CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


            ออกจากกรง        

                 “ฉันจะเป็นอิสระแล้ว” หลังจากใช้ความพยายามในการผลักผลแตงกวาอยู่นานสองนาน ในที่สุดฉันก็

    สามารถกลิ้งผลแตงกวาให้ติดกับขอบประตูกรงได้ ขอบประตูกรงที่ครั้งหนึ่งมันเคยเปิดเฉพาะเวลาที่ ‘เจ้าสองขา’ นำ

    อาหารมาวางไว้ และวันนี้ด้วยความพลั้งเผลอ ทำให้เจ้าสองขาลืมปิดประตูกรง ประตูที่ขวางกั้นอิสระภาพของฉันมา

    ตั้งแต่ฉันเกิด วันนี้มันจะขวางฉันไว้ไม่ได้อีกแล้ว

                 ฉันค่อยๆ ปีนขึ้นบนผลแตงกวา ขอบประตูอยู่ใกล้แค่เอื้อม พลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
    “แกจะไปไหน”

                 เสียงนั้นทำให้ฉันสะดุ้งพลัดตกลงมาจากผลแตงกวา เท้าทั้งสี่ตะกายชี้ฟ้า ก่อนละพลิกกลับมาได้อย่างทุลัก

    ทุเล พอเหลียวกลับไปมองที่ต้นเสียง ก็พบกับเจ้าของเสียงทำหน้าตาถมืงทึงใส่ฉัน

    “ฉันจะออกไปข้างนอก” ฉันกลั้นใจตอบไปด้วยความหวาดกลัว ผู้ที่ยืนอยู่ก็คือพี่ชายที่ดุร้ายของฉันนั้นเอง

    “รู้ไหมข้างนอกมันอันตราย ถ้าแกออกไป จะฟ้องแม่”

    “ไม่ต้องมาขู่ฉัน ฉันไม่กลัวหรอก” ที่แท้ฉันกลัวแทบตาย

    “แกจะออกไปทำไม” น้ำเสียงพี่ชายของฉันราบเรียบขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็ทำหนวดเล็กๆ ทั้งเจ็ดเส้นกระดุกกระดิกไปมา

    (หนวดเส้นที่แปดหายไป เพราะถูกกัดขาดตอนที่เขามาแกล้งกัดหูฉัน)

    “ฉันไม่อยากอยู่ในกรงนี่ตลอดชีวิต คอยแต่กินอาหารที่เจ้าสองขาเอามาป้อน”

    “งั้นก็ตามใจแก จะไปก็รีบไป เดี๋ยวแม่ตื่นมาเห็น”

                 ฉันดีใจแทบกระโดด ซึ่งอันที่จริงฉันกระโดดไม่ได้หรอก พวกเราไม่เคยกระโดดได้ ขาเราสั้นเกินไป ฉันจึงปีน

    ขึ้นไปบนผลแตงกวาอีกครั้ง

    “เดี๋ยวก่อน” เสียงนั้นทำให้ฉันใจหายวาบ หรือว่าพี่ชายของฉันจะเปลี่ยนใจ ไม่ยอมให้ฉันออกไป แล้วฉันจะขัดขืนเขา

    ได้หรือ ฉันจำใจต้องปีนลงมาบนพื้นอีกครั้ง รอคำพิพากษา

    “มานี่” เสียงเขาออกคำสั่ง ซึ่งฉันก็ขัดไม่ได้เสียด้วย ขาที่ก้าวเดินเหมือนจะหนักอึ้ง ผูกติดไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น

    แล้วฉันก็เห็นเขายกเท้าหน้าขึ้นมา…

                 ตบรัวไปที่แก้มขวาของเขา สักพักหนึ่ง เมล็ดทานตะวันสี่เม็ดก็ร่วงออกมาจากปาก แล้วเขาก็นั่งลงใช้เล็บของ

    เท้าหลังลูบขนสีขวานวลที่เสียรูป ขณะเดียวกันนั้นก็พูดขึ้นว่า
    “แกเอาไปกินตอนเดินทาง กรงนี้คงจะแคบไปสำหรับแก แต่ถ้าเกิดแกเปลี่ยนใจ จะกลับมาก็ได้, มัวยืนเซ่ออะไรอยู่อีกล่ะ

    รีบไปซิ”

                 ฉันรีบตะครุบเม็ดทานตะวันเก็บใส่ในอุ้งแก้ม พอเหลียวมองไปยังพี่ชาย เขายังคงทำท่าไม่สนใจฉัน ยังคง

    ขะมักเขม้นใช้เท้าหลังปรับแต่งขนให้เรียบ ด้วยท่าทีที่ไม่ยี่หระต่อการจากไปของฉัน และชั่วแวบหนึ่ง ฉันเผอิญเหลือบ

    เห็นแววตาอันเศร้าสร้อยของเขา ฉันกล่าวคำขอบคุณเขาเบาๆ แล้วปีนขึ้นผลแตงกวาอีกครั้ง แล้วก็ข้ามขอบ

    ประตูกรงออกมา

                 ฉันไม่คิดเลยว่าโลกภายนอกจะแตกต่างกับกรงเล็กๆ ที่ฉันอยู่ถึงเพียงนี้ โลกที่ฉันเฝ้ามองผ่านซี่กรง แม้มันจะ

    เป็นโลกใบเดียวกัน แต่คล้ายกับว่ามันได้เปลี่ยนสีสรรไปจากเดิม ฉันได้เวลาสอดส่ายดูสิ่งรอบๆ ตัวอยู่พักหนึ่ง จากนั้น

    ก็ตัดสินใจเดินไปยังกองไม้ที่สุมอยู่กองหนึ่งที่ไม่ไกลจากสายตา

                 เมื่อถึงกองไม้ฉันเริ่มปีนขึ้นด้านบน ปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก้าว ทุกฝ่าเท้า มิใช่จะผ่านไปโดยง่าย แต่ด้วย

    ความพยายามไม่ลดละ แม้จะใช้เวลานานนับชั่วโมง ในที่สุดฉันก็ปีนมายืนอยู่บนแผ่นไม้ที่สูงที่สุด สายลมเย็นพัดมา

    เอื่อยๆ ผ่านตัวฉัน ลมที่พัดใบไม้ปลิวไหว ลมที่พัดพากลิ่นแปลกๆ ลมที่บางครั้งก็มาพร้อมกับเสียงหวีดหวิว คล้ายกับ

    มีใครสักคนที่กระซิบข้างหู

                 หลังจากใช้เวลาพักหนึ่ง สำรวจบริเวณโดยรอบ ฉันก็ตัดสินใจละทิ้ง ไต่ลงกองไม้นั้น ขณะที่ไต่ลงบนมาบน

    แผ่นไม้อันสุดท้ายของกอง ก็มีเสียงแหบพร่าน่าขนลุก ดังมาจากเงามืดในกองไม้ เสียงนั้นพูดว่า
    “ไอ้หนูแกมาจากไหน”
    “คุณเป็นใคร” ฉันไม่ตอบคำถาม ทั้งยังถามต่อด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันก็พยายามเพ่งมอง ต้นกำเนิดเสียงที่มา

    จากเงามืดในกองไม้

    “ข้าก็เป็นเหมือนแกนั่นแหละ” สิ้นเสียงพูด ปลายจมูกแหลมโผล่ออกมาจากเงามืด แต่ก็ยังมองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมด

    อยู่ดี

    “คุณเป็นเหมือนกับฉัน! “ ฉันอุทานด้วยความยินดี ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอพวกเดียวกันในสถานที่แห่งนี้

    “ใช่ ข้าก็เป็นอย่างแก ดูนี่ซิ” ว่าแล้วเจ้าของปลายจมูกแหลมยาว ก็เดินออกมาจากเงามืดในกองไม้ เผยให้เห็นหนวด

    เส้นยาวใหญ่แปดเส้น ดวงตาที่เล็กแหลมเป็นประกายแปลกๆ กับร่างกายที่ใหญ่โตอันปกคลุมไปด้วยสีขนที่ดำเป็นมัน

    “คุณเหมือนผมจริงๆ ด้วย แต่ทำไมจมูกของคุณใหญ่จัง” ฉันถามไปด้วยไม่แน่ใจ

    “ที่มีจมูกใหญ่ ก็เพื่อจะได้เอาไว้ดมกลิ่นหาอาหารนะซิ”

    “แล้วทำไมเขียวในปากของคุณมีเยอะจัง” ฉันถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

    “ที่มีเขียวเยอะๆ ก็เพื่อเอาไว้กัดเนื้อเหนียวๆ นะซิ ไอ้หนู” เจ้าของเสียงแหบพร่า ค่อยเดินมาใกล้ฉันอย่างช้าๆ ในที่สุด

    ฉันก็ตัดสินใจถามคำถามสุดท้าย เพื่อความแน่ใจ

    “แล้วคุณชื่ออะไรครับ”

    “ชื่อของข้าหรอ ชื่อของข้าคือ หนูพุก ยังไงล่ะ เหอๆ”

                 ฉันหวีดร้องด้วยความกลัวสุดขีด หนูพุก เป็นชื่อหนึ่งที่แม่ฉันเล่าให้ฟัง แม้ว่ามันจะเป็นหนูเหมือนพวกเรา

    แต่มันมีความโหดเหี้ยม และไร้ปราณีเป็นที่สุด มันกินทุกอย่าง บางครั้งหากเจ้าสองขาเผลอเอาอาหารทิ้งไว้นอกกรง

    หนูพุก ก็จะมากิน แม่ของฉันยังเคยเล่าอีกว่า ลูกของแม่ฉันในครอกแรก ที่เกิดได้สองวันตัวเล็กมากๆ แล้วซน จนกลิ้ง

    หลุดออกนอกกรงในตอนกลางคืน ก็ถูกเจ้าหนูพุกนี่ล่ะ ที่กัดจนตาย ทั้งยังกำชับไม่ให้พวกฉันไปสู้กับหนูพุก เพราะมัน

    แข็งแรง กว่าพวกหนูแฮมสเตอร์อย่างพวกเราเป็นอันมาก ถ้าเจอก็ต้องหนีอย่างเดียว ซึ่งข้อนี้ฉันก็กำลังทำอยู่

    “จะหนีไปไหน” เสียงแหบพร่าไล่ตามหลังฉัน กระชั้นเข้ามาทุกขณะ ด้วยขาที่สั้นของฉัน แม้จะพยายามวิ่งไปได้ไกลสัก

    เพียงไหนก็คงหนี หนูพุก ไม่ได้

                 เพียงชั่วอึดใจ ช่วงห่างระหว่างฉันกับหนูพุกตัวร้าย ก็ห่างกันเพียงช่วงตัวเดียว เสียงขู่คำรามดังขึ้นที่เบื้อง

    หลังของฉัน ตอนนี้เจ้าของเสียงนั้น ลอยสูงขึ้นเหนือร่างของฉัน คงเป็นการกระโดดขย้ำเหยื่อของหนูพุก การกระโดดที่

    ฉันไม่เคยทำได้ วินาทีของความตายย่างกรายเข้ามาใกล้ ขณะเดียวกันมันก็เหมือนเนิ่นนาน นานเสียจนฉันเห็นภาพ

    ใบหน้าของแม่ และพี่ๆ ฉันอยากจะขอโทษแม่เหลือเกิน ที่ฉันหนีออกมา แต่คงไม่วันได้กลับไปหาแม่อีกแล้ว เพราะฉัน

    จะต้องตายเดียวนี้

                 ชั่วขณะนั้นเสียงกรีดร้อง ได้ดังสะท้านไปทั่ว ระคนกับเสียงขบกัด และเสียงคราญครางเสียดลึกเข้าไปในจิต

    ใจ เสียงนั้นพุ่งผ่านอากาศทะลุเข้ามาในทรวงอก ทำให้รู้สึกราวกับโดนเขี้ยวที่แหลมคมนับพันบดขยี้หัวใจให้สลายไป

    ตัวฉันสั่นเทาด้วยความกลัว ไม่กล้ามองภาพเบื้องหน้า อันเป็นชาตะกรรมสุดท้าย …

                 หนูพุกตัวนั้นได้ตายเสียแล้ว

    “เจ้าหนู แอบหนีออกมาเที่ยวทำไม มันอันตรายนะรู้ไหม” เสียงเปี่ยมเมตตาดังก้องมาจากฟากฟ้าเบื้องบน หรือถ้าจะ

    พูดให้ถูกคือ ดังมาจากร่างใหญ่ยักษ์ที่มีขนสีเหลืองหยาบแข็ง ร่างนั้นใหญ่มาก แม้แต่ตัวของฉันก็มีขนาดเล็กกว่าเท้า

    ข้างหนึ่งเสียอีก

    “ครับ ขอบคุณที่ช่วยครับ” เสียงของฉันยังไม่หายสั่น

    “แล้วจะไปไหนอีกหรือเปล่า ฉันจะไปส่งให้”

    “ฉันอยากกลับบ้าน พาฉันไปส่งบ้านที” ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง แม้โลกนี้จะมีสิ่งสวยงามมากมายเพียงใด แต่

    มันก็แฝงเร้นไปด้วยภยันตราย นี่คงไม่ใช่เวลาที่สมควรออกมายังโลกแห่งนี้ เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันรู้ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งที่ฉันรู้

    นั้น ยังไม่เพียงพอ สิ่งที่ฉันโหยหาที่สุดในตอนนี้ คงจะไม่ใช่โลกที่สวยงามแห่งนี้อีกต่อไป ฉันต้องการกลับบ้าน บ้านที่

    แม้จะไม่สวยงาม มีพี่ชายที่คอยรังแก แต่มันก็เพียบพร้อมอยู่ในตัวเอง

                 “ฉันอยากกลับบ้าน” ฉันกล่าวย้ำอีกครั้ง ด้วยความปรารถนาอันเต็มเปี่ยม

    จากคุณ : CyberLink - [ 18 เม.ย. 48 01:49:22 A:203.113.51.132 X:203.151.140.120 TicketID:095150 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป