CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    กลยุทธย้อนยุค (บันทึกของคนเดินเท้า)

    บันทึกของคนเดินเท้า
                                    กลยุทธย้อนยุค

                      พระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ของกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ฯ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทร ตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๙๓ นั้นได้โปรดให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระราเมศวร ขึ้นไปครองเมืองลพบุรี  ส่วน  สมเด็จ พระบรมราชาธิราชเจ้า พระเชษฐาโปรดให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรี

                       เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จสวรรคต     พ.ศ.๑๙๑๒ สมเด็จพระราเมศวร จึงเสด็จจากเมืองลพบุรี ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระราชบิดา  อยู่ได้ปีเดียว สมเด็จพระบรมราชาธิราช ก็เสด็จมาจากเมืองสุพรรณบุรี สมเด็จพระราเมศวรก็อัญเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติแทนแล้วพระองค์เองก็ถวายบังคมลา กลับไปครองเมืองลพบุรีดังเดิม

                       จนถึง พ.ศ.๑๙๒๕ สมเด็จพระบรมราชาธิราช ได้เสด็จสวรรคต พระเจ้าทองลั่น พระราชโอรสขึ้นเสวยราชย์ได้เพียง ๗ วัน สมเด็จพระราเมศวรก็เสด็จมาจากเมืองลพบุรี จับกุมเอาพระเจ้าทองลั่นไปพิฆาตเสียที่วัดโคกพระยา แล้วก็ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อไป

                       อีก ๒ ปีต่อมา สมเด็จพระราเมศวร ได้ยกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่  ซึ่งตามพระราชพงศาวดาร ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฯ ได้บรรยายไว้ว่า

                       .......สมเด็จพระราเมศวรให้เลียบพลไว้ ยกขึ้นไปเมืองเชียงใหม่  ตั้งค่ายหลวงใกล้คูเมือง ๑๕๐ เส้น ให้นายทัพนายกองตั้งค่ายล้อม และแต่งการปล้นเอาจงได้  ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยิงปืนใหญ่ออกมา ถูกกำแพงเมืองพังประมาณห้าวา พระเจ้าเชียงใหม่ ขึ้นยืนถือพัชนีอยู่บนเชิงเทิน ให้ทหารเอาหนังสือผูกลูกธนูยิงลงมา  ในหนังสือนั้นว่า ขอพระราชทานให้งดสักเจ็ดวัน จะนำเครื่องพระราชบรรณาการ ออกไปจำเริญพระราชไมตรี

                       พระเจ้าอยู่หัวจึ่งปรึกษาด้วยมุขมนตรีว่า พระเจ้าเชียงใหม่ให้มีหนังสือออกมาดังนี้ ควรจะงดไว้หรือประการใด มุขมนตรีนายทัพนายกองปรึกษาว่า เกลือกพระเจ้าเชียงใหม่จะเตรียมการมิทันจึ่งคิดกลอุบายมา ขอพระราชทานให้ปล้นเอาเมืองจงได้

                    สมเด็จพระเจ้าอยู่ตรัสว่า เป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ เขาไม่รบแล้วเราจะให้รบนั้น มิควร ถึงมาตรว่าพระเจ้าเชียงใหม่จะมิได้คงอยู่ในสัตยานุสัตย์ก็ดี  ใช่ว่าจะพ้นมือทหารเรานั้นเมื่อไรมี

                       ฝ่ายในเมืองเชียงใหม่นั้นก็ตีแตะบังที่กำแพงทลายแล้วนั้นให้ก่อขึ้น ครั้นถ้วนเจ็ดวันแล้ว พระเจ้าเชียงใหม่มิได้แต่งเครื่องจำเริญพระราชไมตรีออกมา  นายทัพนายกองข้าทหารร้องทุกข์ว่า ข้าวในกองทัพ ทะนานละสิบสลึงหาที่ซื้อมิได้ จะขอพระราชทานเร่งปล้น

