิวของเรา ได้ทำการติดต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใช่แล้ว UFO ที่กำลังนึกถึงนั่นแหละ มันเป็นการพบโดยบังเอิญของนายกิวนั่นเอง มนุษย์ต่างดาวของเรานั้นมาจากกาแลคซี่เกือบสุดขอบของจักรวาลมีชื่อว่า กาเลเลี่ยน และดาวเคราะห์ที่ติดต่อได้ก็มีชื่อเดียวกันกับกาแลคซี่ จากการที่กิวได้บังเอิญคุยกับมนุษย์ต่างดาวของดาวเคราะห์นี้ ซึ่งคนๆนั้นมีชื่อว่าลีออน ทำให้เขาได้รู้ว่าชาวกาเลเลี่ยนมีความสามารถพิเศษคือ พลังจิต และหน้าตาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมนุษย์โลกของเราเลย (ไม่รู้เหมือนกันว่านายกิวของเราไปรู้ได้ยังไง)

    เรากลับมาต่อที่มานาดีกว่า

    ขณะที่เขากำลังคำนวณค่าความคลาดเคลื่อนอยู่นั้น แม่ของเขาก็ส่งเสียงขึ้นมาข้างบน


    “มานา พ่อลูกโทรทางไกลมาหาลูกแล้ว รีบมารับเร็ว”


    “คร้าบบบบบ จะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะคร้าบ”


    ตึงๆๆ....

    “ทำไมต้องทำเสียงดังขนาดนั้นด้วยล่ะจ้ะ”


    “เหอๆ ขอโทษครับหม่อมแม่” คำพูดเขาทำให้แม่ตีแขนเขาเบาๆอย่างหมั่นไส้


    “สวัสดีครับผ้ม!! คุณพ่อ” มานาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง เพราะนานๆทีพ่อเค้าถึงจะโทรมา


    “มานา พ่อจองตั๋วเครื่องบินไว้ให้ลูกกับแม่แล้วนะ พรุ่งนี้รีบเดินทางมาที่วอชิงตัน ดี ซี โดยด่วน เดี๋ยวพ่อจะไปรอรับพรุ่งนี้” น้ำเสียงของพิเชษฐ์ร้อนรนผิดปกติจนลูกของเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ


    “มีอะไรสำคัญขนาดนั้นหรอครับ บอกหน่อยได้มั้ยครับ”


    “พ่อไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ เอาเป็นว่าพอเครื่องลงแล้วเราค่อยคุยกันนะ แค่นี้ก่อนล่ะ พ่อต้องรีบไปประชุมก่อน แค่นี้ล่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ มานา”

    ตู๊ด..ตู๊ดๆ


    “อ่าว เวรกรรม ตกลงพ่อพูดกับเราหรือพูดคนเดียวเนี่ย”
    แล้วมานาก็เดินไปบอกแม่ หลังจากนั้น สองแม่ลูกก็ช่วยกันเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมเดินทางพรุ่งนี้


    ..........................................................................



    และแล้วทั้งสองแม่ลูกก็เดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี ซี และพิเชษฐ์ก็มารอรับทั้งสองเข้าที่พัก
    เมื่อทำการเช็กอินเข้าสู่ห้องพักเรียบร้อยแล้ว มานาก็เริ่มถามถึงเหตุผลที่ผู้เป็นพ่อรีบให้เดินทางมาอย่างอดสงสัยไม่ได้

    และสิ่งที่จะรู้ ดูจะเกินความคาดหมายของเขาไปไกลโขทีเดียว เพราะเขานึกไม่ถึงว่าคำพูดที่เขาเคยพูดไว้กับกิวมันกำลังจะเกิดขึ้นจริงอีก 2 อาทิตย์ ข้างหน้านี้ ภาพการระเบิด การล้มตายของผู้คนทำให้เค้าขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จากการที่เขาร่ำเรียนมาทำให้เขาพอจะเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง


    “ทางทำเนียบขาวว่ายังไงบ้างล่ะครับ พ่อ”


    “พวกเขาก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกัน เพราะตอนนี้เขาเลิกพัฒนาทางด้านอวกาศแล้ว แต่หันมาพัฒนาภายในโลกมากกว่า เนื่องจากเขาเห็นว่าอวกาศมันไม่มีอะไร...”


    “ไม่จริงซะหน่อย” มานาบ่น
    “ว่าอะไรนะ? มานา ... ที่พูดหมายความว่าไง”


    “เฮ้อ... ไหนๆก็ไหนๆแล้วอ่ะนะครับคุณพ่อ ผมขอบอกว่า ตอนนี้ลูกชายของพ่อคนนี้ได้ลองทำแบบแปลนยานอวกาศรุ่นใหม่ที่คาดว่าน่าจะไปนอกกาแลคซี่ทางช้างเผือกของเรา ไกลพอที่จะหลุดพ้นจากพลังแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ได้ เพียงแต่มันยังไม่ได้ลองเท่านั้น” คำพูดสุดท้ายของมานาออกจะเบาไปนิด ซึ่งเกิดจากความไม่มั่นใจของเขานั่นเอง


    “และอีกอย่าง....ในอวกาศมีอะไรมากกว่าที่พวกพ่อคิด เพราะว่า เพื่อนผมได้เจอ UFO เข้าให้แล้ว...”


    “................................................” เกิดความเงียบไปอึดใจใหญ่ด้วยต่างคนต่างตกตะลึงกัน


    “คุณคิดว่าไงล่ะคะ กับคำพูดของลูกเราน่ะ” คำพูดของกฤตยาซึ่งนั่งเงียบมาตลอดตั้งแต่สองพ่อลูกเริ่มสนทนากัน ทำลายความเงียบขึ้นมา และนำผู้เป็นพ่อกลับมาจากห้วงความคิด


    “เอ่อ...อืม และแบบแปลนที่ว่าเอามาด้วยรึเปล่าล่ะ” พิเชษฐ์ถามขึ้น



    “เหอะๆ ไม่อ่ะฮะ ก็พ่อไม่บอกให้ผมรู้ก่อนนี่ฮะ ผมจะไปรู้ได้ไง”



    “แต่ถ้าให้เพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศของผมเอามาให้ คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมละครับ” มานารอคำตอบของผู้เป็นพ่ออย่างใจจดใจจ่อ


    “........................ ตกลง ลูกโทรหาเพื่อนของลูก แล้วพ่อจะนำเรื่องนี้เสนอเข้าที่ประชุมอีกทีละกัน"

    จากคุณ : ไร้นาม - [ 22 มี.ค. 48 15:53:08 A:61.91.118.75 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป