ผมเข้าออฟฟิศด้วยอารมณ์เบิกบานเต็มที่ ด้วยเพราะเพิ่งได้ลูกค้าหน้าซื่อมาใหม่อีก 2 ราย ยังเรียนชั้น ปวช.อยู่ทั้งคู่ แถมยังใจถึง ลงเงินกันคนละหมื่นห้า ทั้งที่ลงแค่ห้าพัน ก็เข้าเงื่อนไขบริษัทแล้ว
"โธ่ ลงน้อยก็ได้น้อย พวกผมน่ะเป็นวัยรุ่นยุค 2000 ไม่แน่จริง ไม่มาทำกับพี่หรอก" นายคนชื่อป๋องพูดเสียงอวดโอ่
"ดีแล้วน้อง ทำธุรกิจมันต้องใจถึง มัวแต่อึ้งๆ แบบเพื่อนน้อง มันจะได้ไม่คุ้ม แล้วจะมาเสียดายทีหลัง" ผมในวันนั้นพูดอย่างเชียร์เต็มที่
นายโอ่ง เพื่อนที่มาด้วยกัน ทำหน้าแหยๆ
"โธ่พี่ ใครมันก็อยากจะรวยทั้งนั้นแหละ แต่เงินที่ผมต้องขอเตี่ยมา ถ้าได้กำไรก็เป็นเทวดา เกิดขาดทุนเตี่ยตัดหางผมแน่"
"โธ่เอ๊ย พ่อที่ไหนจะตัดลูกได้ลงล่ะน้อง" ผมตบไหล่นายโอ่ง "เชื่อพี่ เราจะรวยด้วยกัน"
ตัวผมเองตรงข้ามกับนายโอ่งโดยสิ้นเชิง
เมี่อครั้งที่เข้ามาในวงจรนี้แรกๆ ผมเชื่อมั่นและปรารถนาที่จะเสี่ยงกับความท้าทายทุกรูปแบบ ถึงแม้บรรยากาศวันแรกที่เข้าไปนั่งที่บริษัท จะทำเอาผมตื่นเต้นมากไปหน่อยก็ตาม
ผมเข้ามาร่วมทำธุรกิจกับบริษัทข้ามชาติแห่งนี้ โดยการชักนำของเพื่อนผู้หวังคอมมิชชั่น ออฟฟิศดูหรูหราน่าเชื่อถือ อีกทั้งมองไปก็เห็นแต่รุ่นพี่ๆ แต่งตัวกันโก้หรู ถือโทรศัพท์มือถือกันทั่วทุกคน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยคล่องแคล่ว เหมาะกับที่ทำอาชีพหว่านล้อมผู้คน ซึ่งมาในตอนนี้ตัวผมเองนั้นเป็นอย่างที่เล่ามาทุกประการ
เก้าอี้ทุกตัวที่วางอยู่ มีคนผลัดกันไปนั่งตลอดเวลา ไม่ว่ามองไปทางไหน ก็มีแต่คนยิ้มให้ ผมยังจำได้ว่า มีพี่ผู้หญิงชื่อจ้ามานั่งอธิบายแผนการทำงานให้ฟัง ซึ่งบอกกันจริงๆ ตัวผมนั้น ถึงไม่ต้องหว่านล้อมอะไรมาก ใจก็ก้าวเข้าไปกว่าครึ่งแล้ว
"น้องเคยได้ยินเรื่อง MLM มาก่อนไหม..." พี่จ้ามองหน้ายิ้มๆ "OK เอาล่ะ MLM นี่ก็คล้ายๆ ระบบขายตรงทั่วไป เพียงแต่ว่า น้องไม่ต้องเอาของออกไปขายกับลูกค้าโดยตรงแบบเซลส์แมน"
"อย่างนี้พี่จะอธิบายตามแผนผังนี้นะ" พี่จ้าเขียนลงกระดาษไปพร้อมๆ กันด้วย "ทำงานที่นี่ก็เหมือนน้องเป็นเจ้าของบริษัทเอง ทุกคนเป็นเพื่อนกัน ที่นี่ไม่มีเจ้านาย ลูกน้อง มีแต่ช่วยเหลือกัน..."
"...เริ่มแรกน้องก็เอาทุนมาลง โดยจะเป็นการซื้อสินค้าด้วยเงินจำนวนหนึ่ง แล้วน้องก็ได้สินค้าไป เอาละ บวกอีก 200 ค่าสมาชิก น้องก็เท่ากับเป็นเจ้าของบริษัทๆ หนึ่งแล้ว ทีนี้การลงทุนนี้ก็แบ่งเป็น 3 อย่างอีก ลงมากก็ได้กำไรมาก น้องอาจลงสักห้าพัน หมื่นนึง หรือหมื่นห้า ทั้งนี้ ก็แล้วแต่น้องเอง...."
"...จากนั้นก็หาคนมาซื้อสินค้า ก็คือการหาทีมงานน่ะแหละ พี่อยากให้น้องคิดว่า เป็นการชวนคนมาสู่โอกาสทำเงินด้วยกัน ใช่แล้ว พี่เล่าให้ฟังหรือยังจ๊ะ ว่างานอย่างนี้ ถ้าน้องทำเก่งๆ บางทีวันหนึ่งได้เป็นแสนเลยนะ จ่ายกันสดๆ รายวัน นี่ถ้าน้องอยู่ถึงเย็นก็ได้เห็น"
"เอาละ อย่างพอน้องหามา 2 คนอย่างนี้ ถ้า 2 คนนี้สามารถหาคนเข้ามาร่วมได้อีกเรื่อยๆ เช่น เดี๋ยวพี่ยกตัวอย่างของ RA คือทุนห้าพันก่อนแล้วกัน สมมติ A กับ B ซึ่งเป็นข่ายล่างของน้อง หาได้คนละ 2-3 คน น้องก็ได้กลับไปแล้วสามพัน การหาคนของข่ายล่างจะส่งผลถึงรายได้ของตัวน้องด้วย ซึ่งในการทำงานของเรานี้ ข่ายบนก็จะคอยช่วยเหลือข่ายล่างไปตลอด"
"ในขณะเดียวกัน ที่ AB หาคน น้องเองก็หา CDE เพิ่มไปเรื่อยๆ ยิ่งได้มาก เงินก็เพิ่ม อย่างที่พี่เขียนให้ดู 6 คน 3 พัน 10 คน 5 พัน 16 คน 8 พัน แล้วถ้าน้องลงแบบ PRA หมื่นนึง ก็เท่ากับน้องสร้างข่ายงาน RA ขึ้นมา ถ้า RA ของน้องหาได้ น้องก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย แล้วยังบวกเพิ่มกับส่วนของน้องโดยตรงด้วย"
"การทำงานของน้อง ก็คือการชวนคนมาที่บริษัทเหมือนที่เพื่อนน้องชวนน้องมานี่แหละ จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของข่ายบนที่จะช่วยพูดให้น้อง หรือที่จริง เรามีการ PRESENT แผนงานในห้องสัมมนาใหญ่ แต่เผอิญน้องมาไม่ทัน แต่ไม่เป็นไร..."
พี่จ้าหยุดพูดเพราะเสียงดังที่หน้าประตู
"ทุกคนฟังทางนี้" (ห้องเงียบสนิท) "วันนี้คุณประมวล พาน้องสุรีย์มาที่บริษัท และได้ชักชวนให้เข้าเป็นทีมงานของเราแล้ว เพื่อนๆ ช่วยให้กำลังใจกันหน่อยค่ะ"
ทุกคนในห้องพร้อมใจกันปรบมือเป็นจังหวะเชียร์ รวมทั้งพี่จ้าด้วย แล้วก็มีการทำสัญญาณมือชี้ขวาชี้ซ้าย แล้วพูดว่า "คุณเก่งมาก"
พี่จ้าหันมายิ้มให้ผม ขณะที่ทุกคนเดินเรียงแถวไปจับมือกับทั้งสองคนดังกล่าว
"บรรยากาศสบายๆ แบบนี้แหละจ้ะ"
"น้องคนนั้นเด็กจังนะพี่ ดูหน้าตื่นๆ" ผมพูดอย่างนั้น เพราะตัวเองอยู่ปี 3 มหาวิทยาลัย แต่ท่าทางน้องคนนั้นเหมือนเพิ่งเรียน ปวช.
"วันแรกก็อย่างนี้ เห็นไหมว่า เด็กๆ ก็ทำได้"
ผมกลับออกมาจากบริษัทวันนั้น โดยตัดสินใจที่จะกลับบ้านไปถอนเงินหมื่นห้า ทั้งนี้ คงเพราะผมมั่นใจในความสามารถของตัวเองมาก
นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ด้วยความสามารถของผม ผมสามารถหาเงินแสนมาได้เพียงชั่วกะพริบตา
ชีวิตผมเริ่มลอยไม่ติดดิน ยิ่งเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤติเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนตกงานเดินเข้ามาเสี่ยงมากขึ้น เพราะแรงจูงใจของเงินยิ่งสูง
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้เหมือนอย่างผม บางคนทำได้แค่ชักชวนคนรู้จักเข้ามาได้เพียงคนสองคน หาทางขยายออกวงกว้างไม่ได้
แต่จะให้ผมทำอย่างไรเล่า สมัยนี้มันเป็นสมัยของการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดไม่ใช่หรือ
"พี่วินคะ หวานของเวลาคุยด้วยสักนิดนะคะ"
คู่หมั้นของผมดึงมือผมไว้ เมื่อเห็นผมทำท่ารีบร้อนจะไปพบลูกค้า ทั้งที่มื้อกลางวันบนโต๊ะกับหล่อนยังไม่แล้วเสร็จ
"พี่มีเวลาไม่มากนักนะหวาน" ผมกลับมานั่งตามเดิม "ว่ายังไงครับ"
"หวานมีเรื่องจะบอกพี่วิน ยูที่ออสเตรเลียส่งจดหมายตอบรับหวานมาแล้ว อีก 2 เดือนหวานจะเดินทางไปเรียนต่อ..." เธอก้มหน้าพูด "พี่วินจะไปพร้อมหวานได้ไหมคะ"
"เอ่อ..." ผมยังพูดอะไรไม่ออก
"นะคะพี่วิน หวานอยากจะขอพี่วินให้ไปเปิดร้านอาหารไทยด้วยกันที่นั่น คนเก่งอย่างพี่วินอยู่ที่ไหนก็ประสบความสำเร็จได้ เชื่อหวานเถอะ" หล่อนรีบพูดรัวเร็วก่อนที่ผมจะปฏิเสธ "หรือพี่วินไม่อยากไปอยู่กับหวาน" คู่หมั้นผมงัดไม้ตายขึ้นมาใช้
"พี่อยากอยู่กับหวานเสียพรุ่งนี้เลยเสียด้วยซ้ำ แต่พี่ห่วงงานทางนี้ พี่ยังตัดสินใจลำบากนะ งานที่พี่ทำสร้างรายได้ให้เราสองคนได้มั่นคงนะครับหวาน"
"พี่วินคะ หวานเข้าใจว่าพี่ต้องการตั้งเนื้อตั้งตัว แต่ว่านะคะ มีเรื่องหนึ่งที่หวานไม่เคยกล้าบอกกับพี่วินมาก่อน เพราะกลัวพี่วินจะไม่อยากอยู่กับหวานอีก"
"ว่ามาเถอะครับหวาน พี่วินเป็นคนมีเหตุผลพอครับ"
"พี่วินอย่าโกรธหวานนะคะ ถ้าหวานจะบอกว่า หวานไม่เคยชอบใจในอาชีพที่พี่วินทำอยู่นี้เลย หวานสงสารคนที่พี่ชวนมาทำงาน แล้วต้องพบความล้มเหลว เสียเงินเสียทอง และไม่สบายใจที่พี่วินเป็นสาเหตุของความทุกข์ที่เกิดกับตัวคนนั้น และครอบครัวเขาด้วย"
ผมนิ่งอึ้งไป เป็นครั้งแรกที่คู่หมั้นผมแสดงออกมาชัดเจนเช่นนี้
"หวานไม่ต้องการบังคับพี่วินนะคะ แค่ต้องการให้พี่วินรับรู้ความรู้สึกของหวานบ้าง เพราะหวานใกล้จะต้องไปแล้ว ถ้าไม่พูดออกมาวันนี้ ก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสพูดอีก"
"เอาละหวาน พี่เข้าใจหวานนะครับ พี่จะลองกลับไปคิดดู แต่ถึงอย่างไรนะครับหวาน พี่ก็ขอยืนยันว่า พี่ต้องการมีหวานอยู่ในชีวิตพี่ตลอดไปนะครับ"
หล่อนยิ้มให้ผม นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"ทำไงดีวะป๋อง หลายเดือนแล้วนะเอ็ง ข้ายังหาเงินไปคืนทุนเตี่ยไม่ได้เลย" นายโอ่งนั่งบ่นกับเพื่อนอยู่ใกล้ๆ โต๊ะผม "ตอนนี้เพิ่งหาได้ 2 คน เท่านั้นเอง รู้อย่างนี้ไม่เข้ามาทำก็ดีหรอก"
ประโยคหลังเป็นเพียงเสียบอุบอิบในลำคอ ซึ่งที่เขาไม่พูดก็คงเพราะเกรงใจผม ทั้งที่ในใจลึกๆ เขาอาจจะนึกโทษผมอยู่
"ใจเย็นเถอะวะโอ่ง" นายป๋องพูดเสียงสบายอกสบายใจ ทั้งที่ตัวเขาเองก็ยังหาลูกค้าไม่ได้มากไปกว่าเพื่อนเท่าไหร่ "ขอคำแนะนำจากพี่วินสิ"
...วันนั้นผมยังไม่มีคำตอบให้พวกเขา...
จากที่เคยคิดแค่เรื่องเงินต่อเงิน ผมเริ่มเกิดคำถาม ผมกำลังทำอะไรอยู่หรือ
เงินทองที่ทุกคนนำมาลงทุนในบริษัท ถึงพวกเขาจะได้สินค้ากลับไป แต่ของเหล่านั้นไม่ใช่ของจำเป็น และยังเป็นการบังคับให้ซื้อในจำนวนมาก ถ้าหว่านล้อมเก่งๆ ก็หาเงินได้มากๆ และง่ายๆ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้แล้วเข้ามาเสี่ยง ผลจะเป็นอย่างไร
เด็กวัยขนาดป๋องกับโอ่ง ยังต้องขอทุนของที่บ้าน ถ้าพลาดก็เป็นเรื่องของทั้งครอบครัว
ถึงทำได้ ก็จะเป็นการดึงเพื่อนคนอื่นเข้ามาในห่วงโซ่อาหารนี้ต่อไป
ผมรู้สึกแล้วว่า ตัวเองเหมือนเล่นแชร์ลูกโซ่อยู่ ไม่มีใครคนใดในบริษัท ทำการขายสินค้ากันจริงๆ หรอก ตัวสินค้าไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าการทำให้คนที่เข้ามาร่วมไม่รู้สึกว่า กำลังเอาเงินมาให้บริษัทเฉยๆ เท่านั้น
ไม่มีใครเป็นลูกค้า มีแต่คนที่จะร่วมทำธุรกิจกันทั้งสิ้น
และจะเป็นไปเช่นนี้ไม่สิ้นสุด
ก่อนเดินทางไปออสเตรเลีย ผมช่วยโอ่งกับ ป๋องหาลูกค้าคนละ 16 ราย จนครบ ผมรู้สึกได้ว่า พวกเขาแทบอยากจะกราบผมทีเดียว
แต่ผมไม่ได้มีคุณค่าเพียงนั้น แค่ชดใช้ให้กับ "เหยื่อ" ล่าสุดในห่วงโซ่อาหารเดิม ที่ผมกำลังจะเดินออกมา ก็เท่านั้นเองจริงๆ
ที่จริงเพียงคนละ 10 ราย ทั้งสองก็คืนทุน แต่แค่นั้นมันสูญเปล่า ผมอยากให้พวกเขาได้มากกว่าเงิน นั่นคือความเชื่อมั่นไว้วางใจจากคนในครอบครัว
ผมได้เงินจากลูกค้าทั้ง 32 รายนี้ด้วย แม้มันไม่มากเท่ากับที่ผมควรจะได้ หากเก็บเป็นลูกค้าของตัวเอง แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว
เพราะผมปลดปล่อยโอ่งออกจากบ่วงโซ่นี้ได้แล้ว รวมทั้งตัวผมด้วย
จากคุณ :
รินบุญญา
- [
วันเนา (14) 19:16:08
A:203.113.40.74 X:203.151.140.115
]