CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    หลอกเด็ก

    หลอกเด็ก

    เรื่องมันเกิดขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง ตอนประมาณห้าโมงเย็นเห็นจะได้ หลังจาก ที่ผมกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูแลความเรียบร้อยในสนามเล่นที่พ่อเจ้าประคุณแม่เจ้าประคุณตัวเล็ก ๆ ทั้งหลายได้วิ่งเล่นกันมาตั้งแต่พักเที่ยงและตอนโรงเรียนเลิกนี่ จนกระทั่งมีผู้ปกครองมารับกลับบ้านไป ลุงแสงภารโรงก็เดินมาบอกผมว่า

    "ครูครับ มีคนมาขอพบ"

    ผมพยักหน้ากับแก แล้วก็เช็ดมือที่เปื้อนฝุ่น เปื้อนดินทรายในสนามกับก้นกางเกง แล้วก็เดินตามแกไป

    ผมเดินตามลุงแสงออกไปทางหน้าโรงเรียน ด้วยใจคอที่ไม่ค่อยดีนัก ผู้ปกครองเด็กคนไหนมีปัญหากับโรงเรียน หรือกับเราหรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบ

    "เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าของครูน่ะครับ"

    ลุงแสงที่เดินนำหน้าผมอยู่หันกลับมาบอก ราวกับจะอ่านใจกันออกฉะนั้น

    "อ้ายพจ.."

    เสียงเรียกชื่อผมมาแต่ไกล แล้วชายในอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน จากเก้าอี้รับแขกหน้าโรงเรียนเผ่นเข้ามาจับแขนผมอย่างดีใจ

    "โอ้โฮเว้ย ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปี หน้าแกแก่ขึ้นเป็นกองเลยว่ะพจ"

    ผมตกตะลึง แต่ก็ปรับความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว

    "อ้าย...อ้ายเสกใช่ไหม..." เขาพยักหน้า

    "...หึ หึ...แต่แกตรงกันข้ามกับฉันเลยว่ะ”

    "ทำไมเหรอ..."

    "เก๊าะหน้าแกไม่ได้แก่ลงเลย..."

    ไอ้เสก เกลอเก่าของผมยิ้มปลื้ม แต่ผมก็รีบตัดความรู้สึกของมันเสีย

    "...เปล๊า..." ผมพูดหน้าตาย

    “...ฉันกำลังจะบอกแกว่า...หน้าแกตั้งแต่สมัยปีหนึ่งน่ะ แก่ยังไงก็คงยังแก่อยู่ยังงั้นแหละวะ"

    มันหุบยิ้มทันควัน

    เพื่อนเก่าของผมเองครับ เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยมัธยมต้น พอจบมอศอห้า ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ผมไปเรียนทางสายครู แล้วก็เลยมาก็อก ๆ แก็ก ๆ กับโรงเรียนเด็กเล็กนี้ แต่ว่าส่วนนายเสกนั้น พอเขาจบวิชาบัญชีจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพนี้แล้ว เขาก็บินไปเรียนต่อจนได้ เอ็ม บี เอ หรือปริญญาโททางบริหารธุรกิจ จากอเมริกาโน่นแน่ะ

    "เฮ้ย เสก แกรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่วะ"

    "อ้ายวาทย์มันบอก โน่น...มันนั่งอยู่ในรถฉันนั่นแหละ ฉันก็เลยดั้นด้นมาหาแกเฮ้ย พจ วันนี้วันศุกร์ พรุ่งนี้แกไม่ต้องมาทำงานไม่ใช่หรือ..."

    ผมนิ่งนึกตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง

    "อือม์...ทำไมหรือ..."

    "แกไปกินเหล้าบ้านฉันเหอะ..." เสกชวนผมทันที

    "...อ้ายวาทย์มันก็จะไปด้วย แล้วแกก็จะได้รู้จักลูกเมียของฉันด้วย"

    ค่ำวันนั้น เสกก็ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับคุณรจนา ภรรยาของเขาและหนูดาว ลูกสาวตัวเล็ก อายุราว ๆ สักสี่ห้าขวบได้ และจากนั้นเรา คือหมายถึงผม นายเสก และนายวาทย์ คุณรจนาและหนูดาว ก็นั่งกินข้าวเย็นกันโดยมีแบล็กเลเบิ้ลขวดเบ้อเร่อตั้งตระหง่านอยู่กลางโต๊ะสำหรับพวกผู้ชาย พร้อมทั้งโซดาอีกครึ่งลังใหญ่

    พอประมาณสักสองทุ่มคุณรจนาก็ฉุดหนูดาวไปดูทีวี ที่โต๊ะเก๊าะเลยเหลือ จิ๊กโก๋แก่เพียงสามคนเท่านั้น

    พวกเราก็นั่งเสวนาแกล้มแบล็ก ฯ พลางขุดเรื่องเก่าออกมานั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน อ้อ ผมลืมแนะนำนายวาทย์ให้ท่านผู้อ่านรู้จัก หมอคนนี้แยกจากผมตอนมอศอห้าเหมือนกัน รู้จากปากของมันเองในวันนี้ว่า มันกำลังเรียนราม ฯ แต่ยังไม่จบ เพราะว่า ได้งานเป็นช่าง ตกแต่ง กับเขียนรูปขายเสียก่อน จึงไม่ค่อยจะมีเวลาเรียน ตอนที่ผมเจอนายวาทย์ในรถของเสก ผมของเขายาว หนวดเครารุงรัง แต่ผมก็ไม่ได้ประหลาดใจเลยเพราะ แววอย่างนี้ของนายวาทย์ มันสามารถสัมผัสได้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมด้วยกันอยู่แล้ว

    คุยกันไปคุยกันมาอยู่ตอนหนึ่งเสกก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

    "เฮ้ย พจ ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาแกว่ะ"

    "เรื่องอะไรวะ" ผมเงยหน้าขึ้นจากแก้วเหล้า

    "คืองี้...คือตั้งแต่ฉันกลับมาจากสเตท ฯ ฉันก็ทำธุรกิจมาก็หลายอย่าง รจเค้าก็ช่วยฉันเยอะนะ แต่ที่ฉันไม่เคยทำเลย และอยากจะทำมาก ก็คือ..."

    ผมกลั้นใจฟัง

    "...คือโรงเรียนอนุบาล"

    "แล้วไงวะ"

    ผมพูดเรื่อย ๆ พลางหันไปสบตากับนายวาทย์ด้วยความรู้สึกที่ตรงกัน เพราะผมพอจะรู้ว่าประโยคต่อไปของมันจะว่าอย่างไร ผมนิ่งรอให้เขาพูด

    "เอางี้..."

    เสกมองหน้าผมตรง ๆ

    "..ฉันจะออกทุนเอง แล้วแกเป็นครูใหญ่ให้ฉันได้ไหม ส่วนในทางอื่น ๆ ก็ช่วยกัน กับฉัน กับอ้ายวาทย์ แล้วค่อยหาคนมาช่วยเพิ่มเติมทีหลัง ดีไหม"

    ผมหันไปมองหน้านายวาทย์ก็เห็นมันยิ้ม แล้วก็พยักหน้าให้ผมนัยน์ตาเป็นประกายวาวทีเดียวแหละครับ

    แต่ผมสิ กลับต้องก้มหน้าลงมองน้ำแข็งยูนิคในแก้วเหล้าอีกประมาณสามสิบวินาที

    "...มันไม่ใช่เรื่องง่ายนาเพื่อนเอ๋ย.."

    ผมเงยหน้าขึ้นมาบอกมันหลังจากที่ไตร่ตรองแล้ว

    "...คือผู้บริหารธุรกิจทางโรงเรียนนี่ ไม่ใช่เป็นผู้บริหารธุรกิจอย่าง เดียวแต่จะต้องมี ทีชชิ่งสปีริต หรือ วิญญาณหรือแปลอีกทีก็คือ จรรยาบรรณ แห่งความ เป็นครูด้วย..."

    "เฮ้ย...ไม่เป็นไรน่า..."

    นายเสกโบกมืออย่างไม่สนใจ แต่แล้วก็ฝืนหัวเราะเมื่อเห็นผมทำหน้านิ่ว

    “...โอเค ๆๆๆๆ ...เอาละ...คือถ้าแกคิดว่าจำเป็นในส่วนนั้น ฉันก็จะพยายามมีอย่างที่แกว่า แต่ว่าตอนนี้แกรับปากฉันก่อนได้ไหม"

    ผมหันไปมองหน้านายวาทย์อีกครั้งหนึ่ง

    "เฮ้ย...ว่าไงวะ"

    "ก้อดีนะ....."

    นายวาทย์ว่ายิ้ม ๆ ไอ้หมอนี่มันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ตื่นเต้นอะไรกับใครอยู่แล้ว

    ผมจึงหันไปยื่นมือให้เสก เพื่อนเก่า เพื่อนรัก จับกระชับ พลางว่า

    "ถ้างั้นก้อ...ตกลง"

    (ยังมีต่อครับ)

    จากคุณ : พจนารถ - [ 25 มี.ค. 48 05:34:39 A:61.90.14.173 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป