เ ส ภ า
"...สิบนิ้วจะประณมเหนือเกศา
ไหว้พระพุทธพระธรรมล้ำโลกา
ไหว้พระสงฆ์ทรงศีลาว่าโดยจง
คงคายมุนามาเป็นเกณฑ์
พระสุเมรุหลักโลกสูงระหง
ดินน้ำลมไฟอันมั่นคง
จึงดำรงได้รอดมาเป็นกาย
ไหว้คุณบิดาและมารดร
ครูพักอักษรสิ้นทั้งหลาย
อนึ่งจะบังคมองค์นารายณ์
อันสถิตย์แทบสายสมุทไท
เอาพระยานาคราชเป็นอาสน์แก้ว
หามีเหตุไม่แล้วหาตื่นไม่
ทรงสังข์จักรคฑาเกรียงไกร
ไวยกูณฑ์มาเป็นพระรามา
อนึ่งจะบังคมบรมพงศ์
ทรงหงส์เหินระเห็จพระเวหา
ไหว้องค์อิศวรเจ้าโลกา
พระนารายณ์รามาธิบดี
ไหว้พระฤาษีสิทธิ์และคนธรรพ์
พระวิศนุกรรม์อันเรืองศรี
สาปสรรค์เครื่องเล่นในธรณี
จึงได้มีปรากฎแต่ก่อนมา ฯ..."
เสียงปรบมืออย่างหนักแน่น ดังมาจากชายชราผู้นั่งฟังอยู่เพียงคนเดียว หลังจากเอื้อนสุดท้ายที่จบลง ทำให้เขายิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพึมพำเบา ๆ
"ขอบคุณครับ..."
"ก็คงจะไม่ต้องหัดอะไรกันมากแล้วละ เพียงแต่เพิ่มกลเม็ดเด็ด พรายอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นแหละคุณก็จะเป็นนักขับเสภาที่ดีได้ทีเดียวแหละ"
ชายชราพูดพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ เขากระพุ่มมือจรดศีรษะไหว้แก
"ก็แล้วแต่คุณลุงจะกรุณาเถิดครับ"
"คุณน่ะขับเสภามาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ"
"ก็ราว ๆ มัธยมต้นนั่นแหละครับ"
"ก็หลายปีแล้วนี่ มิน่าล่ะถึงได้มีลูกเล่นอะไรต่ออะไรแพรวพราวเชียว"
เขาไม่ตอบ เป็นแต่ยิ้มน้อย ๆ ตามเคย ชายชราจึงถามต่อไป
"นอกจากเสภาแล้วยังมีอะไรอีกที่คุณได้บ้างล่ะ พวกขับลำนี้น่ะ"
"ก็พวกทำนองเสนาะ เพลงพื้นเมืองภาคกลางบางอย่าง แล้วก็ร้องเพลงดนตรีไทยครับ"
"อ้าว...เพลงไทยก็เป็นด้วยรึ รอเดี๋ยวนะ..."
แล้วแกก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีที่ยังกระฉับกระเฉง เดินหายเข้าไปในห้อง สักครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกับซออู้คันงาม ที่ทำด้วยไม้ชิงชันกระโหลกดำคันหนึ่ง
"ได้เพลงอะไรบ้างล่ะ"
"คุณลุงเลือกเถอะครับ"
"พม่าห้าท่อนเป็นไง"
แทนคำตอบ เขาพยักหน้าช้า ๆ เปิดหนังสือเสภา ขุนช้าง-ขุนแผน ในมือไปถึงตอนหนึ่ง แล้วก็เริ่มร้องโดยไม่ต้องรอ ให้ซอเทียบเสียงให้ด้วยซ้ำ
"...โจนลงกลางชานร้านดอกไม้
ที่ขุนช้างปลูกไว้อยู่ดาษดื่น
รวยรสเกสรเมื่อค่อนคืน
ชื่นชื่นลมชายสบายใจ
กระถางแก้วเกดพิกุลแกม
ยี่สุ่นแซมมะสังดัดดูไสว
สมอรัดดัดทรงสมละไม
ตะขบข่อยดัดไว้จังหวะกัน
ตะโกนาทิ้งกิ่งประกับยอด
แพงพวยทอดอินพรมนมสวรรค์
บ้างผลิดอกออกช่อขึ้นชูชัน
แสงพระจันทร์จับแจ่มกระจ่างตา ฯ..."
เขาทำหน้าฉงนเมื่อเสียงซอที่คลออยู่กลับหยุดลง เมื่อเขาร้องเพลงรวดเดียวจบทั้งหมดในสามชั้น โดยที่ไม่มีการรับดนตรีเลย ทั้ง ๆ ที่ท้ายท่อนเขาก็ทอดให้รับแล้ว
ชายชรายิ้ม เมื่อเห็นเขาทำหน้าแปลกใจ แล้วก็อธิบายก่อนที่เขาจะถาม
"ที่ลุงไม่รับก็เพราะว่าลุงอยากฟังเสียงของคุณรวดเดียว โดยที่ไม่ต้องมีดนตรีคั่นนะซิ ลุงอยากจะพูดตรง ๆ ว่าคุณร้องเพลงได้ดีพอ ๆ กับขับเสภาเลยทีเดียว เสียงของคุณนุ่มและทุ้มหวานในตัวเอง แต่ก็คงจะร้องเพลงหรือขับเสภาบทตื่นเต้น หรือประเภทยอพระเกียรติได้อย่างยังไม่ค่อยเข้าถึงอารมณ์ของบทเท่าที่ควร เพราะเสภาลักษณะนั้น เป็นคนละลักษณะกับเสียงของคุณ เสียงของคุณน่ะ ลุงว่าเหมาะสำหรับบทเศร้า หรือบทพรรณนามากกว่า อ้อ...แล้วเครื่องดนตรีไทยล่ะ คุณเล่นอะไรเป็นบ้าง"
"คือ...ง่า...ไม่เป็นสักอย่างเดียวครับผม"
"อ้าว...จริงเรอะ.." ชายชราเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
"ครับ...คือความจริงผมเอง เป็นคนที่รักดนตรีไทยมากนะครับ แต่ไม่มีพรสวรรค์หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เคยหัดมานานแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จสักที พอดีตัวเองเคยขับเสภาอยู่บ้าง อาจารย์ที่โรงเรียนมัธยม ก็เลยยุให้ลองหันมาเอาดีทางร้องเพลงไทยดู ก็ได้แค่งู ๆ ปลา ๆ แค่นี้แหละครับ"
"อ้อ...งั้นเรอะ แต่พม่าห้าท่อนที่ขึ้นเองโดยไม่ต้องเทียบเสียง นี่ก็ไม่งู ๆ ปลา ๆ แล้วนะ...อ้อ...เจ้ากตเรอะ...เข้ามานี่สิ..."
ประโยคหลังแกหันไปพูดกับคนที่มายืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ที่ประตูหน้าระเบียงชั้นบนนั้น
วัตถุ...อ้อ...คนสินะ...ที่เขาเห็นเมื่อเหลียวกลับไปมอง ตามสายตาของลุง ก็คือเส้นผมยาวสลวยซึ่งเคลียระอยู่ข้างแก้ม เพราะเจ้าตัวกำลังก้มหน้าก้มตาถอดรองเท้าอยู่ แล้วเขาก็ก้มหน้าลงไปดูบทเสภาต่อ เพราะไม่รู้จะสนใจไปทำไม
ใครคนนั้นสะบัดหน้าพรืดจนผมกระจาย...พวกดนตรีไทยอีกแล้ว ...ได้ยินเสียงมาตั้งแต่ปากซอยโน่นแน่ะ...เธอคิด พร้อมกับเดินเข้ามาหาลุงของเธอ อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
"อนรรจ.." เสียงเรียกของลุงทำให้เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
"...นี่มรกต หลานแท้ ๆ คนเดียวของลุง มันมาจากต่างจังหวัด ก็เข้ามาเรียนที่ กรุงเทพได้ปีนี้ปีที่สอง ปีหน้าก็ขึ้นปีสามที่มหาชะลัย...อะไรก็ไม่รู้ ชื่อเรียกยากเหลือเกิน"
แล้วแกก็หันไปทางหลานของแก
"...กต...นี่พี่อนรรจ เรียนฝึกหัดครูปีสามแล้ว อาจารย์ท่านฝากมาหัดขับเสภากับลุง อ้อ..แล้วเขาก็ร้องเพลงไทยด้วยนะ"
อนรรจยิ้มให้อย่างสุภาพ แต่ไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่ได้ยินเสียงยายนั่น บ่นเบา ๆ
"..นักร้องอีกแล้ว.."
ยิ้มหวานของเขาก็เลยกลายเป็นยิ้มเลี่ยน ๆ แล้วมรกตก็ลุกขึ้น เดินลงส้นปัง ๆ หายเข้าไปในตัวเรือนข้างใน ลุงแกเลยหัวเราะหึ ๆ แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่อนรรจเบา ๆ
"อย่าไปถือสามันเลย อนรรจ...ไอ้เด็กนี่มันเป็นโรคประหลาด อยู่กับบ้านดนตรีไทยมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแท้ ๆ กลับไม่ค่อยยอมจะใส่ใจเอาเลย แถมยังไม่ยอมรับแขกเสียอีก ลูกศิษย์ลูกหาเพื่อนพ้องของลุงมาซ้อมกันที่บ้านนี่ก็ถูกมันเขม่นกราวรูดไปหมด เจ้านี่น่ะมันจะยอมเล่นดนตรีก็ต่อเมื่อลุงขอร้องแทบจะกราบ หรือไม่ก็บังคับจนแทบจะฆ่ากันตายนั่นแหละ แต่ก็แปลก..เวลามันเล่นจริง ๆ มันก็เล่นได้ไพเราะเพราะพริ้งทีเดียวนะคุณ.. แล้วก็เล่นได้หลายอย่างซะด้วย"
ชายชราหัวเราะเบา ๆ
"..คุณรู้อย่างนี้แล้วก็ปล่อยมันไปตามเรื่องเถิดนะ..."
เขาหัวเราะบ้าง แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเพราะตัวเองกำลังนึกถึงบทเสภา ตอนที่ต่อจากพม่าห้าท่อนที่เขาร้องเมื่อสักครู่นี้ เมื่อขุนแผนเข้าบ้านขุนช้างแต่กลับไปพบนางแก้วกิริยา
...คิ้วคางบางงอนอ่อนละไม
รอยไรเรียบรับประดับดี
ผมเปลือยเลื้อยลงจนประบ่า
งอนปลายเกศาดูสมศรี...
* * * * *
"...ถึงที่เปลี่ยวเลี้ยวพ้นถิ่นคนอยู่
พี่เลี้ยงชี้ชวนดูหมู่ปักษา
จับต้นจันนั่นนกสาลิกา
ที่บินมาทางโน้นโน่นแซงแซว
เสียงที่ดังป๊กป๊กนกค้อนทอง
เสียงดุเหว่าเร่าร้องอยู่แจ้วแจ้ว
นกกระเต็นเต้นไต่ไม้แตงแตว
ฝูงนกแก้วร่อนร้องออกก้องไพรฯ..."
เสียงปรบมือเปาะแปะดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้อนรรจหันขวับไปพบกับฟันขาวเรียบบนรอยยิ้มอย่างสดใสของมรกต เล่นเอาเขางงไปเลย
"ผมรู้สึกว่าวันนี้คุณจะอารมณ์ดีที่สุดในรอบหกเดือนที่เราพบกันใช่ไหมครับ"
เขาปรารภยิ้ม ๆ
"ใช่สิ เพราะหมู่นี้คุณไม่ได้ร้องเพลงเอื้อนยาวสามวันเลยนี่ กตว่านะ..ขับเสภาน่ะเพราะกว่าตั้งแยะ เพราะว่าเสภานี่มีจังหวะและทำนองที่สม่ำเสมอ และเสียงเอื้อนของเสภาก็สามารถให้อารมณ์ได้เป็นอย่างดีด้วย... รึคุณว่าไง..."
"ฮะ..ผมก็ว่าอย่างนั้นน่ะฮะ... แต่ผมว่าเพลงก็เพราะเหมือนกันนะฮะ ไม่น่าจะด้อยกว่าเสภาสักเท่าไหร่หรอก"
"เออนี่...แล้วคุณไม่คิดที่จะแสดงต่อสายตาประชาชีบ้างเหรอ"
อนรรจนิ่งคิดอยู่สักครู่หนึ่ง ว่าจะตอบดีหรือไม่
"ก้อ...ปีหน้าที่ผมอยู่ปีสี่ไงฮะ ผมต้องประกวดในงาน ประกวดขับเสภาแห่งประเทศไทย เลยต้องซ้อมอยู่บ่อย ๆ สักหน่อย"
"หน้าอย่างคุณน่ะเหรอ ประกวดขับเสภาระดับชาติ"
มรกตพูดกลั้วหัวเราะ แล้วก็ต้องใจหายเมื่อเห็นเขาหน้าสลดวูบ
"กต...กตพูดเล่นนะ.." มันหลุดปากออกมาได้อย่างไรก็ไม่รู้สิ
"คุณทำให้ผมรู้สึกตัว..."
แต่อนรรจกลับพูดอย่างเคร่งเครียด
"...งานนี้ยิ่งใหญ่มาก ผม...ผมอาจจะไปขอถอนตัว..."
"อย่านะ...!"
เธอขัดเขาเสียงแหลมด้วยความลืมตัว แต่แล้วก็พยายามปรับอารมณ์ ให้เป็นปรกติ
"...คุณก็รู้นี่นา ว่าถ้าทำแบบนั้นลุงของกตก็เสียชื่อหมดน่ะสิ"
"ใช่ฮะ..." อนรรจเน้นเสียง
"...แต่ว่าถ้าแพ้ คุณลุงของคุณ ก็เสียชื่อเหมือนกันนั่นแหละ"
มรกตกลับสวนควัน
"การแพ้ชนะในการแข่งขันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา...กตว่างั้นนะ แต่คนที่ขี้ขลาดที่สุดก็คือคนที่ประกาศตัวว่าจะถอนตัวโดยไม่ยอมสู้กับอะไรทั้งสิ้น อย่างคุณไงล่ะ"
อนรรจถึงกับหน้าชา
"ทำไมผมจะไม่สู้..."
เขาเริ่มขึ้นเสียงบ้าง เป็นปกติเสียแล้ว ที่การคุยระหว่างเขากับมรกต มักจะจบด้วยการทะเลาะกันเป็นประจำ แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยอัธยาศัยไมตรีจิต อย่างเช่นครั้งนี้ก็ตาม
"ผมหัด ผมท่อง ผมทำความเข้าใจกับเสภามาอย่างสม่ำเสมอ เว้นอยู่นิดเดียวคือช่วงสอบปลายปี โดยมีคุณลุงเป็นผู้สั่งสอนขัดเกลา และแนะนำเทคนิคต่าง ๆให้ ผมมีปํญญาและสติด้วยตัวเอง ผมมีปัจจัยเกือบครบทุกอย่างแล้ว แต่ขาดอยู่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ..."
อนรรจหยุดพูดนิดหนึ่ง
"..กำลังใจไงฮะ..." เสียงของเขา
เย็นเยียบ เมื่อพูดต่อไป
"...เป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะมีประสิทธิภาพในการทำงานครั้งนี้ แม้ว่าจะครบปัจจัยทั้งทางสติปัญญา กำลัง และทักษะทั้งหมด โดยการที่ได้มีโอกาส มาฝึกซ้อมเป็นประจำ ที่บ้านนี้ กับคุณลุงผู้แสนดีคนนี้ ถ้ายังมีคุณหลานที่ แซวด้วยปาก ถากด้วยตา เยาะเย้ยเสียดสีอยู่ทุกวันเป็นประจำแบบนี้ ผมถามจริง ๆ ว่าทำไมคุณถึงได้ไม่ชอบเสภาเอาเสียจริง ๆ จัง ๆ พลอยให้ผมติดร่างแหความโกรธของคุณไปด้วย ผมรู้ว่าเมื่อกี้นี้คุณไม่ได้มีความจริงใจในรอยยิ้มและเสียงปรบมือของคุณเลยและถ้าเป็นอย่างนั้น..คุณจะทำไปทำไม...ประโยคต่อ ๆ มาของคุณ ทำให้ผมคิดว่าหลังจากที่คุณลูบหลังผมจนตายใจแล้ว คุณก็ตบหัวผมฉาดเข้าให้...น่าดูจริง ๆ ครับ...คุณมรกต..."
มรกตถึงกับตะลึง
"กต...คือ...กตไม่ได้เจตนา..."
อนรรจถึงกับต้องยิ้มน้อย ๆ โน่น..ขึ้นบ้านไปแล้ว...เขาแปลกใจจริง ๆ แปลกใจทั้งในคำพูดของเขาเอง และทั้งพฤติกรรมของมรกต พอพูดออกไปแล้ว เขาก็กลั้นใจรอว่าอะไรจะเกิดขึ้น คิดว่าเสร็จแน่คราวนี้ เพราะเขารู้นิสัยเธอดี เธอน่าจะอาละวาดสุดเหวี่ยง แล้วชาตินี้ก็คงจะไม่มีทางญาติดีกันได้อีกแล้ว แต่กลับเป็นว่าเธอฟังคำอ้ำอึ้งตะลึงคิด ไปเสียฉิบ อนรรจรู้สึกโล่งใจ เพราะว่าเขาเคยคิดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจว่า ถ้าอยู่มาวันหนึ่งเธอเกลียดเขาขึ้นมาจริง ๆ ละก็ เขาคง...ฮื้อ.. ...ไม่น่ะ...!
จากคุณ :
พจนารถ
- [
วันเถลิงศก (15) 08:27:57
A:61.90.14.22 X:
]