CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    *****------------- วอนบิน ----------******

    วอนบิน

                    ตอข้าวค้างแห้งอยู่บนระแหงดิน ทั้งทุ่งจึงดูแร้นแค้นจนน่าเวทนา ดีที่เขาไม่ได้ยึดอาชีพอันต้องพึ่งพาฟ้าฝนเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นทั้งชีวิตก็คงจะไม่ต่างจากซากหอยโข่งหอยขมพวกนั้น คือต้องใช้หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินกระทั่งสิ้นอายุขัย

    เหลือบไปมองไอ้หนูที่เดินตามหลัง ปีนี้มันย่างหกขวบแล้ว หน้าตาหน่วยก้านเหมือนพ่ออย่างกับถอดแบบกันออกมานั้น ทำให้เขายิ่งภาคภูมิใจ มันช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นอีกโขกับการต้องเดินตามไอ้หนูข้างหน้าซึ่งเป็นลูกชายของ “ศัตรูหัวใจ”

    หลังไหล่ของมันแลดูทะมัดทะแมงผิดกับลูกชายของเขาลิบลับ พวกลูกท้องทุ่งท้องนาก็ต้องพิมพ์นี้ทั้งนั้น ตลอดตั้งแต่ปู่มัน พ่อมัน จนมาถึงตัวของมันนี่แหละ

    “น้ารู้จักกับพ่อฉันแน่เรอะ” ไอ้ปัญหันมาถามอีกรอบ

    “เออสิ…เอ็งจะถามทำไมนักวะ!” เขาทำเป็นหัวเสีย คิดว่าข่มมันไว้เสียหน่อยดี เพราะทั้งครอบครัวที่ยกกันกลับมาเยี่ยมบ้าน ยังต้องอยู่นี่อีกหลายวัน เมื่อลูกชายทำท่าจะติดมันแจเสียแล้ว ก็ต้องกันๆ ไว้ก่อน

    ปัญญา คือลูกของไอ้เปรื่องกับลำเพา ผู้หญิงคนแรกที่เขารัก และคนเดียวที่เขาเคยต้องตื่นมาแอบซักกางเกงนอนแต่เช้ามืด ยามเมื่อฝันถึงเธออยู่เนืองๆ แต่ลำเพาก็เลือกมัน ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่คนถูกเลือกก็ยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน

    “กูน่ะแข็งแรงขนาดเดินนำไถได้ทั้งวันนะโว้ย”

    มันประกาศใส่หน้าเขาเหมือนจะหยาม เบ่งกล้ามเป็นมัดๆ ให้ดูราวจะข่ม แล้วก็ดึงตัวลำเพาเข้าไปกอด หอมเธอที่แก้มดังฟอด คล้ายเข้าหอได้เสียเป็นผัวเมียกันมานาน ทั้งที่สาวเจ้าเพิ่งออกปากเลือกมันเมื่อชั่วอึดใจก่อนหน้า

    เขายังจำแววตาของคนทั้งคู่ ที่มองมาในวันนั้นได้ดี มันเหมือนกับสายตาของเด็กชาย ที่เวียนหันกลับมามองเขาอยู่เรื่อยๆ ในวันนี้ แววตาที่ไม่เชิงดูถูกในรูปกาย แต่คงเพียงจะไม่มั่นใจ ว่ารูปร่างสะโอดสะองกับผิวบางสีอ่อน ยังกับเปลือกไข่ไก่นี่ จะไปเป็นผัวหรือพ่อของใครได้

    “ประเดี๋ยวเอ็งก็จะได้เห็นกันหละวะ ว่าข้าน่ะพลาดจากลำเพาไปแล้ว ก็ยังมีผู้หญิงอีกเป็นพะเรอเกวียนที่นอนรอพ่อพันธุ์อย่างข้าอยู่ในเมืองกรุง”

    เขากระหยิ่มยิ้มย่อง เหลียวหลังไปเร่งลูกชาย ที่กำลังจะหันไปวิ่งไล่ปูนาค้างแห้งเอาดื้อๆ

    “น้องเบสต์ อย่าลงไปตรงนั้นนะ…ดินมันยังไม่….!!”

    แต่ช้าเกินไป เพราะสองขาของเด็กชายจมโคลนลงไปถึงเข่าเสียแล้ว ระแหงดินที่ฉาบขาวไปตลอดลำรางข้างคันนานั้นยังบางนัก ขนาดรอยตีนปูยังตะกุยขุยดินดำขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับเด็กทั้งคน

    ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนร้องไห้จ้า ทั้งตกใจทั้งเกรงกลัวผู้เป็นพ่อจะลงโทษ ขณะที่เขากำลังยักแย่ยักยันว่าจะลงไปช่วยฉุดลูกชายอย่างไรดี โดยไม่ให้กางเกงยีนส์ตัวเก่งต้องเลอะเทอะ ลูกไอ้เปรื่องก็กระโดดสวบลงไปยืนเคียงอยู่กับลูกชาย มันคงโตกว่าน้องเบสต์สักสองปี หน่วยก้านแบบลูกชาวนาแท้ๆ นั้น ทำให้สองขายิ่งจมลึกไปกว่าคนที่พรวดลงไปก่อน

    มันยกตัวน้องเบสต์ขึ้นมาได้อย่างไม่ต้องเปลืองแรง ใช้สองมือรูดโคลนที่ติดขานั้นให้เสร็จสรรพ และไม่ไยดีกับความเปื้อนเปรอะของตนเอง เมื่อเห็นลูกน้องไม่หยุดร้องไห้ ก็ชี้มือไปยังเรือนหลังลิบๆ ข้างหน้า

    “โน่นไงบ้านพี่…เดี๋ยวไปล้างโคลนออกแล้วก็หล่อเหมือนเดิมหละน่า” เด็กชายตัวโตปลอบไปตามซื่อ แต่ก็ช่วยให้เด็กเมืองหลวงเหลือเพียงลูกสะอื้น ที่ยังเพียรข่มอยู่ฮึดๆ



    เรือนหลังนั้นใหญ่โตกว่าจะบอกว่าเป็นกระท่อมแสนสุข แม้นบรรยากาศโดยรอบจะชวนให้คิดไปได้ดังนั้น และความแข็งแรงโอ่อ่าที่เห็นก็ช่วยบอกว่า พ่อบ้านแม่เรือนผู้เป็นเจ้าของ รู้จักประดิษฐ์ประดอยดูแลเอาใจใส่ “บ้าน” อย่างไรบ้าง

    “อ้าว!…ไอ้เผือก…ไปยังไงมายังไงล่ะเอ็ง แล้วนั่นใคร ไปจมกองขี้ควายที่ไหนมา”

    ผู้เหย้าตะโกนถามแต่ไกล หัวเราะร่วนลงลูกคอ แล้วจึงร้องให้แม่ไอ้หนูคอยกันหมา ที่เริ่มเห่ากันขรม

    เสียงนั้นดังกังวานสดใส บ่งบอกว่าเป็นผู้มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ อีกเสียงที่ดังแทรกขึ้นมาปรามไอ้ด่างอีแดงนั่นก็ทำให้เขาถึงกับขนลุกเกรียว ดูเถิดลูกโตจนป่านนี้แล้วเสียงแม่ยังหวานเสนาะสนิทใจไม่มีเปลี่ยน

    “ข้าไอ้พร้อม ไม่ใช่ไอ้เผือก…เอ็งอย่ามาชวนหาเรื่องแต่วันเลยวะ” เขาย้อนกลับไปด้วยสำเนียงหนุ่มกรุงเต็มที่ ไม่เคยสบอารมณ์สักครั้งที่เพื่อนเก่า นำสีผิวที่ผิดแผกกว่าคนในหมู่ของตนมาเรียกแทนชื่อ

    แล้วก็หยุดยืนอยู่แค่นอกรั้วตารางไม้ไผ่สูงเพียงสะเอว ชะโงกหน้าดูท่าทีหมาทั้งนั้น ให้แน่ใจ

    “เข้ามาๆ เข้ามาก่อนไอ้เกลอ ข้าน่ะจำเอ็งได้ตั้งแต่เดินเหยียบเข้ามาในที่ข้าโน่นแล้ว”

    คนพูดหมายถึงความไกลขนาดที่เห็นตัวคนเล็กเท่าก้านไม้ขีด จะนึกชมอยู่ว่าสายตามันยังดีก็ไม่สนิทใจ เพราะเสื้อผ้าชุดที่ผู้มาเยือนสวมใส่ ก็บอกยี่ห้อคนแปลกถิ่นอยู่ชัดๆ

    “ลูกชายเอ็งเรอะ…แหมมันรูปหล่อยังกะพระเอกยี่เก ถอดพิมพ์พ่อมันมาเปี๊ยบ….. ไปๆ ปัญญาพาน้องไปล้างแข้งล้างขาเสียก่อน”

    เขาขยับจะตีลูกขัด แต่ประโยคหลังทำให้ร้องรีบเออออดุนหลังลูกชาย ส่วนคนพูดก็ปลดผ้าขะม้าที่เคียนเอวออกปัดๆ แคร่ที่นั่งอย่างเต็มอกเต็มใจจะรับเกลอเก่า

    “เอ็งมีว่าวอีกสักตัวไหมวะเปรื่อง” เพื่อนเก่ารีบตรงเข้าประเด็นก่อนที่ลูกชายจะกลับมาร่วมวงสนทนา

    “มีลูกมีเต้าเป็นตัวเป็นตนแล้ว เอ็งจะมาเล่นว่าวอะไรอีกวะ” เปรื่องใส่คารมกับคำถาม

    “ก็ลูกชายข้ามันอยากจะเล่น…เอ็งอย่ามาชักใบให้เรือเสียสิน่ะ” แต่เขายังไม่สนใจจะต่อความ

    “มีแต่โครงนี่จะเอาไหมเล่า แต่ยังเหลาไม่ได้ดุล เอ็งรีบไหมล่ะ”

    คนพูดยกไม้ไผ่ซี่เรียวป่องกลางขึ้นชั่งบนนิ้วชี้ เมื่อว่ายังเอียงซ้ายอยู่อีกเล็กน้อย ก็บรรจงเหลาที่ละบางๆ ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ใจหนึ่งก็นึกนิยมเพื่อนเก่าอยู่ไม่คลาย แต่อีกใจหนึ่งก็นึกสมเพชกับชีวิตวันๆ ที่เห็นตรงหน้า

    ลำเพามายืนถือขันลงหินใบเขื่องที่ข้างตัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขาถึงกับสะดุ้งเมื่อคนยังสวยสดเชื้อเชิญให้ดื่มน้ำฝนลอยดอกมะลิ แล้วก็นิ่งอึ้งตะลึงงันตีสีหน้าไม่ถูก เมื่อเธอเอื้อนเอ่ยต่อไป

    “เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะพี่พร้อม ไปอยู่กรุงเทพดูหล่อขึ้นเป็นกอง แล้วนั่นลูกชายเหรอจ๊ะ แหม…หล่ออย่างกับพระเอกลิเก” ขนาดความคิดความอ่านยังเห็นดีเห็นงามตามกันได้ขนาดนี้

    “จ้ะ…พี่..ผม..เอ่อ…ไม่ได้กลับมาเสียหลายปี ก็เลยมาเยี่ยมเยียนไอ้เปรื่องมันหน่อยเท่านั้น ลำเพาล่ะแลดูสดใสสบายดีอยู่นี่นะ”

    ปัญญาจูงมือลูกไล่หมาดๆ เข้ามาสมทบ เด็กชายตัวเล็กยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนโดยไม่ได้เสียแรงที่สั่งสอน ผู้เป็นพี่จึงเผลอยืดอกขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว เหมือนพลอยภูมิใจ ที่ลูกไล่ก็ได้รับการอบรมมาอย่างดี   แม่ของปัญญาจับลูกคางของน้องเบสต์พลิกซ้ายพลิกขวาราวกับจะหาไฝฝ้าอะไรสักดวง

    สายตาของคนเคยรักที่กำลังมองลูกชายของตนเองนี่เอง ที่ทำให้เขาปลงใจลงได้อย่างสนิท ลำเพาไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป และการหนีหน้าหายไปสู่เมืองกรุงหลังจากผิดหวังช้ำรัก ก็ทำให้เขาได้พบกับผู้หญิงดีๆ อีกคนหนึ่ง ซึ่งเหมาะสมกับเขาทุกประการ ที่จริงเขาควรจะนึกขอบใจหญิงชายตรงหน้าด้วยซ้ำ ที่แสดงน้ำใสใจจริงกันออกมาได้เห็นแต่เนิ่นๆ

    ลำเพานั้นไม่ใช่ผู้หญิงที่เพียงแต่หลงรูป เมื่อเธอมองแล้วและมั่นใจว่าทั้งชีวิต สามารถฝากไว้ให้ใครได้ เธอก็ไม่รีรอที่จะบอกปัดผู้ชายอีกคนที่ผูกพันกันมาแต่เด็ก เช่นเดียวกับเปรื่องที่ไม่ใช่ผู้ชายจับจดเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ มันจะทำอะไรก็ทำจริง เป็นคนจริงและเป็นลูกผู้ชายพอที่จะยืนให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเลือกว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือกับใคร

    พวกเขาเป็นเด็กบ้านเดียวกัน ลงทุ่งลุยน้ำดำปลามาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตลอดมาพร้อมมักจะเป็นกองหนุนคิดเล่ห์กลต่างๆ หลอกนกหลอกปลาให้ติดบ่วงติดเบ็ด ส่วนเปรื่องก็ไม่เคยรีรออาสาเป็นกองหน้าลุยยิงนกตกปลาไปได้ทุกอย่าง โดยมีลำเพาคอยกะเตงตะข้องกะเดียดกระบุงใบน้อยๆ ตามอยู่ไม่ห่าง

    “เห็นเด็กสองคนนี่แล้วนึกถึงพวกเราๆ เมื่อก่อนเนอะพ่อ” ลำเพายกให้เกลอเก่าเป็นพ่อเรือนได้คล่องปาก เธอดึงเขากลับมาสู่ขณะนี้อีกครั้งราวกับรู้ทันความเพ้อพกที่เขาเคยมีมาแต่ก่อน

    “ว่าวของปัญญาหายไปไหนล่ะลูก” เปรื่องถามลูกชายด้วยน้ำเสียงเข้มๆ แต่ก็ยังเจือไว้ด้วยความเอ็นดู

    “มันหลุดลอยไปทางลำประโดงโน่น…คงเปียกขาดไปหมดแล้วหละจ้ะ” ไอ้ปัญ มันตอบจ๊ะจ๋าได้หวานสนิทเหมือนแม่ ทั้งไม่ยอมบอกว่าคนที่ปล่อยให้ว่าวจุฬาตัวสวยนั่นปลิวไปคือน้องเบสต์

    “อ้อ…” ผู้เป็นแม่รีบรับคำ แล้วตัดบท “ว่าวดีๆ เล่นได้ไม่ทันไร ตัวนี้ก็เอาอีลุ้มไปก็แล้วกัน…นะพ่อ”

    คนจ้องลูกชายเขม็งอยู่จึงจำใจต้องพยักรับ

    “ทำให้น้องเบสต์ด้วยนะพ่อ” เด็กชายปัญญาได้ที

    “ไม่เอา…ดาด้าน้องเบสต์ก็ทำได้ ว่าวแฉกๆ น่ะ…ดาด้าทำให้เบสต์นะครับ”

    สามคนพ่อแม่ลูกหันไปมองหน้ากันอย่างแปลกใจ จนเขาต้องรีบขยายความ

    “เวลาเขาอ้อนจะเอาอะไร ก็จะเรียกพ่อว่าดาด้า เรียกแม่ว่ามามี้…”

    “เรียกพ่อเรียกแม่ไม่ง่ายกว่าหรือน้า” ปัญญาสอดคำ จนลำเพาต้องดุลูกชายด้วยสายตา

    เมื่อลูกชายยังคะยั้นคะยอ พร้อมจึงต้องหันมาขอความเห็นจากเพื่อนเก่า อดีตศัตรูหัวใจ เปรื่องอมยิ้ม รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนรักเคยทำอะไรได้แค่ไหนบ้าง ก่อนจะเอ่ยเรื่อยๆ

    “ปัญญาพาน้องไปดูกระดาษบนบ้านซิ ยังมีเหลือพอไหม เอากรรไกรลงมาด้วยนะ แม่เขาจะได้ช่วยตัดดาวกระจายปิดคอซุง….มาๆ ไอ้พร้อม เอ็งนั่งทำว่าวกะข้าที่นี่แหละ กินข้าวเย็นด้วยกันซะเลยก็ยังได้”



    ตลอดเย็นจึงผ่านไปด้วยการนั่งเหลาไผ่ วัดศูนย์ ถ่วงโครง โยงเชือก ปะกระดาษ แปะดาว และผูกคอซุง ลำเพาขอตัวไปเตรียมมื้อเย็นต่อ ตั้งแต่สองสหายเก่าเริ่มลงมือบั่นซี่ไผ่ ให้ได้ตามขนาดกว้างยาว ลูกชายเขายังเวียนมาดูความคืบหน้าเรื่อยๆ แม้ลูกพี่จะเพียรให้ไปช่วยเก็บดอกแคลูกฟักข้าวอย่างไร ก็ยังไม่วายมาเลียบๆ มองๆ

    มือเขาไม่เที่ยงเหมือนก่อน จึงเสียโครงไผ่ไปหลายซี่ ถึงอีลุ้มที่เขาถนัดจะใช้โครงเพียงสองอันเหมือนกับปักเป้า แต่กว่าจะเสร็จออกมาเป็นตัว จุฬาของไอ้เปรื่องก็เริ่มแปะกระดาษแล้ว เรื่องว่าวนี่เขายอมรับฝีมือมัน ด้วยส่วนตัวเห็นว่า ทำว่าวอะไรๆ มันก็ขึ้นไปลอยอยู่บนฟ้าได้เหมือนกัน อีลุ้มนั้นต่อหางเข้าหน่อยก็กลายเป็นปักเป้าพุ่งปรี๊ดแหวกฟ้าขึ้นไปได้ทันใจ ไม่เหมือนกันจุฬาห้าแฉกซึ่งถ้าเหลาโครงไม่ดี มันก็จะควงติ้วๆ ไม่มีทางจะลอยขึ้นไปได้

    น้องเบสต์มองเขาสลับกับโครงว่าวในมือ สีหน้านั้นสงสัยเต็มที่ว่าหน้าตามันจะออกมาเป็นอย่างไร ส่วนไอ้ปัญนั้นยืนยิ้มกริ่มอยู่ข้างหลังน้องทำยังกับว่า รู้ทันผู้ใหญ่ซะอย่างนั้น

    “น้าทำโครงอีลุ้มสวยจัง ขอฉันนะ…ได้ไหม” มันทำทีเป็นร้องขอ เมื่อลูกชายเขาทำท่าว่าจะสนใจว่าวห้าแฉกในมือของผู้ใหญ่อีกคนมากกว่า “ปะกระดาษเป็นสีธงชาตินะน้า…” มันเสริมซ้ำ

    “เอ้า!….แล้วไอ้ลูกพระเอก….อยากได้ว่าวสีอะไร” ไอ้เปรื่องหันไปถามเด็กชายหน้าใส โดยไม่ถามความสมัครใจของพ่อมันแม้แต่น้อย ว่ายินยอมพร้อมใจด้วยหรือเปล่า

    น้องเบสต์หันมาสบตาผู้เป็นพ่อ ท่าทางเหมือนอยากจะไชโยโห่ฮิ้วเต็มที่ที่ได้ว่าวแฉกๆ สมใจ เมื่อเขาพยักหน้าให้ จึงค่อยว่า “น้องเบสต์จะเอาสีเหลือง….ครับ”

    ไอ้เปรื่องมองดูเด็กเมืองกรุงด้วยสายตาเอ็นดู เขาเดาไม่ถูกหรอกว่าในใจมันกำลังคิดอะไร จะรู้สึกได้ก็เพียงแต่ว่า ในแววตาของคนที่เขาหวังจะตั้งให้มันเป็น “ศัตรูตลอดกาล” นั้น ไม่ได้เคลือบแฝงความอิจฉาริษยาอันใดไว้เลย หนำซ้ำเขายังตระหนักได้ในขณะเดียวกันด้วยว่า เพื่อนที่เคยเรียกได้ว่า “แย่ง” หัวใจทั้งดวงของเขาไปนั้น พลอยยินดีและชื่นชม กับลักษณะท่าทางของลูกชายเพื่อนขนาดไหน

    เขารู้สึกละอายแก่ใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ด้วยมารู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ได้มีความเป็นลูกผู้ชายเพียงพอ จึงได้แต่นึกอาฆาตตัดเป็นตัดตาย กับคนที่มีน้ำใสใจจริงเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้

    กลิ่นแกงส้มดอกแคลูกฟักข้าว โชยหอมมาตามลม เสียงลำเพาตะโกนชวนย้ำให้ร่วมสำรับข้าวเย็นดังมาจากใจเรือน เขาปฏิเสธออกไปโดยอัตโนมัติ ให้เหตุผลว่า ป่านนี้แม่และเมียก็คงทำกับข้าวไว้รอเช่นกัน



    หมู่นกเริ่มบินกลับมาทักทายรวงรังกันเซ็งแซ่ แมลงและสัตว์กลางคืนก็เริ่มระงมเสียง ตะวันเริ่มยอแสงส่องให้ฟ้าสาดสีส้มแสดเจือชมพูจาง

    ลำเพาหิ้วหม้ออวยใบย่อมติดมือลงมาสมทบ เมื่อไอ้เปรื่องจัดแจงช่วยผูกคอซุงให้ว่าวทั้งสองตัวจนเรียบร้อย แกล้งถามเด็กชายเบสต์อีกครั้งว่าชอบตัวไหนแน่ คราวนี้คนอยากได้ว่าวแฉกๆ เริ่มไม่แน่ใจ จนไอ้เปรื่องยื่นให้ทั้งสองตัวนั่นแหละ จึงได้ยิ้มหน้าบานหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับปัญญา เหมือนนัดแนะหรือทวงสัญญาอะไรกันสักอย่าง

    “ระวังมันกระฉอกลวกแข้งลวกขาเอานะพี่พร้อม” แม่ไอ้ปัญบอกเรียบๆ หลังจากเขารับหม้อแกงมาถือไว้

    “ฉันไปนอนบ้านน้าพร้อมนะพ่อ” ลูกพี่รีบขออนุญาตพ่อของตนเอง โดยยืนไม่ยอมห่างลูกไล่ชาวกรุง “พรุ่งนี้จะได้ลองว่าวกันแต่เช้า….นะแม่” เมื่อเห็นพ่อยังนิ่งจึงเปลี่ยนเป็น “นะแม่” แทน

    “เออน่ะ…เอ็งขึ้นบ้านไปเอาไฟฉายมาก่อน เข้าไต้เข้าไฟงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันกำลังโซ”

    เด็กชายปัญญาวิ่งปราดหายขึ้นไปบนเรือน ไอ้เปรื่องจึงหันมาทางเขา

    “ฝากไอ้ปัญด้วยนะพร้อม มันจะล้นจะอะไรก็ตามประสาเด็กบ้านนอก ท่าทางคงถูกชะตากับลูกชายเอ็งเต็มที่ ถ้าท้องนี้ของลำเพาเป็นผู้หญิงเอ็งว่ามันจะออกมาสวยเหมือนแม่ไหมวะ” พร้อมกับคำพูด เพื่อนเก่าก็เอื้อมมือไปลูบเบาๆ ตรงชายพกของแม่เรือน ลำเพาตีมือสามีดังเผียะ แล้วเสมาเอ่ยกับเขาอีกรอบ

    “ฝากไอ้ปัญด้วยนะพี่พร้อม ถือซะว่าเป็นลูกเป็นหลานเถอะ เด็กสองคนนี่โตไปข้างหน้าฉันก็อยากให้มันนับถือเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนอย่างพวกเราๆ”

    เขาถึงกับยิ้มเก้อ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวเจ้ากรรมตัวเดียว หรือความตั้งใจที่จะมาชดใช้ ถ้าไอ้เปรื่องเอ่ยทวงค่าที่ลูกชายตนทำว่าวจุฬาตัวสวยนั่นหลุดลอย เขาก็ยังอาจจะไม่มีวันได้รู้หรอกว่า ความสุจริตใจของคนอีกคู่นั้นไม่เคยจืดจางหรือแปรเปลี่ยน เขาต่างหากที่ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าการเลือกคู่ชีวิตของลำเพาครั้งนั้นจะทำให้เขาได้เมียและลูกที่ดีอย่างในตอนนี้

    ปัญญาวิ่งกลับลงมาพร้อมเสื้อวอร์มตัวโคร่ง มีผ้าขะม้าเคียนเอวมาอีกผืน มันยื่นไฟฉายในมือให้เขา พร้อมกับรับว่าวจากมือน้องเบสต์ไปถือเสียเอง

    “รีบไปกันเหอะน้า ยังไงฉันก็ไม่อยากเดินไปมืดอยู่กลางทาง”

    สองสามีภรรยาออกมายืนส่งเขาตรงรั้วบ้าน เด็กชายทั้งคู่นั่นวิ่งไล่กันล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เขาหันมาสบสายตากับคนทั้งสองอีกครั้ง สำนึกเสียใจในความเขลาขลาดของตนที่ยังไม่คลาย จึงได้แต่เพียงพยักยิ้มเรียบๆ ให้เป็นการกล่าวลา

    ตอนนี้เขาไม่แน่ใจนักว่า หัวใจและความคิดของตัวเอง ได้ถูกแรงผลักดันอะไรสักอย่าง ยกระดับมันให้สูงขึ้นไปได้สักกี่มากน้อย แต่เขาก็มั่นใจว่าอย่างน้อยมันต้องขยับยกสูงขึ้นไปได้บ้างแล้วเป็นแน่ เช่นเดียวกับที่เขามั่นใจว่า พรุ่งนี้ว่าวสองตัวที่เคยลดไล่โฉบเฉี่ยวกันอย่างสนุกสนานเมื่อหลายปีมาแล้ว จะกลับมาผงาดฟ้าสำแดงลีลาของคู่หูอีกครั้งอย่างสวยงาม



    ***********************





    แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 48 03:00:14

    แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 48 22:44:07

    แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 48 11:07:43

    แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 48 10:53:34

    แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 48 09:17:36

    แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 48 09:02:26

    จากคุณ : SONG982 - [ 18 เม.ย. 48 09:00:35 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป