CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    บ้านการผี

    ...

    “เรียวกลับมาพอดี คืนนี้ขับรถพาปู่ไป...บ้านการผี...ทีนะ    พ่อไปธุระบ้านดอนยังไม่กลับเลย”

    แม่บอกทันทีที่ผมกลับถึงบ้าน    รถเครื่องร้ายๆยังไม่ทันได้ดับเครื่องเสียด้วยซ้ำ

    บ้านการผี... ได้ยินแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้    คำนี้ห่างหูมานาน    ไม่ใช่แค่เพราะผมเพิ่งกลับบ้านได้ไม่กี่วันหลังจากไปเรียนต่างบ้านต่างเมืองเสียหลายปี    แต่จนโตมาถึงตอนนี้ผมยังไม่เห็นใครเรียกเหมือนแม่เลยถ้าไม่ใช่คนที่มาจากบ้านเดียวกัน    ผมหมายถึงบ้านเกิดของแม่ที่อยู่อำเภอหนึ่ง

    “กินข้าวไปก่อนไหมลูก คืนนี้กว่าปู่จะกลับก็คงดึกเพราะเป็นคืนสุดท้าย”

    แม่ถามอย่างเป็นห่วงหลังผมอาบน้ำผลัดผ้าเรียบร้อยแล้ว

    “ไม่ล่ะแม่ ท่าทางปู่คงอยากรีบไป”

    แม่พยักหน้าเข้าใจเมื่อเห็นปู่เดินนำไปที่รถก่อนแล้ว





    “ไปทางหน้าตลาดดีกว่า  เรียว”    ปู่รอยบอกก่อนผมจะเลี้ยวหัวรถออกจากบ้าน    

    ที่จริงบ้านปู่แดงไม่ห่างจากบ้านผมเท่าไหร่หากจะวิ่งผ่านทุ่งนาและสวนยางเส้นในหมู่บ้าน     แต่ช่วงนี้หน้าฝนถนนเละเป็นโคลน     บางตอนก็เป็นหลุมน้ำขังลึกเกือบครึ่งล้อ  ทางหน้าตลาดถึงจะอ้อมหน่อยแต่ก็สะดวกกว่ากันเยอะ

    ใกล้ถึงสี่แยกหน้าตลาด  ผมเห็นสองเกลอตัวแสบกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับโครงเหล็กร้ายๆที่พอมองออกว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นรถเครื่องมาก่อนเลยแกล้งโฉบรถเข้าไปใกล้     บีบแตรเอาแค่พอเสียขวัญเล็กน้อย     เจ้าสองคนนั่นสะดุ้งโหยงกระโดดพราดเดียวขึ้นฟุตบาทเลย     ทันทีที่ตั้งสติได้     ไอ้เจ้าคนผอมกะหร่องหันมาด้วยท่าทางพร้อมสังคญาติเต็มที่     ส่วนเจ้าโย่งผู้ร่วมเหตุการณ์ก็ดึงแขนเสื้อพร้อมลุยเหมือนกัน     แล้วนักเลงสองคนก็เปลี่ยนเป็นไหว้ปะลกๆเมื่อเห็นว่าเป็นปู่รอยที่นั่งอยู่ในรถ

    “ทำเอาหัวใจข้าไปอยู่ที่หัวแม่ตีนเชียวนะเอ็ง  ไอ้เรียว”

    ไอ้หยองหันมาด่าผมแบบเกรงใจปู่แล้วนะนี่     ส่วนไอ้โรจน์ก็ทำปากขมุบขมิบก่นด่าอยู่ในใจ

    “พวกเอ็งจะไปงานศพปู่แดงหรือเปล่า  ไปรถข้าไหมวะ”

    ผมถามเพราะคุยกับพวกมันตั้งแต่เมื่อเย็นตอนเตะบอลด้วยกันที่สนามหน้าโรงเรียนเก่า    ไอ้สองคนนั่นไม่ตอบแต่พุ่งพรวดขึ้นรถมาเลยอย่างไม่ต้องรอให้ถามซ้ำ

    “เฮ้ย     เอ็งจะไม่ล็อครถหน่อยหรือวะ”

    ไอ้โรจน์ระเบิดหัวเราะชอบใจรีบตอบแทนเจ้าของรถ

    “ใครเขาจะเอาไปทำไมวะไอ้เรียว     ค่าเศษเหล็กน่ะไม่รู้พอค่ายาบาดทะยักหรือเปล่า     ยังไม่นับที่ต้องเจ็บต้องอายตอนไปนอนเปิดก้นอวดนางยาบาลอีกนะเอ็ง”

    คราวนี้ปู่แรมยังอดหัวเราะไม่ได้     แต่ให้ตายเหอะ     ผมไม่ได้แกล้งถามให้มันเจ็บช้ำน้ำใจหรอกครับ  มองผ่านกระจกหลัง     ไอ้หยองผู้เสียหายไม่ประท้วงอะไรสักอย่างนอกจากทำปากขมุบขมิบและค้อนลมค้อนแล้งนอกรถไปตามเรื่อง




    ผมหักพวงมาลัยเข้าสู่ถนนลาดยางสายเล็กๆ  ด้านหน้ามีป้ายบอกทางไปบ้านงานชัดเจน     สองข้างทางค่อนข้างมืดเพราะมีแต่ต้นยางสูง     ไฟถนนไม่มีตั้งแต่พ้นเขตเทศบาล      แสงไฟที่พอเห็นอยู่บ้างมาจากบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ห่างๆกัน     จนใกล้ถึงบ้านปู่แดงจึงค่อยมีไฟนีออนปักติดเสาเป็นระยะ

    “จอดรถตรงนี้เถอะเรียว  คืนนี้คืนสุดท้ายคนมาก รถก็มาก  ข้างในไม่มีที่จอดแล้วล่ะ”

    เห็นจะจริงอย่างปู่ว่าเพราะสองข้างทางตอนนี้มีรถจอดเต็ม     ทำเอาถนนเหลือแคบขนาดที่หากมีรถสวนมาข้างหน้าต้องมีใครสักคนยอมถอยนั่นแหละถึงจะไปกันได้  

    ผมจอดแอบเข้าข้างทางตรงนั้นเอง  ล็อครถเรียบร้อยแล้วก็แล้วก็ลงมาเดินข้างๆปู่โดยมีไอ้สองแสบเดินตามหลังมาอีกที


    ปู่รอยดูเงียบไปนับจากวันที่เพื่อนรักชิงลาโลกไปก่อน   แม่บอกตั้งแต่ก่อนที่ผมจะกลับมาถึงบ้าน     มาเห็นกับตาตัวเองผมก็เห็นจริง     แน่ล่ะ     เพื่อนที่วิ่งแก้ผ้าไล่จับกันกลางท้องนาแล้วโตมาด้วยกันจนคนหนึ่งเป็นกำนันคนหนึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนประจำอำเภอ     เกษียณออกมาแล้วยังมาเป็นสมาชิกสภากาแฟสี่แยกกลางหมู่บ้าน     นั่งถกกันตั้งแต่เรื่องการเมืองจนถึงการมุ้งกันอยู่ทุกเช้า     ปู่แดงแกมาหนีไปก่อนแบบไม่บอกไม่กล่าวอย่างนี้     ผมว่าปู่รอยแกคงน้อยใจเอาการอยู่ล่ะ




    เดินเข้าบ้านงานแล้ว  ปู่รอยยกมือรับไหว้แทบตลอดทาง  ส่วนผมก็ไม่มีทางเลี่ยงต้องไปไหว้ศพปู่แดงก่อนเพราะเพิ่งมาเป็นคืนแรก     ไอ้สองตัวนั่นแว่บหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้    เพราะเมื่อผมหันไปอีกทีก็ไม่เห็นพวกมันแล้ว


    ผมกราบศพปู่แดงแล้วหันมาไหว้ผู้ใหญ่หลายคนที่นั่งอยู่แถวนั้น  ให้คนเฒ่าคนแก่ลูบหน้าลูบหลังชื่นขมโสมนัสสาจนเป็นพอใจค่าที่หายหน้าไปเรียนต่างบ้านต่างเมืองเสียนาน  แล้วก็ขอตัวเดินไปทางข้างเรือนที่ไอ้หยองมายืนกระสับกระส่ายรออยู่

    “เอ็งมายืนอั้นเยี่ยวทำไมอยู่แถวนี้วะไอ้หยอง”

    ไอ้หยองทำท่าชูมะเหงก  “ไอ้..  ตามข้ามาแล้วกัน”

    ลานกว้างข้างเรือนตอนนี้กางเตนท์หลังใหญ่  มีโต๊ะเก้าอี้นับสิบชุด     แล้วก็มีคนนั่งอยู่สองสามโต๊ะ     ไอ้โรจน์นั่งรออยู่ที่โต๊ะในสุด    ข้างหน้ามันมีกับข้าววางอยู่เต็ม

    “คนอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้นโว้ย”  

    ปากไอ้หยองพูดไปด้วย มือก็คดข้าวใส่จาน

    “อะไรของเอ็ง     พูดคำไหนคำนั้น”

    ช่วยไม่ได้ที่ผมจะงง  ใครจะไปรู้  วันวันหนึ่งไอ้หยองมันฝอยตั้งหลายอย่าง  

    ไอ้ตัวแสบมองหน้าผมแล้วส่ายหน้าเหมือนระอาเต็มที    มันผงกหัวไปทางไอ้โรจน์สหายรักที่ทำหน้าที่เป็นปากให้ทันทีด้วยความเต็มใจยิ่ง

    “ก็ที่มันพนันกับเอ็งตอนเตะบอลเมื่อเย็นว่าใครแพ้เลี้ยงข้าวไงวะ”

    ผมถึงบางอ้อก็ตอนนี้ หันไปมองไอ้ตัวดีที่ยักคิ้วหลิ่วตาอย่างเป็นต่อแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่า..แสบนะเอ็ง




    อิ่มหนำสำราญดีและล้างปากด้วยผลไม้แล้วก็พอดีกับพระท่านเพิ่งขึ้นธรรมมาสน์เทศน์     แขกโต๊ะอื่นลุกไปหมดแล้ว    เหลือแต่พวกไกลวัดอยู่โต๊ะเดียว

    ไอ้หยองหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมด้วยกาละมังใบย่อม

    “อิ่มจะตาย--อยู่แล้ว เอ็งยังไปหาข้าวดังมากินได้อีกหรือวะ”

    ไอ้โรจน์ว่า แต่มือมันคว้าชิ้นใหญ่สุดมากัดกร้วมๆ

    “น้าเขียวแกฝากมาให้ไอ้เรียว แกว่าไปเรียนเมืองนอกเมืองนาหลายปีคงคิดถึงข้าวดังแก”

    ผมหัวเราะ     สมัยนั้นพวกผมสามคนชอบหาเรื่องขอครูไปห้องน้ำตอนสาย     แล้วเลยไปทางโรงครัวเพื่อขอข้าวดังแม่ครัวกิน   ไ  ม่รู้เหมือนกันว่าอร่อยอะไรนักหนา     อาจเป็นเพราะฝีมือน้าเขียวก็ได้     ก็ขนาดแกออกจากเป็นแม่ครัวโรงเรียนแล้ว     งานไหนงานนั้น     หากมีการหุงข้าวกับกระทะใบบัวแล้ว  แกต้องเป็นแม่งานใหญ่

    “แล้วนี่มือหุงข้าวกระทะไปไหนแล้ววะ”

    ผมอยากไปกราบแกสักทีด้วยความคิดถึงเหมือนกัน

    “เตนท์กลางสวนยางหน้าบ้านโน่นแหละ”    ไอ้หยองตอบ

    “อ๋อ..  ข้าเห็นตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้ว     คนคงมามากล่ะสิท่า  ทำครัวเสียใหญ่เชียว”

    ไอ้หยองสำลักน้ำพรวด  ส่วนไอ้โรจน์ก็หัวเราะด้วยสุ้มเสียงชอบกลตอนถามผมว่า

    “เอ็งจะไปดูครัวของน้าเขียวไหมล่ะ”


    .....

    จากคุณ : Gracie Lou Freebush - [ วันเถลิงศก (15) 09:56:36 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป