CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    การเดินทางของกาล

    ในห้องเรียน ขณะเพื่อน ๆ แต่ละคนต่างวิ่งเล่นกันรอบ ๆ โต๊ะ ศิลากาลเด็กผู้ชายตัวเล็กผ่ายผอม กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเรียบร้อย เพราะก่อนหน้านี้ครูประจำชั้นเข้ามาบอกว่าจะมีพระจากวัดในตัวเมืองมาขอพบพร้อมกับเพื่อนอีกห้าคน

    ภิกษุหนุ่มเดินเข้ามาอย่างสง่า มีเก้าอี้ให้นั่งแต่ท่านไม่นั่ง เดินไปมาอย่างเชื่องช้าปากก็เริ่มอธิบาย

    “ที่เลือกพวกเราห้าคน ใช่ว่าจะเลือกที่รักมักที่ชัง แต่เพราะเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงในการจะตัดสินใจและให้ผู้ปกครองซึ่งเป็นพ่อแม่ตัดสินใจด้วย ขณะนี้พวกเราอยู่ในช่วงสุดท้ายของการต้องตัดสินใจ ว่าจะเลือกทางเดินชีวิตของเราอย่างไร นั่นหมายถึงการจะเข้าเรียนในชั้นมอหนึ่ง” ท่านเดินกลับมาที่เดิมและนั่งลง “พวกเราทั้งห้าคน ต่างก็มีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อีกทั้งทางบ้านก็อัตคัตขัดสนพอกัน ถึงได้เลือกมาฟังโอกาสใหม่ๆ ในวันนี้”

    ภิกษุเดินทางกลับไปแล้ว ทิ้งไว้แต่คำถามที่เขาไม่กล้าจะเอ่ยปาก เมื่อครูประจำชั้นเดินเข้ามาและบอกว่าใครจะตัดสินใจอย่างไร วันพรุ่งนี้ให้มาแจ้ง แล้วครูจะนัดหมายกับภิกษุอีกครั้ง

    ศิลากาลกลับถึงบ้าน วางกระเป๋าหนังสือลงบนชานไม้ริมระเบียง รีบเดินไปหลังบ้าน พบพ่อแม่ที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับการเก็บเกี่ยวข้าวที่สุกงอม และเริ่มบอกข่าว

    “แม่บอกว่า หลังจบปอหกแล้ว ผมจะไม่ได้เรียนหนังสืออีก” เขาทวนความจำที่ครั้งหนึ่งแม่เคยพูดไว้ “แต่วันนี้พระมาที่โรงเรียนบอกว่า คนที่เรียนดีแต่ยากจนสามารถไปบวชได้ จะได้เรียนหนังสือจนจบปริญญา” เขาไม่รู้หรอกว่าระยะเวลาจากนี้ไปอีกกี่ปีจึงจะจบปริญญาตามที่พระพูด แต่เขารู้ว่าโอกาสที่จะเรียนมันยังมี แม้แม่จะไม่มีเงินส่งให้เรียน

    “หากเอ็งชอบและตั้งใจจริง แม่ก็ไม่ขัดข้อง” แม่ว่าพร้อมเงยหน้าขึ้นมองหน้าลูกชาย “อีกหน่อยน้อง ๆ ก็โตตาม ๆ กัน พอน้องๆ เรียนถึงปอหกแล้วค่อยว่ากันอีกที เอ็งเป็นผู้ชายจะได้บวชเรียน แต่น้อง ๆ เป็นผู้หญิง คงบวชกันไม่ได้ ใช่มั้ยพ่อ” แม่หันไปขอความเห็นจากพ่อ

    พ่อเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจา ถ้าเหล้าไม่ถึงปากก็มิพักฟังคำเอ่ยจากพ่อมากนัก เมาเหล้าวันไหนก็เบื่อจะฟังคำ แม่ต้องคอยปรนนิบัติ เช็ดตัวเช็ดอาเจียนอยู่เสมอๆ จนชินตา

    เช้าวันเสาร์ ลมร้อนระอุพัด อาทิตย์ทอดแสงระยิบขึ้น ช่วงเดือนเมษายนหน้านี้ เดินไปไหนมักไม่มีผู้คนอยู่ติดบ้าน แต่ละหลังปิดประตูเงียบสนิท ภาระกิจอยู่ท้องทุ่ง กว่าจะกลับเข้าบ้านก็ไม่เห็นรวงข้าวจะเก็บเกี่ยวเข้าไปแล้ว

    กาลก้มลงเก็บข้าวทีละรวงๆ จนเกือบเต็มกำมือแล้วจึงส่งต่อให้ผู้เป็นแม่รวบเข้ากับของตน และตัดกอข้าวขึ้นมาแทนเชือก ผูกข้าวที่เก็บได้วางเรียงตามหลังมาเป็นทิวแถว

    “บอกกันไว้หรือเปล่า ว่าจะมารับตอนไหน” แม่ถาม
    “ไม่ บอกว่าจะมารับ” กาลนั่งลงข้างกองข้าว หยิบขันใบเล็กที่คว่ำอยู่บนกระติก เปิดฝาขึ้นตักน้ำซดเข้าปากอย่าง กระหายโดยไม่สนใจกากตะกอนที่ลอยฟ่องแม้สักนิด

    เสียงตะโกนแว่วมาจากถนนด้านหลัง ถึงจะได้ยินเสียงที่ตะโกนนั้นแต่ฟังไม่ได้สรรพ แม่บอกให้เขาวิ่งไปปิดวิทยุที่เปิดอู้อี้อยู่ข้างๆ ได้ความว่า ที่พระนัดไว้ว่าจะมารับนั้น ให้เดินทางไปเองที่วัด ก่อนเที่ยงพรุ่งนี้ พระท่านมาและรับเด็กอื่นๆ ไปแล้ว บ้านของศิลากาลอยู่ไกลออกมา และถนนก็ลำบากรถเข้าไม่ได้ ท่านกลัวจะมืดค่ำก็เลยต้องรีบกลับไปก่อน

    พ่อเดินไปรับจดหมายจากคนบอกข่าว เป็นระเบียบการและอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ที่จะต้องนำติดตัวไปด้วยในวันพรุ่งนี้

    แม่บรรจงเปิดจดหมายอย่างช้า ๆ จ้องอ่านอยู่นาน แล้วจึงพับตามรอยเดิมเก็บไว้

    “ของใช้ทุกอย่างที่บอกมาในจดหมาย ก็มีหมดแล้วอยู่ที่บ้าน ใช้อยู่ทุกวัน พวกยาสีฟัน สบู่ ผ้าเช็ดตัวพวกนั้นแหละ ไม่ต้องซื้อใหม่” แม่ว่า

    เช้าวันรุ่งขึ้น กาลรู้สึกได้ถึงการเดินทาง ในชีวิตไม่เคยแม้สักครั้ง ที่จะจากบ้านไปและไม่รู้ว่าจะนานสักเพียงไหน ในรั้วร่มผ้ามนต์ขลังแห่งความศรัทธาจะเป็นอย่างไร คือคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ แม่บอกให้ไปไหว้ตายาย ไหว้ลุง และไหว้ใครต่อใครอีกมากมาย แต่ละคนต่างก็เข้าใจและส่งเสริมให้อยู่ได้อย่างสงบ

    “ทำตัวดีๆ น่ะ ให้เป็นที่รักของครูบาอาจารย์ ไม่สบายใจอะไรให้กลับมาคุยกัน” ยายอวยพร
    “เออลูก ไปเถอะลูก ลูกต้องได้ดี” ลุงอวยพร

    แล้วพ่อก็เดินนำออกจากบ้าน ไปตามถนนลูกรัง ที่ทอดยาวไปข้างหน้าอย่างรีบเร่งเพื่อให้ทันเวลานัดหมาย แม้จะเหนื่อยร้อนจากแสงอาทิตย์เดือนเมษายน

    เมื่อเดินย่างเข้าสู่เขตขัณฑสีมา สัมผัสได้ถึงความเย็นของร่มไม้และสายลม ความเงียบคือความไม่เงียบ ในความเงียบจากภายนอกคือเสียงหริ่งเรไร เมื่อสถานที่แห่งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางในชีว ิตของเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่ง

    เขาลูกเรียกให้เข้าไปจับฉลากจัดสาย เพื่อจะแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ อย่างยุติธรรม เด็กแต่ละคนไม่มีใครเคยรู้จักกันมาก่อน ความเหงาเริ่มมาเยือนเมื่อพ่อขอตัวกลับบ้าน ก่อนที่จะเย็นย่ำค่ำ เขาร้องไห้อย่างไม่รู้สึกตัว และเพื่อนบางคนก็ร้องไห้ตามเหมือนตกอยู่ในชะตากรรมของความเหงาเดียวกัน

    รถสองแถวพาพวกเราในกลุ่ม ไปสู่เส้นทางห่างจากวัดที่นี่ออกไปอีกแล้ว เพื่อการเข้าค่ายเตรียมตัวสวดคำพระก่อนเข้าพิธีบวช

    ตลอดช่วงเวลาของการเดินทาง เด็กบ้านนอกที่ต้องไปอยู่วัดบ้านนอกเพื่อจะกลับเข้ามาบวชและเรียนหนังสือในเมือง กว่าจะผ่านวันในแต่ละวันช่างเศร้า เหงา และคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงทุกๆ สิ่ง แต่ในความโดดเดี่ยวภายในใจนั้น ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ ทำให้พบเพื่อนและมิตรภาพมากมายตามรายทาง บ้างปรากฎชัดอยู่ในรอยยิ้ม หลังคำสวดซ้ำซาก เสียงหัวเราะของผู้แพ้วิชาที่ยากจนเกินจดจำ ถ้าไม่ขังตัวเองอยู่กับความเหงานานจนเกินไป ก็จะพบกับความสวยงามและมิตรภาพ ที่การเดินทางนำมาให้ ศิลากาลกำลังเดินทางไปสู่วันพรุ่ง

    จากคุณ : พลอยชนก - [ 5 เม.ย. 48 17:49:56 A:202.90.116.45 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป