CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น (ตอนเดียวจบ)

    ฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น

    ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อยตามวัฏจักรของกาลเวลา ตามการหมุนรอบของโลก... สายลมเย็นแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดทาบผ่านเส้นขอบฟ้าจากที่ไหนสักแห่งของพื้นพิภพ ใบไม้สีแดง สีอำพัน สีเขียวร่วงหล่นพร่างพรมจากพฤกษาใหญ่หลากต้นหลากสีสัน รอคอยการย่อยสลายตัวคืนสู่แม่พระธรณีถิ่นกำเนิด นึกถึงหิมะที่โปรยปรายในฤดูหนาว เป็นลักษณะวิถีของธรรมชาติต่างกาลเวลาที่ให้ความรู้สึกถึงความแตกต่างแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง

    ภาพใครคนหนึ่งปรากฏแจ่มชัดในทุกก้าวรอยของความคะนึงหา เสียงกีตาร์โปร่งกังวานใสคลอเคล้าเสียงทุ้มต่ำที่เอื้อนเอ่ยฮัมเพลงหวาน ใต้ร่มเงาพฤกษาใหญ่ ใบไม้หลากสีกำลังโปรยปราย เสมือนดุจบรรเลงมนตราให้ต้องสะกดสายตาให้หยุดชะงักนิ่งอยู่กับที่แห่งนั้น ประจักษ์ตระหนักแน่ชัดในหัวใจว่า อาจตกหลุมรักแรกพบเข้าแล้วก็เป็นได้

    เขา... กับกีตาร์โปร่ง ท่ามกลางบรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ร่วง ยังจำติดตามิรู้ลืม...



    ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตผม แรกทีผมไม่เคยนึกที่จะยีหระสนใจแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันแห่งโชคชะตาวันหนึ่งที่ทำให้ผมได้ตัดสินใจ กับสิ่งที่ผมไม่คิดว่า จะเป็นการตัดสินใจของผมเอง แต่แล้ว ผมก็ต้องน้อมยอมรับในวาจาสัตย์ และความรู้สึกของตัวเองว่า ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเปลี่ยนไป...

    ผมมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอน ท้องฟ้าในยามนี้ดูสดใสเป็นพิเศษ ม่านฟ้าเปิดสว่าง หลีกทางให้อำนาจแสงแห่งตะวันเฉิดฉายสาดส่องได้เต็มที่ ผมเพิ่งอ่านจดหมายของเธอจบไปเมื่อสองถึงสามนาทีที่แล้วเห็นจะได้ จำไม่ได้แล้วว่า เป็นรอบที่เท่าไรที่หยิบจดหมายของเธอขึ้นมาอ่าน แต่ผมก็ไม่เคยนึกเบื่อหน่ายกับเนื้อความของมันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกดี และแจ่มชัดอย่างบอกไม่ถูก เวลาที่ผมประสบพบเจอเรื่องที่ไม่น่ารื่นรมย์มา หรือถ้าผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งรอบข้าง หรือกับอะไรก็ตาม มันก็ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของผมเป็นปรกติได้ในทันที

    ผมเรียกเธอว่า ‘ฤดูใบไม้ร่วง’ และผมก็รู้สึกว่า ชื่อนี้เข้ากับเธอดี แม้มันจะฟังดูหดหู่ไปหน่อยก็เถอะ แต่หากทุกตัวอักษรที่เธอใช้สื่อความลงในจดหมายที่เธอเขียนถึงผม ก็บ่งบอกถึงความอ่อนไหว ปนอ่อนโยน เสมือนดั่งใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นจากกิ่งก้านสาขา อาจเศร้าโศก โดดเดี่ยว เงียบเหงา แต่ก็อ่อนหวาน จนเผลอทำให้ใครบางคนหลงใหลได้ในขณะเดียวกัน

    ผมได้รับจดหมายฉบับแรกจากเธอ เมื่อต้นฤดูใบไม้ร่วงของเมื่อสองปีที่แล้ว มันเป็นจดหมายสีฟ้า... สีฟ้าของท้องฟ้า ราวกับเธอรู้มาก่อนว่า สีฟ้าเป็นสีโปรดของผม และชื่อจริงของผมก็ยังมีความหมายว่า ท้องฟ้าด้วย เป็นเรื่องน่าแปลกที่แฝงความขบขันอยู่ในความคิดของผม อันที่จริง ผมยังไม่เคยได้พบเจ้าของผู้ส่งจดหมายฉบับนี้เลย แม้สักครั้งเดียว เป็นไปได้ก็อยากรู้เหมือนกันว่า เธอเป็นใคร รูปร่าง ใบหน้าคร่าตาเป็นแบบไหน ผมรู้แค่เพียงว่า เธอเป็นผู้หญิง และคงเป็นผู้หญิงที่บอบบาง ช่างอ่อนไหวเสียด้วย



    ฤดูใบไม้ร่วง เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1999

    ‘ถึง คุณ... คนที่ฉันไม่ทราบชื่อ
    สวัสดี นี่เป็นจดหมายฉบับแรกที่ฉันเขียนถึงคุณ... คนที่ฉันไม่ทราบชื่อ ต้องขออภัยที่เรียกคุณเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะฉันไม่ทราบชื่อของคุณ บางทีอาจจะต้องค้นหากันต่อไป คุณคงจะแปลกใจสินะว่า ฉันเป็นใคร เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาทำไม และส่งให้คุณเพื่อจุดประสงค์ใด เป็นเรื่องน่าแปลกเหลือเกินที่ฉันเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันสามารถบอกคุณได้คือ ภาพความทรงจำของฉันที่มีต่อคุณ ฉันยังจำได้ดีไม่เคยลืม กับช่วงฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น เสียงบรรเลงกีตาร์ของคุณ ท่ามกลางใบไม้ที่ร่วงโรยโปรยปราย แม้อากาศรอบข้างจะเริ่มเหน็บหนาว แต่ในใจกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ถ้าหากว่ามีสักวัน ได้ฟังเสียงกีตาร์ของคุณอีกครั้ง ก็คงจะดีสินะ
    จาก ฤดูใบไม้ร่วง’


    นั่นเป็นจดหมายสีฟ้าฉบับแรกที่ผมได้รับ ผมโยนมันลงยังโต๊ะเล็กๆตรงหน้าอย่างไม่นึกอยากจะแยแสมันอีก ไร้สาระเป็นบ้า สงสัยนักว่า ผู้หญิงสมัยนี้กลับมาใช้วิธีสารภาพรักทางจดหมายกับผู้ชายเหมือนสมัยก่อนอีกแล้วหรือไง ผมเดาว่า บางทีอาจเป็นเพราะการเขียนสามารถพร่ำเพ้อพรรณนาความรู้สึกบ้าบอพวกนั้นได้มากกว่าการพูดก็เป็นได้ ทำเช่นนี้เหมือนจะเรียกร้องความสนใจผมได้นะ แต่ก็เปล่าเลย ผมเบื่อผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงประเภทนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ต้องยอมรับว่า ผมนึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน คนคนนี้จงใจไม่ลงชื่อจริงของตัวเอง ไม่ถามคำถามผมซักไซ้ไล่เลียงอะไรมากมายเหมือนคนอื่นๆที่ผมเคยพบเจอ แม้กระทั่งชื่อของผมเอง ยังไม่จงใจที่จะถาม ราวกับว่า แค่อยากจะบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้ผมฟังแค่นั้น

    ...หรือบางที จดหมายฉบับนี้อาจจะส่งมาผิดที่... ผมฉุกคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง จึงหยิบเอาซองจดหมายนั่นมาดูที่อยู่ผู้รับที่ถูกจ่าหน้าซองเอาไว้ เออ มันก็ที่อยู่ของผมเองนี่ ไม่ผิดแน่ ผมหยิบแผ่นกระดาษจดหมายสีฟ้าขึ้นมาไตร่ตรองเนื้อความของมันอีกครั้ง ถ้าผมไม่หลงตัวเองจนเกินไป หรืออะไรก็แล้วแต่ แนวโน้มที่ว่า มันเป็นจดหมายถึงผมมีความเป็นไปได้สูงมากกว่าที่จะเป็นจดหมายที่ถูกส่งผิดที่

    ผมถอนหายใจ และส่ายหน้า โยนจดหมายลงบนโต๊ะตัวเดิม และสลัดความคิดเรื่องมันออกไปไม่ให้ต้องรกสมองในวินาทีนั้น งานพิเศษวันนี้ทำเอาผมปวดเมื่อยล้าไปทั้งตัว อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนเลย ดูจะเป็นความคิดที่เข้าท่า

    จดหมายสีฟ้ายังถูกวางทิ้งไว้ที่เดิม ผมปลายตามองมันอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนไม่ยีหระสนใจมันอีกต่อไป หรือความจริง ลึกๆแล้ว ผมก็ติดใจความหมายของเนื้อความในจดหมายนั่นอยู่เหมือนกัน...


    ‘ถึงคุณ... คนที่ฉันไม่ทราบชื่อ
    สวัสดี นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองแล้วที่ฉันเขียนถึงคุณ... คนที่ฉันไม่ทราบชื่อ คุณอาจกำลังตั้งคำถามอยู่ก็ได้สินะว่า แท้จริงแล้ว ฉันเป็นใคร ไม่สิ กลับกัน บางทีคุณคงไม่สนใจเลยมากกว่า การกระทำของฉันอาจดูเป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ได้โปรด อย่าเพิ่งฉีกจดหมายนี้ทิ้งไปอย่างไร้ค่าเลย เพราะแม้คุณจะไม่รู้ว่า ฉันเป็นใคร หรือไม่คิดอยากที่จะรู้ก็ตาม ตัวฉันเอง ไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คุณรู้ เพียงเพราะว่า ฉันไม่กล้าพอที่จะบอกให้คุณรู้ว่า แท้จริงแล้ว ฉันคือใคร ไม่กล้า แม้กระทั่งจะเขียนชื่อจริงของตัวเองลงไปในจดหมาย สำหรับฉันแล้ว ขอมีตัวตนแค่เป็นเพียง ‘ฤดูใบไม้ร่วง’ ก็เพียงพอ ไม่ผิดแปลกเกินไปใช่ไหม ที่ดูเหมือนเป็นคนขี้ขลาด
    จาก ฤดูใบไม้ร่วง’


    นั่นเป็นจดหมายสีฟ้าฉบับที่สองที่ผมได้รับในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา... เออ รู้ตัวเหมือนกันนี่ว่า สิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องไร้สาระ หรือจะพูดให้ถูกจริงๆคือ มันยิ่งเสียกว่าไร้สาระอีก มันทั้งเพ้อฝัน งมงายเลยล่ะ จะว่าไปแล้ว ที่เธอบอกก็มีส่วนถูก ผมชักสงสัย และอยากจะรู้ใจจะขาดอยู่แล้วว่า เธอเป็นใคร อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด เพราะคำว่า อยากรู้ของผม คือ อยากรู้ด้วยความรู้สึกรำคาญเสียเต็มประดามากกว่าความรู้สึกดีใจ ฤดูใบไม้ร่วงหรือ? น่าขำสิ้นดี จดหมายจากบุคคลที่ไม่มีตัวตนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หรือท่าทางคนเขียนจดหมายฉบับนี้คงว่างน่าดู และถ้าการคาดการณ์ของผมไม่ผิดพลาด ผมอาจจะต้องได้เห็นไอ้จดหมายสีฟ้านี่ทุกๆสัปดาห์เป็นแน่ ทางที่ดี ผมควรเลือกที่จะตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ผมควรจะเขียนจดหมายตอบกลับไปบอกเธอตามที่อยู่ผู้ส่งนี้เสีย ว่าให้เลิกทำอะไรบ้าๆอย่างนี้เสียที ก่อนที่ผมจะรู้สึกสมเพชมากไปกว่านี้

    “ความรัก” สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในชีวิตผมเลยแม้แต่น้อย

    ผมจัดการควานหากระดาษเปล่าจากบนโต๊ะที่เต็มรกไปด้วยกองหนังสือ ลงมือเขียนเนื้อความบรรทัดแรกลงในกระดาษพื้นสีขาวสะอาด แต่ยังเขียนได้ไม่ถึงครึ่ง ผมก็หยุดเสียก่อน ขยำกระดาษแผ่นนั้น แล้วโยนมันทิ้งลงถังขยะ

    ผมได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่งด้วยความเหนื่อยหน่าย เอือมระอากับตัวเอง อะไรบางอย่างวูบขึ้นมาในความรู้สึกของผม ราวกับจะทำให้ผมได้ตระหนักรู้สึกผิดต่อการกระทำเมื่อครู่ เกิดรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาหรืออย่างไร ผมไม่จำเป็นต้องสนใจ ต้องใส่ใจไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมกัน? ผมไม่รู้จริงๆว่า อะไรมาสะกิดใจผมเข้า เวลาผ่านไปหลายสิบนาที ผมก็ยังไม่อาจหยั่งรู้ถึงสิ่งนั้น จนกระทั่งท้ายที่สุด ผมได้ตัดสินใจหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาอีกแผ่น ลงมือเขียนจดหมายขึ้นใหม่ ด้วยความรู้สึก และเนื้อความที่ต่างไปจากเดิม ขัดแย้งกับความรู้สึกเดิมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อแรกที

    จากคุณ : MeiDong - [ 29 มี.ค. 48 17:01:47 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป