แสงแดดรุ่งอรุณยามเช้าวันใหม่ ลอดผ่านช่องมู่ลี่ทางหน้าต่าง
เข้ามาแยงตาชายหนุ่ม กอปรกับเสียงของบรรดาเหล่าทหารใหม่ที่ออกวิ่ง
พลางก็ร้องเพลงไป ดังเซ็งแซ่ลอดเข้ามาในห้อง
ถ้าเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวทั่วไป แสงแดดแห่งรุ่งอรุณยามเช้าอันน้อยนิด
บวกกับเสียงร้องเพลงของบรรดาเหล่าทหารใหม่อีกนิดหน่อย
คงไม่ใช่อุปสรรคในการนอนของเขาเหล่านั้น
เพียงแค่สละเวลาซักนิดลุกขึ้นมาปิดหน้าต่าง และรูดม่านซะ
อุปสรรคเหล่านี้ก็จะหมดไป
แต่นี่คือ โจ ชนะสิทธิ์ ก้องเกียรติการ นิยามชีวิตที่ว่า
เมื่อใดที่ลุกเมื่อนั้นไม่ล้ม เมื่อใดที่ล้มเมื่อนั้นต้องลุก
ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเกี่ยวกันสักเท่าไหร่ แต่โจก็ไม่อยากพลาดที่จะลุกจากเตียง
เพื่อมาดอมดม สูดกลิ่นอากาศของเช้าวันใหม่ไป
ทันทีที่ ลุกจากเตียงเดินผ่านหน้าตู้กระจก
เขาก็ต้องชะงักมองดูสารรูปตัวเองหน้ากระจก สภาพของตัวเองที่ยังคงอยู่ในชุด
เสื้อเชิ้ตแขนยาว สวมกางเกงยีนส์ ผมยังคงเห็นร่องรอยว่าผ่านการใส่น้ำยาเซ็ตผมอยู่
ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกสมเพชตัวเอง
...เมื่อคืนเขาคงคิดถึงเรื่องของแยมเสียจนเผลอหลับไป
ก็สมควรหรอกนะที่จะสมเพชตัวเอง 4 ปีที่แล้ว เขามีโอกาสที่จะพูดคำว่า ขอโทษ
แต่เขาก็ปากแข็งเสียจนไม่กล้าพูดคำนั้น แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ
ใครกันที่ทำให้เราคิดมากได้ขนาดนี้ ใครกันที่ทำให้เราเปลี่ยนตัวเองได้ถึงเพียงนี้
ไม่ใช่เธอหรอกหรือ สุดที่รัก (ในอดีต)... โจบ่นกับตัวเองหน้ากระจก
กว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เขากลับมาบ้าน โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
วันๆ เอาแต่สาละวนคิดถึงเรื่องของแยม หรือไม่ก็นั่งเล่นกีต้าร์
เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน จนผู้เป็นบิดาอดสงสัยในตัวลูกชายไม่ได้
โจ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าฮึ ดูเราแปลกๆ ไปนะ
ผู้เป็นบิดาถามด้วยความเป็นห่วง
ไม่มีอะไรหรอกพ่อ แค่เซ็งๆ นิดหน่อย
สีหน้าโจเรียบสนิทเช่นเดียวกับน้ำเสียง
ช่วงนี้ดูเราแปลกๆ ไปนะ มีอะไรก็บอกพ่อมาก็ได้
ผู้เป็นบิดาถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม
ไม่มีอะไรหรอกน่า ปัญหาทุกอย่างถ้าโจเป็นคนก่อ โจก็จะแก้มันด้วยตัวเอง
พ่อไม่ต้องห่วงหรอก เอาเวลาของพ่อไปทำอื่นเถอะ!
โจว่าพลางก็ลุกจากเก้าอี้หินอ่อน รีบเดินฉับๆ เข้าบ้านไป
ตามใจ ผู้เป็นบิดาส่ายศีรษะด้วยความละเหี่ยใจ
เออ...โจ วันนี้น้องจะกลับบ้านไปรับที่สถานีรถไฟด้วยล่ะ
ผู้เป็นบิดาตะโกนตามหลังไป
คร๊าบบบบบบบ...ผม
วู๊ด! วู๊ด! เสียงเจ้ากิ้งกือยักษ์ขบวนใหญ่ ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ
พื้นปูนบริเวณสถานีรถไฟเริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อยตามแรงวิ่งของเจ้ากิ้งกือยักษ์
หัวใจของโจเต้นแรงอึกทึกขึ้นเรื่อยๆตามแรงสั่นของพื้น
ด้วยความคิดถึงและความอยากเห็นหน้าน้องชายสุดที่รัก
ที่ตอนนี้ไปเรียนต่อในระดับ ปวส. ณ สถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
กว่า 4 ปีแล้ว ที่เขาไม่ได้เห็นหน้าน้องชายสุดที่รัก
ไม่ได้มีโอกาสได้ยลโฉมใบหน้าของน้องชายที่ใครต่อใครต่างก็ยกว่าหล่อกว่าพี่ชาย
ไม่มีโอกาสได้รู้สารทุกข์สุขดิบของน้องชายว่าจะเป็นอย่างไร
และที่สำคัญไม่มีโอกาสได้รู้ว่าคำสัญญาข้อที่ 3 ที่โจให้ไว้กับแม่ก่อนท่านจะเสีย
โจจะทำได้ดีเพียงใด
คำสัญญา 3 ข้อที่โจให้ไว้กับมารดาก่อนท่านเสีย
1. ตั้งใจเรียนนะลูก
2. เป็นลูกที่ดีของพ่อ ช่วยพ่อทำงานบ้านนะลูก
3. ช่วยพ่อดูแลน้องนะ
เมื่อเจ้ากิ้งกือยักษ์เข้าเทียบชานชรา โจก็ต้องพบกับความผิดหวัง
ผู้โดยสารที่มากับเจ้ากิ้งกือยักษ์แก่ๆ ตัวนี้ ไม่ปรากฏภาพของน้องชายของเขาเลย
...น้องเราอาจตกรถมาไม่ทันขบวนนี้ ไม่แน่อาจมาขบวนหน้าก็ได้นะ...
โจพยายามปลอบใจตัวเอง
กระทั่ง ขบวนที่สอง ขบวนที่สาม ผ่านไป ก็ยังคงไร้ซึ่งวี่แววของเจ้า จิว
น้องชายสุดที่รักอยู่ดี
ครั้นจะให้โทรศัพท์ไปหา ก็เจ้ากรรมโจดันลืมโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้ที่บ้าน
จะโทรเข้าเบอร์บ้านสัญญาณที่ดัง ตุ๊ด! ตุ๊ด! แสดงว่าคงมีใครใช้โทรศัพท์อยู่
หรือไม่ก็กำลังเปิดอินเตอร์เน็ทใช้งาน
จะโทรเข้าเบอร์มือถือน้องชาย ก็จำเบอร์ไม่ได้
จำไม่ได้แม้กระทั่งเบอร์มือถือของผู้เป็นบิดาของตัวเอง
จะโทรเข้าเบอร์ตัวเองก็ดัน...ปิดเครื่องไว้ ตอนนี้เขาจึงทำได้แค่เพียงนั่งเป็น
กบในกะลา อยู่ที่สถานีรถไฟ ไม่รู้ว่าน้องชายจะมาถึงตอนไหน
หรืออาจจะมาถึงที่บ้านแล้ว โดยนั่งรถทัวร์มา แล้วไม่บอกล่วงหน้า
ความเซ็งค่อยๆ เพิ่มทวีคูณขึ้นทุกขณะ ความอดทนเริ่มเหือดแห้งเข้าไปทุกที
ในใจคิดแต่จะกลับบ้าน แต่ด้วยหน้าที่และความที่อยากมารับน้องชายด้วยตัวเอง
ถึงสถานีรถไฟยังคงเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ เขาจึงอดทนรอต่อไป
กระทั่งรถไฟเที่ยว เชียงใหม่ กรุงเทพฯ มาถึง
ซึ่งแน่นอนรถไฟเที่ยวขึ้นเที่ยวนี้น้องชายเขาไม่โดยสารมาอยู่แล้ว
ถ้าหากเป็นรถไฟเที่ยวล่องโจจึงพอได้ลุ้นว่าจะมีน้องชายของเขาโดยสารมาหรือไม่
แต่กระนั้น เมื่อรถไฟเข้าเทียบชานชรา หญิงงามร่างระหง ซึ่งโดยสารมากับรถขบวนนี้
ก็เดินตรงปรี่เข้ามาหาโจ ซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
ขอโทษนะคะ เก้าอี้ข้างๆ นี่ว่างหรือเปล่าคะ
น้ำเสียงเล็กๆ ใสๆ แทรกผ่านรูหูซาบซ่านเข้าทุกอณูของร่างกายโจอย่างรวดเร็ว จนโจอดคิดถึงใครบางคนไม่ได้
โจค่อยๆ เงยหน้ามองหญิงงามร่างระหง ในชุดเสื้อรัดรูป สวมกระโปรงพลีทสีน้ำตาล
สั้นประมาณเหนือเข่ามาเล็กน้อย พอให้เห็นขาอ่อน เขากลืนน้ำลายลงคออึกนึง
ก่อนที่จะส่งยิ้มละไมให้ อ๋อ...ว่างครับเชิญนั่งสิครับ
โจว่าพลางไปก็หันกลับมาอ่านหนังสือพิมพ์อีกเช่นเดิม ถึงแม้อิตถีเพศซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
จะมีรูปร่างหน้าตางดงามเพียงไหน แต่สำหรับโจ ตอนนี้ แยม
คือหญิงเดียวเท่านั้นที่เขาต้องการ
ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าชื่ออะไรคะ หล่อนทักนำไปก่อน
โจครับ โจตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
ชื่อเพราะจังนะคะ เราปุ้ยนะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ น้ำเสียงพร้อมกับรอยยิ้มละมุน
ทักทายโจราวกับคนคุ้นเคย
ไม่ทราบว่าโจมีแฟนหรือยังคะ เธอว่าพลางค่อยๆ นำนิ้วก้อยมือขวาของเธอ
มาเกี่ยวที่นิ้วก้อยมือซ้ายโจ
โจสะดุ้งเฮือก รีบสะบัดมือให้หลุดจากนิ้วมือของเธอ
ไม่นึกว่าเธอจะกล้าถามคำถามคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรกเร็วเพียงนี้
ตอนนี้ยังครับ แต่กำลังจะมี โจเลิกคิ้ว พร้อมส่งรอยยิ้มเชิงเจ้าเล่ห์
...โอ้!...พระเจ้า ไม่นึกเลยว่าจะรนหาที่เร็วเพียงนี้ เดี๋ยวเหอะ ได้เจอดีแน่...
โจนึกกระหยิ่มในใจ
จริงอยู่ที่กว่า 4 ปี ในใจโจยังคงมีแยมแต่เพียงผู้เดียว
จนไม่อาจเปิดใจให้ใครคนอื่นได้ แต่สำหรับการที่เขาจะหาใครสักคน
มาเป็นคู่นอน แล้วแยกย้ายกันไปนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
ด้วยความที่เขาเป็นนักดนตรี จึงทำให้มีโอกาสได้เจอกลุ่มคน
ที่เห็นเรื่องของเซ็กเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่แปลกที่ตลอด 4 ปีที่ผ่าน
เขาจะมีคู่นอนมากหน้าหลายตา หากแต่ว่าคนเหล่านั้น
ไม่มีใครแทนที่แยมได้เลยสักคน...
โจนั่งสนทนาอยู่กับปุ้ยสักพัก โจเริ่มเอะใจในคำพูดของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
...ทำไมเธอถึงพยายามชวนเราไปบ้านของเธอ ทั้งที่เราก็ปฏิเสธทุกครั้งไป
ทำไมเธอจึงพยายามเสนอผลตอบแทนให้ เพื่อให้เราไปบ้านเธอ
เธอต้องการอะไร หรือว่าเธอต้องการพาเราไปเปิดตัวเพื่อดัดหลังใครบางคน
แล้วทำไมต้องเป็นเรา... โจนึกสงสัย แต่ก็พยายามเก็บสีหน้า
และแววตาสงสัยไว้ ไม่ให้เธอรู้ตัวว่ากำลังสงสัยเธออยู่
โจนั่งนึกสงสัย พลางก็จับสังเกตเธอ โจเริ่มรู้สึกผิดสังเกตทุกครั้ง
ยามมีเสียงรถยนต์เข้ามาจอดหน้าสถานีรถไฟ เธอจะหันไปมองทุกครั้ง
เหมือนกำลังรอใครอยู่...
ปกติโจจะเป็นคนช่างสังเกต แต่นาทีนี้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้จะหายไปเสียจนแทบหมดสิ้น
ด้วยน้ำเสียงและสำนวนการพูดที่หวานหยดย้อย รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นจนอดคิดไม่ได้
หากแต่ว่าความอดทนยังคงอยู่ โจจึงพยายามข่มใจไม่ให้หลงเคลิ้ม
ตามสำนวนการพูดชนิดที่ว่ากลูโคสเรียกพี่ของเธอ
อยู่ๆ ความคิดที่จะจับผิดเธอก็แล่นพลันเข้ามาในหัว
โจไม่ลังเลเลยที่จะลองทำตามแผนการที่ตนคิดไว้
โจจึงแสร้งทำทีเป็นขอตัวไปเข้าห้องน้ำ และสิ่งที่ปรากฏก็คือ
แม่สาวน้อยผู้นี้เดินตามเกาะแขนโจไว้แน่นราวกับเป็นคู่รัก!
แต่โจก็ไม่ขัดขืนหรือพยายามสะบัดสองมือเธอออกจากวงแขนแต่อย่างใด
ตอนนี้โจเริ่มมั่นใจแล้วว่า แม่สาวน้อยตัวดีคนนี้ไม่ได้มาดีแน่ๆ
ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรก็ตาม
เมื่อออกจากห้องน้ำโจกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม โดยมีแม่สาวน้อยตัวดีมานั่งข้างๆ
อีกเช่นเดิม ในสมองของโจตอนนี้ไม่เหลือความคิดเรื่องอื่นอีกแล้ว
นอกจากจะหาวิธีที่จะสลัดเธอได้อย่างไร
ถ้าเป็นเมื่อก่อนโจคงด่า หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างเพื่อสลัดแม่สาวคนนี้อย่างง่ายดาย
หากแต่ว่าตอนนี้ สิ่งเหล่านั้นแทบหายไปหมด ยิ่งโจได้สบตาที่ดูเพียงผิวเผิน
เปี่ยมไปด้วยความสุขของเธอ แต่ถ้ามองลึกๆ แล้ว
สองตาคู่นี้ของเธอแฝงด้วยความหม่นเศร้าจนมิอาจประมาณได้
จนโจไม่กล้าที่จะเลือกใช้วิธีรุนแรงกับเธอ
กระทั่งรถไฟขบวนใหม่เข้าเทียบชานชรา
ถึงแม้ว่าผู้โดยสารที่ลงมาจากขบวนรถจะยังคงไม่ปรากฏแม้แต่เงาของเจ้าจิว
น้องชายตัวดี แต่สิ่งที่โจพบก็คือหนทางสลุดจากแม่ปิศาจสาวในคราบนางฟ้า
เธอคือความหวังครั้งใหม่ ความหวังเดียวเท่านั้นที่ต้องใช้ความหน้าด้านเข้าแลก
ความหวังสุดท้ายของเรา....
จากคุณ :
**พลิกทฤษฎี ตามหารัก**
- [
10 เม.ย. 48 02:09:13
A:203.150.102.84 X:
]