                       พระเจ้าอยู่หัวบัญชาตามนายทัพนายกอง ทรงพระกรุณาสั่ง ให้เลิกกองทัพเสียด้านหนึ่ง ให้เร่งปล้น ณ วันจันทร์เดือนสี่ ขึ้นสี่ค่ำ เพลาสามทุ่มสองบาท เดือนตก เจ้าพนักงานยิงปืนใหญ่น้อยระดมทั้งสามด้าน เอาบันไดหกพาดปีนกำแพงขึ้นไป

                       พระเจ้าเชียงใหม่ต้านทานมิได้ ก็พาครอบครัวอพยพหนีออก เพลา ๑๑ ทุ่ม ทหารเข้าเมืองได้ ได้แต่ นักสร้าง บุตรพระเจ้าเชียงใหม่องค์หนึ่งมาถวาย พระเจ้าอยู่หัวตรัสต่อนักสร้างว่า  พระเจ้าเชียงใหม่บิดาท่านหาสัตย์มิได้ เราคิดว่าจะออกมาหาโดยสัตย์ เราจะให้ครองราชสมบัติ ตรัสดั่งนั้นแล้วก็ให้นักสร้างถวายสัตยานุสัตย์  พระเจ้าอยู่หัวก็ให้แบ่งไพร่พลเมืองไว้พอสมควรน เหลือนั้นให้กวาดครัวอพยพหญิงชายลงมา ให้นักสร้างลงมาส่งเสด็จถึงเมืองสว่างคบุรี  ทรงพระกรุณาให้นักสร้าง กลับขึ้นไปครองราชสมบัติ ณ เมืองเชียงใหม่...............

                       การศึกในครั้งนี้เป็นเรื่องน่าแปลก ที่กลยุทธซึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ นำมาใช้กับสมเด็จพระราเมศวร แห่งกรุงศรีอยุธยานี้  เกิดไปคล้ายคลึงกับกลยุทธสมัยสามก๊กในแผ่นดินจีน เมื่อประมาณ พ.ศ.๗๙๕ อย่างไม่น่าเชื่อ โดยที่ จูกัดเก๊ก มหาอุปราชของ พระเจ้าซุนเหลียง แห่ง   ง่อก๊ก ได้ยกกองทัพจากเมืองกังตั๋ง ไปป้องกันเมืองตังหินซึ่งเป็นเมืองหน้าด่าน  ที่ถูก สุมาเจียว น้องชาย สุมาสู มหาอุปราชของ พระเจ้าโจฮอง แห่งวุยก๊ก ยกทัพมาล้อมไว้

                       ปรากฎว่าทัพหน้าเมืองกังตั๋ง เข้าตีกองทัพของสุมาเจียวที่ล้อมเมืองตังหินแตกพ่ายไปอย่างยับเยิน   จูกัดเก๊กก็ระเริงในชัยชนะ จึงยกกองทัพตามไปจะตีเมืองลกเอี๋ยง ราชธานีของ วุยก๊กบ้าง แต่ไปติดอยู่ที่เมือง        ซินเสีย ซึ่งเป็นหน้าด่านเหมือนกัน ฝ่ายเตียวเต๊ก ผู้รักษาด่านเห็นท่าจะทานไม่ไหว จึงปิดประตูเมืองตั้งรับอยู่อย่างเข้มแข็ง

                          ในวรรณคดีเรื่องสามก๊กฉบับของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้เล่าความตอนนี้ไว้ว่า

                       ฝ่ายจูกัดเก๊กก็สั่งทหารว่าเร่งหักเข้าไปจงได้ เร่งให้ทำลายกำแพงทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าผู้ใดหลบหนีแชเชือนมิเป็นใจด้วยราชการ จะตัดศรีษะเสีย ทหารทั้งปวงก็เร่งรีบทำลายกำแพงทั้งกลางวันกลางคืน  ฝ่ายกำแพงด้านเหนือนั้นเห็นจะทำลาย เข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว

                       เตียวเต๊กเห็นดังนั้น จึงคิดกลอุบายแต่งหนังสือ ให้คนถือไปถึงจูกัดเก๊กว่า ธรรมเนียมเมืองวุยก๊ก ถ้าข้าศึกมาตีและผู้รักษาเมืองป้องกันไว้ได้ถึงร้อยวันแล้ว ไม่มีกองทัพเมืองหลวงมาช่วยเลย  ผู้รักษาเมืองนั้นเห็นเหลือกำลังที่จะต้านทาน  ก็พาทหารออกไปยอมเข้าด้วยข้าศึกพี่น้องซึ่งยังอยู่ในเมืองนั้น ก็หาเป็นโทษไม่ ข้าพเจ้าอุตส่าห์รักษาด่านมาได้ประมาณเก้าสิบวันแล้ว ไม่เห็นกองทัพมาช่วยเลย  ขอท่านงดให้ข้าพเจ้าสักสิบห้าวัน แต่พอข้าพเจ้าจัดแจงการซึ่งจะได้พา ทหารออกไปเข้าด้วยท่าน  จูกัดเก๊กก็เชื่อ จึงมิให้ทหารทำลายกำแพง

                       ฝ่ายเตียวเต๊กครั้นลวงจูกัดเก๊กดังนั้น ก็เร่งให้แต่งกำแพงด้านเหนือซึ่งยับเยินไปนั้นมั่นคงแล้ว ก็ให้ทหารถืออาวุธไปเตรียมพร้อมอยู่บนเชิงเทิน  แล้วเตียวเต๊กจึงร้องบอกจูกัดเกว่า

    " เสบียงอาหารของเรายังบริบูรณ์อยู่  จะเลี้ยงทหารอีกสักปีหนึ่งก็หากลัวไม่ เราจะยอมไปเข้าด้วยเอง เหล่าชาติสุนัขเมืองกังตั๋งนั้นมิชอบ "

                       จูกัดเก๊กได้ฟังก็โกรธนัก จึงสั่งทหารให้เร่งเข้าทำลายกำแพง  ทหารเตียวเต๊กก็ยิงเกาทัณฑ์ลงมาถูก จูกัดเก๊กที่หน้าผาก จูกัดเก๊กตกม้าลง ทหารก็อุ้มเข้าไปในค่าย จูกัดเก๊กมีความแค้นนัก ก็สั่งให้ทหารเร่งเข้าทำลายกำแพง
                       นายหมวดนายกองจึงว่า บัดนี้ทหารทั้งปวงมาอยู่ช้านานนัก กินน้ำกินอาหารผิดสำแดงป่วยเจ็บลงเป็นอันมาก ซึ่งท่านจะเข้าไปรบเห็นไม่ได้ท่วงที จูกัดเก๊กโกรธจึงว่า ถ้าผู้ใดมิเป็นใจด้วยราชการบอกป่วย ให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้น กลัวตายก็หนีไปเป็นอันมาก
                      ชัวหลิม นายทหารผู้ใหญ่ก็พาทหารพรรคพวกของตัวหนีไปเมืองวุยก๊ก มีทหารเข้าไปบอกจูกัดเก๊กว่าทหารหนีเบาบางไปแล้ว  ชัวหลิมทหารผู้ใหญ่ก็ยกทหารหนีไปด้วย จูกัดเก๊กได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ขี่ม้าไปเที่ยวตรวจดูทหารเห็นเบาบางไป ซึ่งยังอยู่นั้นก็เป็นไข้พุงโร หน้าบวมผอมเหลืองไปเป็นอันมาก ก็สั่งให้ล่าทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง......

                          เนื้อความที่ได้แคะออกมา ให้อ่านข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่า เป็นกลยุทธอย่างเดียวกัน เพียงแต่ว่าผลของการรบเท่านั้นที่กลับตรงกันข้าม ในสามก๊ก กองทัพฝ่ายเข้าตีเมื่อเสียรู้ฝ่ายตั้งรับแล้ว ก็ไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้  ต้องพ่ายแพ้ถอยกลับบ้านเมืองไปอย่างบอบช้ำ แต่ในพงศาวดารไทย ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาซึ่งเข้าตีสามารถเอาชนะเมืองเชียงใหม่ ฝ่ายตั้งรับได้อย่างเด็ดขาด

                       ทั้งนี้เมื่อพิจารณาแล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะ  บุญญาบารมีของแม่ทัพ และการแสดงออกในลักษณะของความเป็นผู้นำ ที่แตกต่างกัน นั้นเอง.

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 29 มี.ค. 48 06:42:46 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป