1. ใบกล้วยและหนังสือต่างประเทศ
ดอกไม้ให้เพื่อนพี่ไหมค่ะ?
ผมตื่นจากภวังค์ท่ามกลางเสียงเพลงดังที่ขับกล่อมซ้อนทับไปมาจาก
หลายๆร้านในตรอกข้าวสาร
มองคนที่อยู่ตรงหน้าผมกำลังคุยกับเด็กขายดอกไม้ คุณคงเคยเจอใช่ไหม?
เวลาไปนั่งดื่มเหล้า จะมีเด็กๆตัวเล็กๆวัยกำลังเรียนมา
ขายดอกไม้ในราคาเกินกว่าความเป็นจริง
ผมไม่เคยซื้อ
ไม่อยากซื้อ
แต่เธอซื้อ
ซื้อเยอะซะด้วย
หนูชื่ออะไรจ๊ะ เรียนอยู่เหรอ? ทำไมเวลาขายของต้องใส่ชุดนักเรียนด้วย?
เธอชวนเด็กน้อยตรงหน้าคุยราวกับว่าเป็นลูกของเพื่อน หรือญาติสนิท
ผมมองอย่างประหลาดใจ
เด็กน้อยจากไปพร้อมกับเงินค่าดอกไม้ที่ได้จากเธอ
และตรงไปหาเพื่อนๆคงจะซุบซิบกันว่าพี่คนนี้ช่างใจดีนัก
เด็กพวกนี้คงไม่มีใครคุยด้วยเนอะ เราว่าน่าสงสารออก อย่างน้อยเราก็อยากชวนเขาพูดบ้าง
นั่งในร้านดีไหม? ตรงนี้ร้อนออก ผมเสนอ
ต้นเดือนมีนา อากาศค่อนข้างร้อนแม้ในยามค่ำคืนแบบนี้
ร้านที่เรานั่งตกแต่งด้วยใบกล้วยและต้นไม้ต่างๆ
ดูร่มรื่นแต่ทว่ารกไปหน่อยและไม่เย็นอย่างภาพลักษณ์ที่ทางร้านอยากให้เป็น
ใบกล้วยที่เหี่ยวเฉาปรกหน้าผมบ่อยครั้งเวลาที่ลมตี
การเดินเข้าไปนั่งห้องแอร์จึงเป็นทางออกที่ดีในความรู้สึกผม
โต๊ะที่ขยายเตรียมพร้อมสำหรับรองรับเพื่อนของเธอ
ใช่
งานวันเกิดเพื่อนของเธอ ซึ่งผมไม่รู้จักสักนิด
ผมนั่งเหยียดตัวบนโซฟาหนังสีดำ ข้างหลังเป็นชั้นหนังสือต่างประเทศ นิยาย?
หรือสารคดี?
ผมหยิบมาพลิกดูฆ่าเวลายามที่เธอหันไปคุยกับเพื่อนของเธอ ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษนัก
อ่านไม่เข้าใจเอาซะเลย แต่บางทีเธอที่อยู่ข้างๆผมนี่แหละ
เธอที่มีดวงตาสวยๆคู่นั้นอาจจะเข้าใจยากยิ่งกว่าซะอีก
เพียงแต่ว่าตอนนั้นผมไม่ได้อยากจะเข้าใจอะไรมากไปกว่ารู้แค่ว่า
ผมไม่อาจคลาดสายตาไปจากเธอได้เลย
ผมมาทำอะไรที่นี่นะ???
เรากำลังจะมีโครงการเปิดบริษัท Organize ล่ะ เราคิดว่าเราคงได้ทำงานร่วมกันนะ
เลยอยากชวนมาคุยด้วย
บริษัทชื่ออะไรเหรอ?
ไม่บอกหรอก อ่า
เราเขินน่ะ
บอกสิ ไว้เราจะได้ช่วยออกแบบ LOGO ให้ไง
ผมไม่แน่ใจว่า ผมยิ้มไปกี่ครั้ง หรือว่ายิ้มนานแค่ไหน? อาจจะนานและบ่อยเท่าๆกับที่ผมยิ้ม
ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา และสำหรับคนที่ยิ้มไม่บ่อยนักอย่างผม
หมดคืนนี้ผมอาจจะเมื่อยแก้มไปอีกทั้งอาทิตย์ที่เหลือก็ได้
การมีที่มีคนสนทนามากมายบนโต๊ะงานวันเกิด
ไม่ได้ทำให้ผมเสียสมาธิกับการพูดคุยกับเธอเลย
ผมสามารถแยกเสียงของเธอออกจากความวุ่นวายต่างๆ
ได้อย่างน่าประหลาดราวกับมีคลื่นอะไรสักอย่างที่ตรงกัน จนร้านปิดเมื่อเวลาตี 1 มาถึง
โอ้โห้ เราว่าจะกลับ 4 ทุ่มนะเนี่ย
ดึกกว่าที่คิดมากๆ อือม์ เช็คบิลแล้วไปกันดีกว่า
นี่ๆ เธอสูงกว่าที่เราคิดนะ สูงเท่าไหร่น่ะ
176 ทำไมเหรอ?? เด็กสมัยนี่ก็สูงๆทั้งนั้นแหละ เราธรรมดาออก ว่าแต่เราอ้วนไหมเนี่ย?
ไม่นะ ไม่อ้วนเลยสักนิดเดียว
ผมอาจจะถามคำถามโรคจิตแบบนี้บ่อยๆทั้งๆที่ก็มั่นใจว่าตัวเองไม่อ้วน
ผมแทบจำไม่ได้ว่าเราแยกจากกัน
ตอนไหน ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นข้างในช่างประหลาดเหลือเกิน ทันทีที่ผมขึ้นรถ
ผมโทรไปหาเธอทันที
ก่อนจะกดวางสายอีกครั้งตอนตีสี่ ผมไม่เคยพูดโทรศัพท์กับผู้หญิงนานแบบนี้เลย
โดยเฉพาะต้องโทรนอกบ้านเพราะในบ้านไม่มีสัญญาณมือถือ
ตากยุงและน้ำค้างตอนเช้ามืด ความรู้สึกผมบอกเพียงว่า
ผมกำลังเริ่มอ่านหนังสือต่างประเทศที่ไม่เข้าใจ
และไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นยังไงเข้าซะแล้ว
จากคุณ :
แมวกักขฬะ
- [
12 เม.ย. 48 10:21:12
]