CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ปริศนาแห่งพิภพ - ปฐมบท

    เป็นเรื่องแรกที่เขียนนะครับสำนวนอาจจะแปลกๆ หรือหาสาระไม่ได้ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ

    ปล. ว่าแต่จะเคาะย่อหน้า (tab) จะทำอย่างไรครับเนี่ย

    ขอบคุณครับ
    Pipatz
    4 เมษายน 2548


    ปฐมบท

    แม่ของฝนเป็นคนยึดตึดกับอดีต...
    “ลูกเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณไหม” แม่ถามขึ้นมาวันหนึ่ง
    ฝนคิดว่าแม่คงเหงาและอยากเจอพ่อมากถึงได้พูดขึ้นมาแบบนี้ หลายปีแล้วที่แม่อยู่อย่างไร้ชีวิตชีวา พ่อของฝนเสียชีวิตไปตั้งแต่ฝนยังเป็นเด็กจำความไม่ได้ แม่เล่าให้ฟังว่ากลางดึกคืนหนึ่งพ่อนอนอยู่ดีๆ หัวใจก็หยุดเต้นตายไปเสียเฉยๆ หมอลงความเห็นว่าหัวใจวาย แต่ไม่รู้สาเหตุที่แน่นอนเหมือนกัน
    “ถ้าแม่ตายจะได้เจอพ่อไหม”
    ระยะหลังๆ แม่เป็นบ่อยขึ้นทุกที ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน จิตใจเลื่อนลอย เวลาว่างมักจะพูดถึงแต่เรื่องพ่อ
    “เมื่อคืนแม่ฝันเห็นพ่อด้วย”  “พ่อยังถามถึงลูกเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง”  ...

    หญิงสาววัยยี่สิบห้าปีชื่อฝน ดวงตากลมโต ผิวขาว ผมตรงตัดสั้นเลยต้นคอขึ้นมาหน่อย หน้าตาจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่น่ารักพอสมควรแต่ไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นคนที่สวย ปัจจุบันอาศัยอยู่กับแม่สองคน จริงๆ แล้ว ฝนมีน้องสาวหนึ่งคนแต่ว่าไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดปัจจุบันฝนทำงานเป็นพนักงานธุรการในบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำงานเป็นเวลา เข้างานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น หลังเลิกงานก็มีบ้างที่ไปกินข้าวหรือไปช๊อปปิ้งกับเพื่อนๆ แต่ส่วนใหญ่หลังเลิกงานฝนจะตรงกลับบ้านทันทีเนื่องจากเป็นห่วงแม่ เพราะว่าแม่อยู่บ้านคนเดียว และระยะหลังแม่มักมีอาการเพ้อแบบแปลกๆ บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งฝนก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะเรียกอาการแบบแม่นี้ว่าอาการอะไร “สงสัยต้องพาไปให้หมอหรือจิตแพทย์ดูอาการ” ฝนคิด

    “ไปหาหมอเถอะนะแม่” ฝนพูดขึ้นเย็นวันหนึ่งหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วแม่พูดเรื่องพ่อให้ฟังอีก
    “ไปทำไมให้เสียเงิน แม่ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” แม่ตอบฝนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
    “กันไว้ดีกว่าแก้น่าแม่ พ่อก็ตายไปตั้งนานแล้วแต่แม่ก็ยังพูดถึงพ่อเหมือนกับพ่ออยู่ด้วยทุกวันเนี่ยระวังจะเป็นโรคประสาทนะแม่ เพื่อนฝนเป็นมาหลายคนแล้ว” ฝนพูดเชิงประชด
    “เออน่า ไว้แม่เป็นเมื่อไรแกค่อยจับแม่ส่งโรงพยาบาลก็แล้วกัน” แม่ประชดกลับ
    “ก็ได้” ฝนตอบเสียงอ่อยๆ “ว่าแต่แม่กินอะไรหรือยัง เดี๋ยวฝนออกไปซื้อข้าวมากินก่อนนะ”
    “ก็ดีเหมือนกัน…ซื้อมาฝากพ่อแกด้วยนะ” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ โดยไม่มองหน้าฝน
    “แม่!! เดี๋ยวจับส่งโรงพยาบาลเลยนะ ยังพูดเล่นอยู่อีก” ฝนขึ้นเสียงขู่ แล้วก็เดินออกจากบ้านไป
    “ล้อเล่นน่า” เสียงแม่พูดไล่หลังฝนมา

    สักพักนึงหลังจากฝนเดินออกจากบ้านไปแล้ว แม่ก็ลุกออกจากศาลาหน้าบ้านเดินเข้าบ้าน บ้านของฝนเป็นหมู่บ้านจัดสรรอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นมีพื้นที่ประมาณแปดสิบตารางวา ชั้นล่างเป็นห้องรับแขกและห้องครัว ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลังบ้าน ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องนอนมีอยู่สามห้อง และมีห้องน้ำหนึ่งห้อง แต่ปัจจุบันมีกันอยู่แค่สองคนแม่ลูกจึงทำให้มีห้องว่างเหลืออยู่ห้องหนึ่งใช้เก็บของใช้ของพ่อ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือวิชาการเพราะพ่อมีอาชีพเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ นอกจากการสอนแล้วพ่อยังเป็นคนสนใจหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในด้านต่างๆ ด้วย จุดนี้เองที่ทำให้ฝนเลือกที่จะเรียนสาขาวิชาประวัติศาสตร์เพราะอยากเข้าใจพ่อมากขึ้นอีกนิด เสียอย่างเดียวว่าฝนไม่ได้เก่งเหมือนพ่อจึงทำให้เรียนได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้นไม่เข้าถึงแก่นของสาขานี้และในประเทศไทยสาขาวิชานี้ก็นับว่าเป็นสาขาที่หางานทำได้ยาก ส่วนใหญ่ก็ไปเป็นอาจารย์กัน แต่ฝนไม่ชอบการสอนจึงไปสมัครงานเป็นพนักงานกินเงินเดือนตามบริษัทธรรมดา

    แม่เดินเข้าไปในบ้านกำลังจะก้าวขึ้นบันได เพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ เหลือบไปเห็นไฟห้องรับแขกเปิดอยู่ ซึ่งแม่จำได้ว่าปกติถ้าไม่มีแขกมาเยี่ยมที่บ้านไฟห้องรับแขกจะไม่ได้เปิดเพราะเนื่องจากไม่มีคนใช้ “เอ แล้วใครเป็นคนเปิดกันนะ” แม่คิด “สงสัยฝนเผลอเปิดไว้ บ้าจริงๆ ลูกเรามาว่าเราป้ำๆ เป๋อๆ ตัวเองนะแหละตัวดี” แม่พึมพำกับตัวเองแล้วก็เดินไปที่ห้องรับแขกจะปิดไฟ ก็เห็นเงาคนนั่งหันหลังอยู่ในห้องรับแขก “สงสัยเพื่อนของฝน แหม เดี๋ยวนี้ พาเพื่อนชายเข้าบ้านแต่ไม่ยอมบอกแม่ เดี๋ยวกลับมาก่อนเถอะ ยายตัวดี” ว่าแล้วแม่ก็เดินเข้าไปสะกิดไหล่ชายคนนั้น “คุณ...”
    …………………………..

    ฝนกำลังเดินไปซื้อข้าวจากร้านที่ขายข้าวในหมู่บ้าน เห็นคนรอเต็มหน้าร้านฝนจึงร้องออกมาเบาๆ “หย๋า คนเยอะจังเลย” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปดูว่ามีอะไรขายบ้าง

    “ฝน” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากข้างหลัง
    ฝนหันกลับไปดู “อ้าวพี่ฝ้ายเองเหรอ มาหาอะไรกินหรือคะ”
    “เปล่า พี่กินมาจากบ้านเรียบร้อยแล้ว พอดีเห็นฝนเดินผ่านหน้าบ้านไปเลยเดินตามออกมาน่ะ”
    “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฝนถาม
    “ถ้าไม่มีอะไรเนี่ยพี่จะตามมาคุยไม่ได้เลยใช่ไหม ฮึ” พี่ฝ้ายทำหน้าตุ่ยๆ
    ฝนหัวเราะ “พี่ฝ้ายอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้นะ”
    “โถ่...พี่ออกจะสวยขนาดนี้” พี่ฝ้ายเถียง
    “คนอะไรชมตัวเองก็ได้” ฝนยังไม่หยุดหัวเราะ
    “พอๆ” พี่ฝ้ายตัดบท “ว่าแต่เราสั่งเสร็จหรือยัง จะได้เดินคุยกันไป”
    “แป๊บนึงนะพี่” ว่าแล้วฝนก็ไปเลือกสั่งกับข้าวสองหรือสามอย่างแล้วก็ปล่อยให้แม่ค้าตักไป ตัวเองก็หันไปคุยกับพี่ฝ้ายได้ซักพัก
    “พรุ่งนี้วันหยุดนี่พี่ไม่ไปเที่ยวไหนเหรอคะ” ฝนถาม
    “นั่นแหละ พี่ว่าจะคุยกับฝนเรื่องนี้พอดี เอ้านั่นแม่ค้าตักเสร็จแล้ว จ่ายเงินสิ” พี่ฝ้ายชี้ไปทางแม่ค้าซึ่งตักกับข้าวให้เสร็จแล้ว “เรียบร้อยแล้วจ๊ะหนู”
    “อุ๊ย!! เร็วจัง” ฝนอุทานนึกว่าจะได้ช้าเพราะว่าคนเยอะมาก
    ฝนจ่ายเงินเสร็จแล้วก็เดินออกจากร้านพร้อมพี่ฝ้าย ทั้งคู่เดินไปตามทางในหมู่บ้านเรื่อยๆ บ้านของพี่ฝ้ายจะถึงก่อนบ้านของฝน หนึ่งแยก ก่อนถึงบ้านของพี่ฝ้ายจะมีสวนหย่อมสำหรับให้เด็กๆ มาวิ่งเล่น ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เด็กๆ คงโดนเรียกกลับบ้านไปหมดแล้วแน่ เพราะฝนไม่เห็นใครอยู่ที่สวนหย่อมเลย แล้วพี่ฝ้ายก็พูดขึ้นมา “นั่งคุยกันแถวนี้ก็ได้มั้ง”
    “อ่ะ” ฝนอุทาน “ไหนบอกไม่มีธุระอะไรไงพี่ฝ้าย ถึงกับต้องนั่งคุยเลยเหรอ”
    “เอาน่า นั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่เล่าอะไรให้ฟัง” พี่ฝ้ายทำหน้าซีเรียส
    “นั่งก็นั่ง” ว่าแล้วฝนก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งแถวนั้น เป็นเก้าอี้หิน ไม่มีพนักพิง วางรอบโต๊ะหินสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง “พี่ฝ้ายจะชวนฝนเล่นหมากฮอสเหรอ ฝนเก่งนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน” ฝนพูดหลังจากสังเกตุเห็นฝาน้ำอัดลมวางอยู่บนโต๊ะมีร่องรอยว่าเพิ่งจะเล่นกันไปไม่นาน
    “ทะลึ่ง” พี่ฝ้ายกำหมัดแล้วยกขึ้นมาทำท่าจะต่อย พี่ฝ้ายปกติจะออกคล้ายๆ ทอม นิดๆ แบบว่าห้าวไปเรื่อยแต่ว่าไม่ได้มีพฤติกรรมแบบที่ทอมปกติเขาเป็นกัน และพี่ฝ้ายเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกัน ที่สำคัญพี่ฝ้ายชอบพาแฟนเขามาโชว์ตัวบ่อยๆ เอาไว้วันหลังฝนจะแนะนำให้รู้จักละกัน
    “เอ้ามีอะไรก็ว่ามาพี่ เดี๋ยวหนูต้องเอาข้าวไปให้แม่กินอีก ป่านนี้สงสัยบ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้ว” ฝนพูดพร้อมทั้งจ้องหน้าพี่ฝ้าย “บอกให้เขานั่งแล้วตัวเองไม่นั่งนะ”
    “เดี๋ยวสิ กำลังจะนั่งอยู่นี่ไง เรานั่งขวางพี่อยู่นะ พี่ถึงต้องเดินอ้อมมาฝั่งนี้ไง ขี้บ่นจริงๆ ยังไม่แก่ซะหน่อย เฮ้อ” ว่าแล้วพี่ฝ้ายก็ถอนหายใจซะหนึ่งเฮือก “ล้อเลียนซะเลย” ฝนคิดพร้อมทั้งถอนหายใจพร้อมพี่ฝ้าย แล้วก็จบด้วยการโดนตบหัวไปหนึ่งที
    “วันเสาร์นี้ว่างหรือเปล่า พี่มีธุระสำคัญอยากให้ฝนไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย”
    “วันเสาร์เหรอ” ... “อืม” ฝนเงยหน้านึก “ก็ไม่มีอะไรนะ ว่าแต่พี่จะไปไหนเหรอ ออกค่ารถให้ด้วยนะ”
    “เออน่า แค่ค่ารถเอง เราออกค่าข้าวให้พี่แล้วกัน ล้อเล่นนะ เดี๋ยวเลี้ยงหมดแหละ” พี่ฝ้ายยิ้มใหญ่ “ไปสนามหลวง ไปดูดวง”
    ฝนอ้าปากค้างประมาณ 15 วิ “อะไรนะพี่”
    “ไปแถวสนามหลวง ไปดูดวง” พี่ฝ้ายพูดช้าๆ ชัด เน้นทีละคำ
    “โอเคพี่ เข้าใจแล้ว แต่นึกยังไงถึงจะไปดูดวงเนี่ย ปกติไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วมันเป็นธุระสำคัญตรงไหนเนี่ย”
    “เพื่อนพี่ ที่ชื่อส้มน่ะ ฝนจำได้หรือเปล่าที่เป็นคนออกจะเปรี้ยวๆ หน่อย ใส่กระโปรงสั้นๆ ทาปากแดงๆ แต่งหน้าจัด ชอบใส่ส้นตึกสูงๆ”
    “จำได้ๆ” “แล้วไง”
    “อาทิตย์ก่อน วันไหนไม่รู้ จำไม่ได้ เขาไปดูดวงมาแล้วกลับมาเล่าให้พี่ฟัง ตรงมากๆ เลย”
    “หมอดูก็อย่างนี้แหละพี่ เขาก็พูดแต่สิ่งที่พี่อยากฟัง พี่ก็เลยนึกไปเองว่ามันตรง ทั้งๆ ที่จริงมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพียงแต่พี่อยากได้ยินเขาพูดอย่างนั้นก็เท่านั้นเอง ฝนไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่ามีใครไปดูหมอมาแล้วกลับมาบอกว่า “เฮ้ย ไปดูหมอมาว่ะ หมอบอกว่าฉันจะตายใน 3 วัน” จริงไหมพี่”
    “มันก็จริง” พี่ฝ้ายพูดแล้วก็เงียบไปนิดนึงก่อนจะพูดต่อ “แต่พี่อยากลองดูน่ะ ไปกับพี่นะ”
    “ได้อยู่แล้ว งั้นเดี๋ยวหนูกลับบ้านก่อนนะ แม่รอนานแล้ว ไปเย็นพรุ่งนี้ใช่ไหม ยังไงพรุ่งนี้เช้าโทรมาปลุกฝนละกันนะพี่”
    “ได้ แล้วเจอกัน”

    ฝนลุกจากที่นั่งแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินกลับบ้าน ระหว่างเดินกลับก็คิดในใจ “พี่ฝ้ายแปลกไปแฮะ เอ... หรือว่าผู้หญิงจะชอบดูดวงกันทุกคน ไม่มั้ง เราเองยังไม่อยากดูเลย”
    …………………………..

    พอเปิดประตูเข้าบ้าน ฝนสัมผัสได้ถึงไอประหลาดที่พุ่งออกมาจากในบ้าน ถึงกับชะงักไปนึดนึง ในใจคิดว่าคงจะคิดไปเองแต่ว่ามันเป็นสัมผัสที่รุนแรงและน่ากลัวมากยังไงก็ไม่น่าจะคิดไปเองได้ นอกจากนั้นทั้งๆ ที่ในบ้านเปิดไฟทั้งหมดแต่ดูมืดและกดดันสุดๆ จนฝนแทบจะวิ่งหนีออกจากบ้านไปให้ไกล แต่ในใจก็ห่วงแม่ และดูเหมือนฝนจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดี จึงไม่มีเสียงอะไรหลุดรอดออกมาจากปากฝนเลยแม้แต่นิดเดียว ฝนคิด “ทำไมเราไม่หนีไปไกลๆ นะ อย่างน้อยวิ่งไปเรียกพี่ฝ้ายก่อนก็ยังดี ปกติเวลาดูหนังสยองขวัญเรายังด่าตัวเอกเลย เวลามีอะไรเกิดขึ้นแทนที่จะหนีกลับวิ่งเข้าไปดู นี่มันเข้าตัวเองเหรอเนี่ย” พลางส่ายหน้าว่าแล้วก็วางถุงกับข้าวไว้หน้าประตูบ้าน คว้าไม้กวาดที่วางอยู่หน้าประตูได้ก็ค่อยๆ เดินเข้าบ้านโดยไม่ทำให้เกิดเสียงดัง ตรงไปทางห้องครัวซึ่งฝนคิดว่าแรงกดดันคงจะมาจากตรงนั้น จริงดังคาดฝนเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว บนกระดาษแผ่นนั้นเป็นลายมือของแม่ซึ่งฝนจำได้ดี เขียนไว้ว่า

    “ฝนลูกรัก
    ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า พอดีแม่มีธุระด่วนต้องไปทำที่บ้านญาติที่ต่างจังหวัด เป็นธุระที่สำคัญมาก จึงรอลูกกลับมาไม่ได้ ไปครั้งนี้แม่ก็บอกลูกไม่ได้นะว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไร เนื่องจากธุระนี้ขึ้นอยู่กับหลายๆ คนไม่ใช่แม่แค่คนเดียว บางทีอาจจะใช้เวลา แค่อาทิตย์เดียว หรืออาจจะเป็นปีนะ
    แม่หวังว่าลูกคงจะอยู่คนเดียวได้นะ

    ปล. อย่าลืมทำความสะอาดบ้านล่ะ อย่าขี้เกียจนะ

    รักลูกมาก
    จากแม่”

    “แม่...” “ต้องไม่ใช่แบบนี้แน่ ต้องมีอะไรซักอย่างเกิดขึ้นแน่ แม่ไม่เคยทิ้งบ้านนี้ไปไหน นานสุดก็แค่ตอนที่ฝนพาแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดแค่สองวันกับคืนเดียวเอง” ฝนส่ายหน้าพร้อมทั้งนั่งลงและเริ่มร้องไห้ “จะทำยังไงดีเนี่ย แล้วความรู้สึกกดดันขยะแขยงนี่มันอะไรกัน....”

    แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 48 10:05:17

    แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 48 14:34:56

    จากคุณ : Pipatz - [ 4 เม.ย. 48 14:34:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป