CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ...เสน่ห์จันทร์... [1]

    1


    ไฟสัญญาณรัดเข็มขัดสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงพนักงานต้อนรับประกาศเตือนผู้โดยสารปรับพนักเก้าอี้ให้อยู่ในระดับตรงขณะเตรียมตัวลงจอด    นอกหน้าต่าง   ท่ามกลางทิวเขาทอดตัวเรียงรายที่ถูกโอบล้อมด้วยสายหมอกขาวจางๆ    แสงแดดยามเช้าตกกระทบกับบางสิ่งบางอย่างบนยอดดอยก่อให้เกิดเป็นประกายสีทอง    จนเครื่องลดระดับต่ำภาพเจดีย์สีทองสุกปลั่งจึงค่อยๆชัดเจนขึ้น   นั่นคงเป็นวัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ที่เจ้าของบ้านเคยบอกไว้สินะ

    ได้กระเป๋าแล้วมัสลินก็ต้องฝ่าด่านผู้โดยสารที่ยืนออกันหนาแน่นรอบสายพานลำเลียง    เชียงใหม่ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับโลกไปแล้ว    และยิ่งเป็นหน้าหนาวซึ่งว่ากันว่าเป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุด    ยิ่งไม่น่าแปลกใจหรอกว่าผู้คนจะพากันหลั่งไหลมาท่องเที่ยวกันจนแน่นขนัดอย่างนี้

    หน้าห้องผู้โดยสารขาออกมีผู้คนมายืนออกันเต็ม    บ้างก็ชูป้าย   บ้างก็ส่งเสียงร้องเรียกเชิญชวนให้ใช้บริการของโรงแรม    เธอลากกระเป๋าออกมาช้าๆพร้อมกับกวาดสายตามองหาคนที่จะมารอรับ

    “มัส...  มัส...”

    มัสลินหันไปยังที่มาของเสียง    หญิงสาวในวัยเดียวกันกำลังโบกไม้โบกมืออย่างดีใจ    หน้ายาวรีนั้นยิ้มเสียจนตาหยี    เช่นเดียวกับชายหนุ่มร่างสูงผิวคร้ามแดด   ที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง...





    “ทางที่เราจะไปนี่มันโค้งไปโค้งมาหน่อย   ถ้ามัสเวียนหัวหรือง่วงจะหลับก็ได้นะ”

    ชฎาธารหันมาบอกจากที่นั่งข้างคนขับเมื่ออมฤตเริ่มพารถขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่ออกนอกตัวเมือง    

    ทิวทัศน์สองข้างทางค่อยๆเปลี่ยนจากตึกเป็นบ้านคนหลังห่างๆ    เห็นสีเขียวของต้นไม้มากขึ้น    บางครั้งก็เป็นทุ่งโล่งหรือไม่ก็เป็นแปลงผักที่อมฤตบอกว่าเป็นต้นกระเทียม    สินค้าเกษตรที่ปลูกกันมากทางภาคเหนือนอกจากผลไม้เมืองหนาว  

    วัดประจำแต่ละท้องถิ่น... ต่างจากที่อื่นที่มัสลินเคยเห็น  มองผ่านประตูทางเข้าซึ่งมีสิงห์นั่งอยู่บนกำแพง   คือพญานาคหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ทอดตัวเหนือบันไดทางขึ้นไปยังโบสถ์   หลังคาโบสถ์เป็นจั่วกว้างกว่าที่เคยคุ้น   แถมชายคายังต่ำมากแทบจะเอามือแตะถึงทีเดียว   น่าเสียดาย...หากอ่านหนังสือเกี่ยวกับศิลปะล้านนามาหน่อยก็คงจะดี

    เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  แต่เมื่อลืมตาอีกทีป้ายข้างทางเห็นบอกว่าเป็นเขต...ปิงโค้ง...แล้ว

    คนตั้งชื่อนี้เข้าใจคิด  เพราะถนนคดไปโค้งมาเลียบสายน้ำที่ลดเลี้ยว  บรรยากาศข้างทางมีความเป็นป่ามากขึ้น  บางตอนของถนนก็ต้องวิ่งเลียบเขา

    ชฎาธารกับอมฤตคุยกันเบาๆ  มัสลินไม่ได้สนใจฟังเพราะกำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทาง






    “มัสหิวหรือยัง นี่ก็เลยเที่ยงแล้ว เราแวะกินข้าวซอยเจ้าอร่อยในตลาดฝางกันหน่อยนะ”

    ชฎาธารหันมาถามเมื่อเข้าเขตเมืองอีกครั้ง

    “เอ๊ะ... แต่มัสกินข้าวซอยเป็นหรือเปล่า”   คนถามเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนเพิ่งจะมาเชียงใหม่เป็นครั้งแรก

    “มัสกินอะไรก็ได้อยู่แล้วล่ะ มาเมืองเหนือทั้งทีกินข้าวซอยก็ดีเหมือนกัน ได้ยินแต่ชื่อมานานแล้ว”

    “ร้านที่เราจะไปนี่เจ้าของเป็นมุสลิมครับ เลยมีทั้งข้าวซอยเนื้อและข้าวซอยไก่ให้เลือก”   อมฤตบอก

    มัสลินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

    “มุสลิมหรือคะ มัสนึกว่ามุสลิมจะมีเฉพาะทางใต้เสียอีก”

    “ถึงมุสลิมทางเหนือจะไม่มากเท่ากับทางใต้ แต่อาหารมุสลิมที่นี่ก็หากินได้ไม่ยากหรอกนะครับ”





    รถเลี้ยวซ้ายก่อนจะชะลอข้างทาง

    “ว้า.. เห็นทีมัสจะโชคไม่ดีล่ะเพราะวันนี้ร้านปิด”

    ชฎาธารหมายถึงร้านฝั่งตรงข้ามที่ป้ายชื่อลงท้ายว่าเป็นข้าวซอยเจ้าเก่าที่ปิดร้านเงียบสนิท

    “เห็นทีคงต้องกลับไปพึ่งครัวป้าคำหล้าเสียแล้วล่ะ ระยะทางจากที่นี่ไปไร่ไม่ไกลสักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าคุณมัสหิวจะหาอะไรรองท้องก่อนก็ได้เอาไหมครับ”

    อมฤตหันมาถาม แต่มัสลินส่ายหน้า

    รถวิ่งตรงไปเรื่อยๆก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนลาดยางสายเล็กๆขนาดรถสวนได้สองคันพอดี  บ้านเรือนสองข้างทางเป็นเรือนไม้แบบเก่าเสียส่วนใหญ่  รั้วก็ทำด้วยไม้ไผ่อย่างง่ายๆ  ภายในบริเวณบ้านก็มีทั้งไม้ดอกไม้ผล  บ้านแต่ละหลังเริ่มทิ้งช่วงห่าง  และรถต้องวิ่งขึ้นเนินลงเนินอยู่บ่อยครั้ง  

    จากแปลงกระเทียมสองข้างทางเริ่มเห็นเป็นภูเขาลูกย่อมที่ปลูกต้นส้มไว้อย่างเป็นแถวเป็นแนว  จนถึงเป็นสวนส้มขนาดใหญ่ที่กินอาณาบริเวณเขาหลายลูก  แต่รถยังคงวิ่งไปเรื่อย  เมื่อถึงทางลาดชันมากขึ้นอมฤตต้องเปลี่ยนเกียร์เป็นมาขับเคลื่อนสี่ล้อ  นี่หากมองย้อนไปตามถนนที่ผ่านมาคงรู้สึกหวาดเสียวไม่น้อย  แต่ท่าทางใจเย็นและดูชำนาญเส้นทางของคนขับทำให้คนนั่งรู้สึกอุ่นใจ

    “คุณมัสมองไปที่หุบเขาทางซ้ายมือนั่นสิครับ เชื่อกันว่าคนในหมู่บ้านค้า”ของ”จนรวย จากเดิมที่เป็นบ้านหลังคามุงแฝกเดี่ยวนี้กลายเป็นบ้านสมัยใหม่ไปแล้ว แถมมีรถกระบะจอดหน้าบ้านทุกคัน เจ้าหน้าที่ในพื้นที่รู้แต่ไม่เคยทำอะไรได้ เพราะเข้าค้นทีไรไม่พบหลักฐานสักอย่างเดียวยังกับมีคนคอยส่งข่าว มีเหมือนกันที่จับได้บ้างแต่พอส่งเข้าเมือง แป๊บเดียวก็ออกมาแล้ว ดีไม่ดีถึงก่อนเจ้าหน้าที่ที่จับตัวเข้าไปส่งอีก”

    อมฤตพูดแล้วก็ถอนหายใจ  

    “คุณอั้มเคยท้อบ้างไหมคะ”

    “มีเหมือนกันครับเวลาเหนื่อย แต่หายเหนื่อยแล้วก็กลับมาสู้ใหม่ เพราะยิ่งทิ้งไว้นานก็ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ เดี๋ยวนี้ทั้งตำรวจและทหารต้องร่วมมือกันครับ ตำรวจก็ต้องดูความเป็นไปในนี้ ส่วนทหารเราก็ต้องดูตั้งแต่แนวเขตแดนโน่นเลยล่ะครับไม่ให้มีการลักลอบขนยาเข้ามา”

    “เป็นงานที่เสี่ยงจังเลยนะคะ”

    “ครับ ทางโน้นมีอาวุธดีกว่าเราเพราะทุนดีกว่า แต่เราอาจได้เปรียบตรงที่ได้รับการฝึกฝนมามากกว่า เรื่องอย่างนี้ก็ต้องชิงไหวชิงพริบกันล่ะครับ”

    “ทุกคนมีหน้าที่ แต่ละคนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแหละนะมัส”





    ทันทีที่รถโผล่พ้นเหลี่ยมเขา  มัสลินก็เห็นอาณาเขตอันกว้างขวางของพี้นที่หุบเขาเบื้องล่าง  มองไปสุดสายตาจนลับทิวเขาด้านโน้นก็ยังไม่สุดอาณาบริเวณ  ต้นไม้ที่ตัดแต่งเป็นชื่อไร่เห็นเด่นชัดจากบนที่สูง

    “ไร่เรือนจันทร์ยินดีต้อนรับครับ”

    อมฤตบอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

    รถเริ่มไต่ลงเนินแล้วหักเลี้ยวลงถนนลาดยางสู่เขตไร่  ก่อนจะชะลอหน้าประตูเหล็กบานใหญ่  

    ชายวัยกลางคนมองลอดช่องประตูและคงจะจำรถได้  มัสลินเห็นแกกดรีโมทเปิดประตูด้วยความดีใจ

    “สบายดีไหมพ่ออุ๊ย”  ชายหนุ่มเลื่อนกระจกและหยุดทักทายกับชายคนที่มาเปิดประตูให้

    “สบายดีครับ  นายบอกว่านายน้อยจะมาวันนี้ นี่แม่คำหล้าเตรียมทำกับข้าวรอตั้งแต่สายโน่นแน่ะครับ ดีใจกันใหญ่ นายหญิงน้อยสบายดีนะครับ”

    แกหันมาถามชฎาธารบ้าง  ซึ่งหญิงสาวก็ตอบรับแล้วหยิบถุงกระดาษยื่นผ่านทางสามีให้ส่งต่อ  

    “เอาไว้จิบพออุ่นตอนหนาวๆนา แต่ถ้าถึงเมาแล้วแม่อุ๊ยมาว่าผม คราวหน้าล่ะอดแน่เทียว”

    พ่ออุ๊ยยิ้มแต้  เห็นท่าทางแกกอดไว้แน่นก็รู้ว่าเป็นของโปรด

    “รู้ใจคนแก่จริงเทียว  ...นายน้อย พ่ออุ๊ยขออีกสักเรื่องนึงเถอะ”

    “อะไรเหรอ”

    “พ่ออุ๊ยแก่แล้วเน้อ อยากเห็นหน้านายเล็กๆก่อนตาย”

    อมฤตหัวเราะอย่างถูกใจแล้วหันมามองทางภรรยาที่นั่งหน้าแดงเสมองไปทางอื่น

    “อย่าห่วงเราเลย ห่วงนายของพ่ออุ๊ยเถอะ จนป่านนี้ยังหาเมียไม่ได้เลย”

    “ฮูย... หมู่เฮาห่วงจนเลิกห่วงเปิ้นแล้ว แล้วไหนว่านายน้อยจะพาเพื่อนมาเที่ยวล่ะ”

    มัสลินลดกระจกลงแล้วสวัสดีพ่ออุ๊ยทำเอาแกตกอกตกใจรับไหว้เป็นการใหญ่

    “บ่ต้องไหว้พ่ออุ๊ยเน้อ”

    แล้วแกก็หันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มก่อนจะทั้งคู่จะหัวเราะชอบใจ  





    “พ่ออุ๊ยทำงานมากับลุงกับพ่อผมตั้งแต่สมัยเบิกป่าถางไร่ใหม่โน่นแน่ะคุณมัส เดี๋ยวนี้พอแกแก่ลงก็เลยให้เฝ้าอยู่หน้าไร่นี่แหละครับ จะให้อยู่เฉยแกก็ไม่เอาบอกว่าเดี๋ยวง่อยจะกินตายเสียก่อน”

    อมฤตบอกเมื่อรถวิ่งเข้ามาในเขตไร่  ตลอดสองข้างทางคือแปลงผักและผลไม้ที่กำลังเติบโตงอกงาม

    “มัสรู้จักต้นไม้ต้นนี้ไหม”

    ชฎาธารชี้ให้ดูต้นไม้ลักษณะคล้ายต้นกระบองเพชรที่มีอยู่สองข้างทาง มัสลินเกือบส่ายหน้าหากไม่เห็นลูกสีแดงขนาดเท่ากำปั้นรูปร่างคุ้นตา
    “ใช่แล้วล่ะ ที่นี่เรียกแก้วมังกร พี่ชฎิลเป็นคนหาพันธุ์มาปลูกเองเทียว รสชาติดีนะ”

    อมฤตเป็นคนบอกต่อว่า

    “พี่ชฎิลเป็นลูกชายของคุณลุง ตอนที่ผมเลือกเรียนทหารแล้วพี่ชฎิลก็สอบเข้าคณะวิศวะ ทั้งพ่อทั้งคุณลุงก็คิดว่าไม่มีใครดูแลกิจการต่อแน่เลย แต่แล้วก็ผิดคาด หลังจบโทกลับมาจากออสเตรเลีย แกก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานในไร่อย่างเอาเป็นเอาตายจนใครๆอดนึกแปลกใจไม่ได้  

    นอกจากที่นี่เรายังมีไร่อีกหลายแห่งที่จอมทองและที่อื่นๆอีกนะครับ  มีทั้งที่พ่อกับคุณทำไว้แล้วพี่ชฎิลไปขยายใหญ่  และที่พี่เขาไปบุกเบิกเองก็มี  ทีแรกก็นึกดีใจว่าแกช่วยงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ  ตอนนี้กลายเป็นห่วงแทนเพราะพี่ชฎิลทำงานจนไม่ยอมมีครอบครัวเสียที  

    เฮ้อ..เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่าครับ  เพราะใครต่อใครลุ้นก็เหนื่อยเปล่าลองว่าเจ้าตัวไม่เล่นด้วยเสียอย่าง”

    แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 48 04:59:27

    จากคุณ : Gracie Lou Freebush - [ 20 เม.ย. 48 04:58:21 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป